แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 397 นักปรุงยาตาบอดแล้ว
“ช่วงนี้ประมุขเทพคนนั้นโอ้อวดเสียเหลือเกิน ไม่ได้เห็นพวกเราอยู่สายตาเลย” นักปรุงยาเทพคนหนึ่งพูดด้วยน้ำเสียงชั่วร้าย
“แล้วอย่างไร เจ้าบอกเองว่านั่นคือประมุขเทพอัคคีที่แท้จริง พวกเราก็เป็นแค่ราชาเทพ พวกเจ้าจะไปทำอะไรนางได้” มีคนพูดพลางถอนหายใจ ประมุขเทพอัคคีที่แท้จริงท่านนั้นบรรลุขึ้นมานานเท่าไหร่เชียว ก็เป็นประมุขเทพแล้ว แต่พวกเขายังเป็นราชาเทพอยู่ ไม่มีการพัฒนาเลยแม้แต่น้อย
“แล้วอย่างไร คิดว่าปรุงยาได้ไม่กี่เม็ดก็เยี่ยมยอดแล้วหรือ อีกอย่าง ช่วงนี้จักรพรรดิเทพเพลิงอัคคี (เหยียนหั่ว) ปฏิบัติต่อข้าไม่ใคร่ดีนัก พอถามดูถึงได้รู้ว่า นังหนูมอบเม็ดยาไปให้ไม่น้อย น่ารังเกียจ” นักปรุงยาเทพคนหนึ่งพูดพลางตบโต๊ะ
“อย่าพูดเช่นนี้ อย่างน้อยนางก็ไม่จำเป็นต้องได้รับการปกป้อง สามารถปกป้องตัวเองได้ แต่พวกเรายังต้องให้คนอื่นมาปกป้องอยู่เลย” นักปรุงยาเจียงไหวกล่าว แต่เขาก็อยากเจอประมุขเทพอัคคีที่แท้จริงผู้นี้เช่นกัน ไม่อย่างนั้นเขาคงไม่มาวุ่นวายกับพวกคนโง่พวกนี้ แล้วพูดอีกอย่างอีกฝ่ายก็เป็นประมุขเทพ พวกนี้เสวยสุขอยู่กับตำแหน่งสูงจนสมองไม่ทำงานไปแล้ว
“เช่นนั้นแล้วอย่างไร สิ่งที่สำคัญที่สุดของนักปรุงยาคือสามารถปรุงยาได้ พวกเรามองจากผลงานการเท่านั้น” มีคนตอบอย่างไม่พอใจ สรรหาตำราปรุงยาเป็นสิ่งที่พวกเขาไขว่คว้า คนอย่างประมุขเทพอัคคีที่แท้จริงที่ไม่มีประเภทแน่ชัด จะเรียกเป็นเทพนักปรุงยาได้อย่างไร นี่เป็นการเหยียดหยามกันชัดๆ
“ข้าส่งเทียบเชิญไปให้นางในชื่อศาสตร์ปรุงยา เชื่อว่าประมุขเทพท่านนั้นจะต้องมาแน่ เมื่อถึงเวลาพวกเราก็จะแยกแยะได้เอง”
หลิวหลีเล่นข่าวสารที่ได้รับในมือ พูดอะไรก็เป็นอย่างนั้นจริงๆ สมองคงจะเน่ากันหมดแล้ว ประมุขเทพอย่างนางมีอะไรให้ราชาเทพสงสัยกัน พวกเขาคงไม่รู้จุดประสงค์ที่ตัวเองต้องมาอยู่ในภูเขาเทวา หรือไม่ก็คิดว่าคงจะไม่มีเทพที่แท้จริงแล้ว มีฝ่ายของตนเองสำคัญอย่างยิ่ง เหมือนว่านางจะไปขัดแข้งขัดขาใครเข้าแล้ว
“น้องหญิง เจ้าว่าจะไปไหม?” หนานกงเวิ่นเทียนเองก็เย้ยหยันดูคนพวกนั้นเช่นกัน เทียบไม่ได้แม้แต่นิ้วก้อยของภรรยาเขา เอาความกล้าจากไหนมาถึงได้กล้าส่งเทียบเชิญให้นาง โอหังเสียเหลือเกิน เขาอยากจะแหวกสมองของเทพนักปรุงยาพวกนี้ดูจริงๆว่าคิดอะไรกันอยู่ ฮูหยินของเขาเป็นถึงประมุขเทพ
“ไปสิ ทำไมจะไม่ไป ในฐานะของผู้อาวุโสที่นำหน้าไปก่อนพวกเขา ข้ามีหน้าที่สั่งสอนทายาทที่พลังบำเพ็ญเพียรอ่อนด้อย คนเราน่ะนะ ต้องอ่อนน้อมถ่อมตน” หลิวหลียืนยัน ไม่ใช่ว่านางกลัวพวกเขา เพียงแต่สมองคนพวกนี้ไม่ดีจริงๆ นางจะไปดูสักหน่อยว่าสมองยังมีสติสัมปชัญญะดีอยู่หรือเปล่า
“อ้าว คิดไม่ถึงว่าจะอยู่กันหมด กำลังรอประมุขเทพอย่างข้าอยู่หรือ” ทันทีที่อ้าปากหลิวหลีก็บอกตำแหน่งพลังของตนเอง ต่อให้พวกเจ้าดูแคลนอย่างไร นางก็ยังเป็นประมุขเทพ พวกเจ้าต้องปฏิบัติต่อนางด้วยความเคารพ
“คารวะประมุขเทพอัคคีที่แท้จริง” สีหน้าของทุกคนไม่สู้ดีนัก ไม่ว่าใครถูกหยามเกียรติเช่นนี้ก็คงหน้าไม่สู้ดีทั้งนั้น นางเพิ่งพบว่าเป็นเทพนักปรุงยาเพศชายกันทุกคน ไม่มีหญิงสาวเลย
“ข้าชื่อจ้านเฟิง เป็นคนจัดงานชุมนุมยาเทพศักดิ์สิทธิ์ครั้งนี้ขึ้น ในเมื่อทุกคนมากันครบแล้วก็นั่งลงกันก่อนเถอะ ประมุขเทพอัคคีที่แท้จริง งานชุมนุมครั้งนี้จะยึดถือตามศาสตร์ปรุงยา ถึงแม้ประมุขเทพจะมีพลังบำเพ็ญเพียรสูงสุด แต่ก็ไม่เคยเข้าร่วมงานชุมนุมยาศักดิ์สิทธิ์เลยสักครั้ง ดังนั้นที่นั่งของท่านจึงอยู่ที่ตำแหน่งสุดท้าย” จ้านเฟิงพูดเหมือนจะอธิบาย แต่ความจริงนั้นกำลังฉีกหน้านาง
“เจ้าสกุลจ้าน เคยเป็นคนสกุลจ้านเผ่าอสูรเทพหรือ?” หลิวหลีหรี่ตามอง
“ถูกต้อง” จ้านเฟิงพยักหน้า เขาเป็นคนสกุลจ้านจริงๆ ว่าแต่ประมุขเทพอัคคีที่แท้จริงถามเรื่องนี้ทำไม
“พอเข้าใจขึ้นบ้างแล้ว” มิน่าล่ะ คนสกุลจ้านไม่เคยทำให้นางประทับใจสักครั้ง ที่แท้รากเหง้าอยู่ที่นี่นี่เอง สายเลือดถ่ายทอดกันได้อย่างแข็งแกร่ง
จ้านเฟิงไม่เข้าใจ ถามเรื่องนี้กับตนทำไมกัน หลิวหลีนั่งลงบนที่นั่งลำดับสุดท้ายไม่พูดจา งานเลี้ยงเลือดนี้จะดำเนินต่อไปอย่างไร ใช้สิ่งที่พวกเขาถนัดนักหนามาตบหน้าพวกเขา คงต้องสนุกมากแน่
“ทุกท่านคงจะเข้าร่วมสมาคมยาศักดิ์สิทธิ์มากันไม่น้อย และก็มีประมุขเทพอัคคีที่แท้จริงที่มาเข้าร่วมเป็นครั้งแรก หากประมุขเทพไม่เข้าใจตรงไหนก็พยายามสอบถามได้ แน่นอนว่าพวกข้าจะบอกทุกอย่างที่พวกข้ารู้อย่างหมดเปลือก” จ้านเฟิงดูเหมือนจะดูแลหลิวหลี แต่ในความจริงแล้วกำลังเยาะเย้ยที่นางไม่รู้เรื่องอะไร
“เชิญตามสบายเถอะ หากพูดคุยกันแล้วหาข้อสรุปไม่ได้ก็สามารถถามข้าได้ ร้ายดีอย่างไรก็ยังมีพลังของข้าอยู่ถูกไหม” หลิวหลีย้อนทันที ทำเอาจ้านเฟิงโมโหจนแทบหยุดหายใจ
แล้วการถกเถียงต่างๆก็เริ่มต้นขึ้น หลิวหลีเพียงรู้สึกว่าทำไมคนพวกนี้ถึงได้โง่เขลาเช่นนี้ เรื่องพื้นฐานบางเรื่องก็สามารถทะเลาะกันจนหน้าดำหน้าแดงได้ นี่เรียกนางมาดูเรื่องตลกหรือนี่
“ไม่ทราบว่าประมุขเทพอัคคีที่แท้จริงมีความเห็นอย่างไร อย่างไรเสียท่านก็มีพลังบำเพ็ญเพียรสูงสุดที่นี่” อยู่ๆก็มีคนหันเป้ามาทางหลิวหลี
“เรื่องนั้นน่ะ พลังประสาทเซียนของพวกเจ้าย่ำแย่มาก ทำไม่ได้ก็ปกติ” คำพูดของหลิวหลีทำให้คนฟังรู้สึกไม่ดีอย่างมาก เด็กคนหนึ่งจะรู้ไหมว่าประสาทเซียนของนักปรุงยาแข็งแกร่งแค่ไหน ถึงได้พูดว่าพลังประสาทเซียนของพวกเขาย่ำแย่
“พูดเช่นนี้ ประมุขเทพทำได้หรือ” คนถามสะกดอารมณ์ขณะถามออกมา
“ก็พอได้” จากนั้นก็ควบคุมประสาทเซียนแล้วจบปัญหาที่พวกเขาถกเถียงกันอยู่เมื่อครู่อย่างคล่องแคล่วง่ายดาย ไม่มีติดขัด ทำให้ทุกคนตะลึง ประมุขเทพอัคคีที่แท้จริงคนนี้มีฝีมือจริงๆ แต่ก็ไม่ได้อธิบายอะไร
“ขอบคุณท่านประมุขเทพ” คนที่ถามคำถามคิดอยากให้หลิวหลีหน้าแตก แต่ไม่เคยคิดว่าคนที่ขายหน้าจะเป็นตนเอง
“ประมุขเทพ ข้าปรุงยาจนถึงขั้นตอนสุดท้ายแล้วมักจะมีปัญหา ไม่ทราบว่าประมุขเทพให้คำตอบข้าได้หรือไม่?” มีคนตั้งคำถามขึ้นมาอีก
“ทักษะของพวกเจ้าไม่ผ่านจึงเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้นเป็นธรรมดา อีกทั้งปัญหานี้ง่ายดาย พื้นฐานของเจ้าไม่ถึงขั้น สนใจแต่เรื่องปรุงยาให้สำเร็จ แล้วสิ่งที่ต้องทำกลับไม่ทำให้ครบถ้วนสมบูรณ์ คิดว่าที่ถามคำถามเช่นนี้ได้อัตราสำเร็จในการปรุงยาคงไม่สูงนัก” หลิวหลีสรุปทันที พูดจนคนที่เอ่ยปากถามหน้าคล้ำดำไปหมด เพราะสิ่งที่หลิวหลีพูดคือเรื่องจริง ในบรรดาคนพวกนี้อันตราสำเร็จในการปรุงยาของเขาต่ำที่สุด พอโดนคนจี้จุดตรงๆแบบนี้ แถมมีคนรอบๆหัวเราะคิกคัก พันธมิตรที่ตกลงกันไว้เป็นแค่เรื่องตลกทั้งเพ
“พวกเจ้ามากันหมดแล้ว ต้องขอโทษด้วยที่ข้ามาสาย เข้าภูเขาเทวาไม่ง่ายนัก” หลงเหยียนจิ่งพูด
“เจ้ามาแล้ว พี่หลงข้าบอกแล้ว ว่าอย่าไปอยู่สถานที่ชั้นต่ำนั่น ท่านก็ไม่ฟัง” จ้านเฟิงพูด
“ไม่ดีตรงไหน เฮ้อ คนเยอะเชียว หลิวหลี เจ้ามาทำอะไรที่นี่ แต่ก็จริง เจ้าก็เป็นเทพนักปรุงยาเหมือนกันนี่” ก่อนอื่นหลงเหยียนจิ่งชะงักไป แล้วจึงรู้สึกโล่งใจ อย่างไรเสียนังหนูคนนี้ก็เป็นเทพนักปรุงยาเช่นกัน แถมมีฝีมือมากเสียด้วย
“พี่หลง พวกเจ้ารู้จักกันหรือ” จ้านเฟิงตกใจที่พวกเขาสนิทกัน
“แน่นอน นางเป็นทายาทสกุลหลงของข้า ข้าจะไม่รู้จักนางได้อย่างไร ว่าแต่ หลิวหลีข้ามองตำแหน่งพลังของเจ้าไม่ออก” หลงเหยียนจิ่งตะลึงค้างไป เขาอ่านพลังบำเพ็ญเพียรของหลิวหลีไม่ออกแล้ว
“ผู้อาวุโส ท่านร่าเริงขึ้นมาก ใถูกต้องแล้ว อัคคีอที่แท้จริงคือฉายาข้า ชื่อจริงของข้าคือหลงหลิวหลี ท่านแม่สกุลหลง ส่วนท่านพ่อ โชคร้ายนักที่เป็นคนสกุลจ้าน” เหมือนหลิวหลีจะตั้งใจ นางมองจ้านเฟิงอย่างเย้ยหยัน
สีหน้าจ้านเฟิงดำคล้ำทันที กระอักกระอ่วนอย่างยิ่ง หมายความว่านางก็เป็นคนสกุลจ้านเหมือนกับตนเอง นี่เรียกว่าอ้างว่าเป็นคนนอกฉีกหน้าตนเองหรือ
“นังหนู เจ้าไม่เห็นเคยบอกว่าบิดาเจ้าเป็นคนสกุลจ้าน แปลว่าท่านพ่อของเจ้าแต่งเข้าสกุลหลงหรือ” ไม่อย่างนั้นนางจะแซ่หลงได้อย่างไร
“ไม่ใช่ ข้าตัดสินว่าสกุลหลงค่อนข้างดีกว่า” คำพูดของหลิวหลีทำให้จ้านเฟิงรู้สึกเหมือนถูกตบหน้าดังเพี๊ยะ
………………………………………..