แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 39 สมุดบัญชี
หลิวหลีที่กลับไปยังสำนักเมฆาคล้อย ด้วยพลังบำเพ็ญเพียรช่วงบำเพ็ญศีลขั้นสุดยอดทำให้มือที่ลูบเคราของเสวียนหั่วถึงกับสั่นระริก ลูกศิษย์ของเขาออกแสวงหาโชคชะตาและโอกาสชัดๆ นางเจอแล้วจริงหรือ พลังบำเพ็ญเพียรกระโดดขึ้นไปอยู่ในช่วงบำเพ็ญศีลระยะปลาย ทั้งยังพิชิตเพลิงอัคคีอัสนีครามที่มีพลังโจมตีสูงในการจัดอันดับเพลิงอัคคีมาได้ และที่สำคัญ… แววตาของเสวียนหั่วหันไปจ้องกิเลนน้อยที่กำลังนอนอย่างมีความสุขบนโต๊ะ ศิษย์ของเขาสุดยอดจริงๆ คู่พันธสัญญาที่คิดว่าเป็นแค่งูแดงธรรมดาแต่กลับเป็นมังกรโลหิตอสูรเทพกลายพันธ์ระดับสุดยอด ไม่ต้องทำพันธสัญญาใดๆ กิเลนน้อยก็ยอมติดตามนาง ทั้งยังเป็นสีม่วงอีกด้วย ถึงแม้จะไม่รู้ว่าอยู่ระดับขั้น แต่เป็นอสูรเทพแน่นอน เขาอยากจะออกไปท่องโลกกับศิษย์บ้างจัง
หลังจากที่หลิวหลีรายงานอาจารย์ว่าแก้ปัญหาเรื่องพลังบำเพ็ญเพียรตอนนี้ได้แล้ว นางก็รีบไปทำเนื้องูสดตามสัญญาทันที จื่อฉีเพิ่งเกิด การนอนถือเป็นเรื่องสำคัญ นางนำงูวารีออกมาแล้วนำจุดพลังของมันออกมา และขอหนานกงเวิ่นเทียนทำภูเขาน้ำแข็งเล็กๆให้ นางใช้มีดแล่เนื้องูให้เป็นแผ่นบางๆ คล้ายปีกของจักจั่น ใสเสียยิ่งกว่ากระจกวารี หนานกงเวิ่นเทียนมองเนื้องูบางๆที่หลิวหลีแล่ลอยไปแปะบนภูเขาน้ำแข็งที่เขาสร้างด้วยความตกตะลึง เพียงไม่นานภูเขาน้ำแข็งอันน้อยๆก็เต็มไปด้วยเนื้องู หลิวหลีเก็บมีดแล้วทำน้ำจิ้ม เมื่อนึกได้ว่ากิเลนน้อยเพิ่งจะเกิดออกมาได้ไม่นาน หลิวหลีจึงทำไข่ตุ๋นนุ่มๆไว้ให้มัน คิดแล้วจึงเอาหมูสับเล็กน้อยมาใช้ทำผัดเต้าหู้หมูสับให้กับจื่อฉีเพิ่มอีกเมนู
เมื่อกิเลนน้อยได้กลิ่นอาหารก็รีบพยายามเข้าไปหาหลิวหลี หลิวหลีหยิบไข่ตุ๋นป้อนกิเลนน้อยทีละคำ สีหน้าของหนานกงเวิ่นเทียนเย็นชา เจ้ากิเลนตัวน้อยนี้ช่างขวางหูขวางตาจริงๆ อยากจะเสกให้แข็งจนกลายเป็นรูปปั้นน้ำแข็งไปเลย ถึงแม้สีหน้าจะเย็นชา แต่ท่าทางที่แสดงออกมากลับแฝงไปด้วยความน้อยใจ เอ๋าเลี่ยก็รู้สึกไม่ดีเช่นกัน ทำไข่ตุ๋นหอมนุ่มให้กับกิเลนน้อย แต่ทำแผ่นเนื้องูสดให้กับพวกเขา กินดิบแต่จะทำให้ดูสวยงามทำไม เสวียนหั่วกลับมองศิษย์ป้อนอาหารกิเลนน้อยด้วยความสนอกสนใจราวกับเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ แล้วจึงมองหนานกงเวิ่นเทียนที่มีท่าทีน้อยใจ คุณสมบัติร่างกายแบบนี้มันช่างโหดร้ายจริงๆ ดูสิ…เป็นเด็กหนุ่มอยู่ดีๆก็ทำตัวเหมือนเด็กสาวไปได้
หลังจากที่หลิวหลีป้อนกิเลนน้อยเสร็จ ก็พบว่าทุกคนยังไม่ได้ลงมือกินอาหาร
“ทุกคนทำไมไม่กินกันล่ะ ทิ้งไว้นานมันจะไม่อร่อยนะ” หลิวหลีวางจื่อฉีลง หยิบแผ่นงูสดขึ้นมาจิ้มซอสแล้วใส่เข้าปาก โอ้โห…อร่อยมากเหมือนกับที่นางคิดไว้เลยจริงๆ งูวารีตัวนี้กินพวกปลากุ้งเป็นอาหารมานาน อีกทั้งยังได้ดูดซับพลังงานจากลูกแก้วเซียนวารีมาเล็กน้อย เนื้อของมันจึงหอมนุ่มเป็นพิเศษ การปรุงอาหารแบบนี้เหมาะสมที่สุดแล้ว นอกจากจะสามารถรักษาความสดของมันได้แล้ว ยังสามารถกักเก็บพลังเซียนไว้ได้อีกด้วย
เมื่อเห็นหลิวหลีกิน คนพวกนั้นก็รีบลงมือตามทันที เมื่อกินเสร็จ ก็เป็นเหมือนหลิวหลี อร่อยมากจริงๆ เนื้องูสดแผ่นน้อยใหญ่บนภูเขาน้ำแข็งก็หายวับไปอย่างรวดเร็ว จนเหลือแค่เพียงภูเขาน้ำแข็งเท่านั้น พวกเขาจึงวางตะเกียบลง กินอิ่มสบายท้องจริงๆ
“หลิวหลี เจ้ามีแผนอะไรไหม” กินกันอย่างอิ่มหนำสำราญ เอาล่ะ จริงๆก็แค่ลองกินเท่านั้นเอง พอบรรลุช่วงบำเพ็ญศีลแล้วก็ยิ่งไม่อยากอาหารไปทุกที
“แผนหรือ ตอนนี้ยังไม่ได้คิด อยากขัดการเรื่องราวต่างๆให้เรียบร้อยแล้วนอกสำนักไปท่องโลกให้ทั่ว ครั้งนี้ไปแค่โลกมนุษย์ ไม่รู้ว่าข้างนอกสำนักเป็นอย่างไรกันแน่” หลิวหลีคิดๆแล้วก็พูดขึ้น ยังไม่รู้ว่าลูกแก้วเซียนวารียังใช้การได้หรือไม่ อีกอย่างนางยังต้องฝึกคัมภีร์มังกรนพเก้าบทที่ 3 ด้วย เพลิงอัสนีครามกับเพลิงบุปผาเหมันต์ก็ยังจำเป็นต้องขัดเกลา แล้วก็ยังต้องดูว่าความสามารถในการปรุงยาก้าวหน้าหรือไม่ สามารถปรุงยาระดับห้าได้หรือไม่ ดูแล้วมีอีกหลายเรื่องที่ต้องจัดการ
“ศิษย์เอ๋ย หลังจากนี้สามปี เจ้าต้องออกจากสำนักไปเมืองเฟยเซียน ที่นั้นจะจัดการแข่งขันสำหรับนักปรุงยาที่มีอายุต่ำกว่า 50 ปี ของรางวัลอาจไม่มีอะไรมากแต่ที่สำคัญคือเจ้าฝึกปรุงยาคนเดียวมาตลอด ลองออกไปประลองกับคนอื่นดูอาจจะได้มีความรู้อะไรใหม่ๆบ้าง” เสวียนหั่วคิดแล้วก็กำชับ ตอนนั้นเขาก็เคยเข้าร่วมเหมือนกัน
“เจ้าค่ะ อาจารย์ ข้าเข้าใจแล้ว” ไปประลองดูหน่อยก็ดี จะเอาแต่เข้าฌาน ฝึกฝนคนเดียวก็ไม่ดีเท่าไหร่
“สหายน้อยหนานกง เจ้าล่ะ” เสวียนหั่วถามขึ้น
“ข้าอยากจะลองไปขั้วโลกเหนือ” หนานกงเวิ่นเทียนกล่าว
“เสี่ยวเทียนก็จะไปเหมือนกันหรือ” หลิวหลีถาม ทำไมไม่เห็นบอกเลย หลิวหลีจับไปที่หน้าอกรู้สึกเจ็บปวดอย่างบอกไม่ถูก
“ใช่ ตอนนี้พลังบำเพ็ญเพียรได้กลับไปเป็นเหมือนเดิมแล้ว บวกกับที่คุณสมบัติร่างกายเกิดเปลี่ยนแปลงไป อิงเสวี่ยต้องไปขั้วโลกเหนือเพื่อค้นหาโสมหิมะ ที่นั่นก็มีผลดีต่อการฝึกบำเพ็ญของข้าด้วย” หนานกงเวิ่นเทียนอธิบาย
ดังนั้นเสวียนหั่วจึงเห็นศิษย์ของตัวเองที่ไม่สามารถเข้าฌานได้ในตอนนี้กำลังวุ่นวายอยู่ในครัว เพื่อเตรียมของกินให้กับผู้ชายบางคนที่กำลังจะออกไปข้างนอก สิ่งที่คล้ายกับเงินชั่งนี้เรียกว่า เกี๊ยว มีหลากหลายรสชาติ อีกทั้งยังมีของหลายอย่างที่ทำมาจากเนื้อ ทำไมถึงได้รู้สึกเหมือนเด็กที่เลี้ยงมากับมือกำลังจะถูกคนอื่นเอาไปอย่างไรอย่างนั้น
หลังจากผ่านไปหนึ่งเดือนหนานกงเวิ่นเทียนหยิบเอาแหวนเก็บของที่หลิวหลีเตรียมของหลายอย่างไว้ให้แล้วก็จากไป หลิวหลียืนมองจนลับสายตาไม่เห็นเงาแล้วจึงหันเดินกลับไปยังสถานที่เข้าฌานของตัวเอง จื่อฉีมองดูแผ่นหลังของหลิวหลีด้วยความสงสัย อืม…มีความเศร้าสร้อยเล็กน้อย
“นังหนู เจ้ากำลังมองอะไร” เอ๋าเลี่ยถามขึ้น โชคชะตาของหลิวหลีดีจนน่าหมั่นไส้ ไม่กี่วันก่อนหน้าที่หนานกงเวิ่นเทียนจะไป จื่อฉีก็มีอายุครบหนึ่งเดือน ก็สามารถใช้ดวงจิตสื่อสารได้แล้ว
จื่อฉีคือบุตรของกิเลนกับม้ามังกร แต่ว่าเป็นกิเลนประเภทไหนนั้น จื่อฉีเองก็ไม่สามารถบอกได้ รู้แค่ว่าตัวเองมีความทรงจำที่ถ่ายทอดส่งต่อมา หนึ่งขวบก็สามารถพูดได้ แล้วก็เป็นอสูรเทพกลายพันธุ์ระดับสุดยอดเช่นกัน มันสามารถกัดกินป้อมปราการและแนวเขตต้องห้ามได้ ทำให้หลิวหลีรู้สึกเหมือนถูกรางวัลที่หนึ่ง แล้วสาเหตุที่ติดตามหลิวหลี นั่นก็เพราะหลิวหลีทำอาหารได้ อีกทั้งถ้าไม่เพราะเอ๋าเลี่ยทำพันธสัญญากับหลิวหลีก่อน มันก็ผูกพันธสัญญากับหลิวหลีได้เช่นกัน โดยรวมแล้วตอนนี้พอจะรู้เรื่องบิดามารดาของนางบ้างแล้ว มาดานางเป็นคนสกุลหลง ส่วนบิดาเป็นคนสกุลจ้าน
ณ บ้านสกุลหลงในโลกอสูรเทพ หลงเหวินเซวียน ผู้นำสกุล ด้านข้างมีบุตรชายคนโตหลงจิ่งอู๋ ลูกชายคนรองหลงจิ่งหนาน เมื่อได้รับสารจากลูกชายคนที่สาม ก็กำลังรอคอยข่าวดีที่เขากำลังจะนำมาให้
“น้องสามกลับมาแล้ว” หลงจิ่งหนานมองดูหลงจิ่งหลินกับเอ๋าตงที่รีบร้อนกลับมา
“ท่านพ่อ พี่ใหญ่ พี่รอง” หลงจิ่งหลินทำความเคารพก่อนเป็นอันดับแรก
“เจ้าสาม เจ้ามีเรื่องอะไรกันแน่ ถึงขนาดเรียกให้พวกเรามา” หลงเหวินเซวียนถามขึ้น
“ท่านพ่อ ข้ามีข่าวคราวของน้องเล็กแล้ว” หลงจิ่งหลินพูดด้วยความตื่นเต้น
“น้องสาม เจ้าบอกว่าเจ้ามีข่าวคราวของน้องเล็ก เจ้าออกไปครั้งนี้ก็เพราะมีข่าวของน้องเล็กเจ้าจึงออกไป ทำไมไม่เรียกพี่รองออกไปด้วย” หลงจิ่งหนานที่เป็นคนใจร้อนพูดขึ้น
“น้องสาม โคมวิญญาณของน้องเล็กดับไปแล้วไม่ใช่เหรอ” หลงจิ่งอู๋พูดขึ้น
“ใช่ น้องเล็กไม่ได้อยู่บนโลกนี้แล้วจริงๆ แต่นางมีสูกสาวนามหลิวหลี ตอนนี้เป็นศิษย์ของปรมาจารย์เสวียนหั่วแห่งสำนักเมฆาคล้อย”
“น้องเล็กมีลูกหรือ ทำไมเจ้าไม่พากลับมาด้วย นางชื่อหลิวหลีหรือ ชื่อไพเราะไม่เลวเลย อาจารย์ก็ไม่เลวด้วยเช่นกัน น่าจะมีแกนวิญญาณอัคคีใช่ไหม” หลงเหวินเซวียนพูดขึ้น
“ไม่เพียงเท่านั้น นังหนูเป็นร่างวิญญาณอัคคี ตอนนี้อายุแค่ 18 ปีก็มีพลังบำเพ็ญเพียรอยู่ในจุดสูงสุดช่วงบำเพ็ญเพียรระยะปลาย อีกไม่นานก็จะบรรลุช่วงอมตะ”
เมื่อหลงจิ่งหลินพูดจบ สามพ่อลูกมีเพียงความคิดเดียวคือ ‘อัจฉริยะ’
“เจ้าสาม ทำไมไม่พานางกลับมาที่บ้าน” หลงเหวินเซวียนพูดอย่างไม่สบอารมณ์
“ข้าก็อยาก แต่นางไม่อยากกลับมา อีกทั้งกลับมาก็ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับนาง” หลงจิ่งหลินพูดขึ้นพลางทำหน้าจะร้องไห้ เขากะแล้วว่ามันจะต้องเป็นแบบนี้
“ทำไม บ้านสกุลหลงของข้าออกจะใหญ่โต ยังไม่มีประโยชน์ใดต่อนางอีกหรือ” หลงจิ่งหนานพูดอย่างไม่พอใจ
“ท่านพ่อ พี่ใหญ่ พี่รอง ใจเย็นๆ พวกท่านฟังข้าพูดก่อน นังหนูฝึกฝนคัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณ”
ทุกคนนิ่งไป ทำไมถึงได้ไปฝึกเคล็ดวิชาที่แปลกประหลาดเช่นนี้ได้เล่า
……………………………………………..