แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 41 โดนปล้นได้ง่าย
หลิวหลีที่บำเพ็ญเพียรเสร็จ จัดการเรื่องทุกอย่างของตัวเองเรียบร้อย นางก็ร่ำลาอาจารย์อย่างเริงร่า โดยตั้งใจจะไปเที่ยวเล่นที่โลกบำเพ็ญเพียรเสียหน่อย เสวียนหั่วเองก็อนุญาตอย่างเต็มใจ พอพลังบำเพ็ญเพียรระดับเขาแล้ว การเข้าฌานก็ไม่มีความหมายใดๆ จู่ๆศิษย์ที่อบรมฝึกฝนยังเป็นคนน่าสนใจ แถมไม่พอยังเป็นศิษย์ที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยม
หลิวหลีรู้สึกว่าตนเองไม่จำเป็นต้องเตรียมอะไรมากมาย พวกยานางก็ปรุงเองได้ ส่วนอาวุธก็มีดาบยักษ์อยู่ ค่ายกลที่อาจารย์เคยให้ก็ยังเหลืออยู่ พวกเขตแดนต้องห้ามก็ยังมีจื่อฉี ส่วนเรื่องหินวิญญาณนั้น หลิวหลีหวนคิดถึงคำพูดของอาจารย์ที่พูดได้อย่างถูกต้อง เขาบอกว่านักปรุงยาจะไม่มีวันขาดแคลนหินวิญญาณแน่นอน ยิ่งไปกว่านั้นการร่วมมือกับเอ๋าเลี่ย ทำให้นางมีรายได้จากหินวิญญาณไม่น้อย
หลิวหลีที่ไม่รู้สึกว่าขาดแคลนอะไร ก็ออกเดินทางอย่างเป็นสุข นางส่งข่าวบอกโจวอีและโจวมั่ว คนระดับสูงในสำนักต่างรู้ว่าศิษย์น้องมีประสบการณ์ในการท่องโลกภายนอกอย่างโชกโชน นางน่าจะไปเข้าร่วมงานปรุงยาครั้งใหญ่ที่เมืองเฟยเซียนแน่
หลิวหลียังคงไร้จุดหมาย ทันทีที่ย่างกรายสู่โลกบำเพ็ญเพียรนางก็ตรงเข้าสำนัก และการออกนอกสำนักเพียงครั้งเดียวของนางนั้นก็คือไปที่โลกมนุษย์ นางจึงไม่ออกเดินทางไกลในครั้งแรก นางจึงไปลองชิมฝีมือแม่ครัวศักดิ์สิทธิ์ เพื่อลิ้มรสว่าต่างจากที่นางทำเองหรือไม่ จื่อฉีในอ้อมแขนเรียกความสนใจจากผู้บำเพ็ญหญิงไม่น้อย
หลิวหลีที่กินจนอิ่มหนำ กระชับกอดจื่อฉี แปะยันต์สลาตันแล้วหายตัวไป นางไม่ทันเห็นว่ามีคนสนใจในตัวจื่อฉีแม้แต่น้อย
นางมุ่งหน้ามายังเมืองเล็กๆแห่งหนึ่ง นางตัดสินใจลองไปหาภารกิจทำดู ดังนั้นจึงปรับพลังบำเพ็ญเพียรให้อยู่ในช่วงพื้นฐานระยะปลาย ตั้งใจจะไปรับภารกิจ ส่วนสถานะนักปรุงยาระดับสองนั้น อย่างไรเสียที่นี่นั้นก็มีผู้บำเพ็ญเพียรช่วงพลังต่ำเป็นจำนวนมาก
หลิวหลีเช่าที่พักเล็กๆแห่งหนึ่งไว้เป็นเวลาสามเดือน แต่นางจ่ายหินวิญญาณไปเป็นค่าเช่าเป็นจำนวนหกเดือนเผื่อป้องกันเหตุไม่คาดฝัน และเนื่องจากนางยอมจ่ายหินวิญญาณอย่างง่ายดาย เจ้าของจึงตอบรับอย่างเต็มใจเช่นกัน
เมื่อนางทำภารกิจหลายครั้งเข้า คนแถวนั้นต่างรู้ว่ามีนักปรุงยาระดับต่ำนามว่าหลงหลีมาที่นี่ หลิวหลีเป็นคนดีและใจกว้าง หากมีคนเจอเรื่องเดือดร้อนแล้วขอให้นางช่วยเหลือ นางจะลดค่าธรรมเนียมให้ ทำให้ดึงดูดความสนใจของผู้คนไม่น้อย
“สหายหลง เจ้าว่างหรือไม่?” ผู้บำเพ็ญชายผู้หนึ่งที่มาขอให้หลิวหลีช่วยปรุงยาบ่อยๆ ดูเหมือนจะมีเรื่องอยากพูดกับนาง
“สหายเหลียน มีเรื่องใดหรือ” หลิวหลีเย่อมเข้าใจทันทีว่าอีกฝ่ายต้องเกิดเรื่องถึงได้มาหานาง หลิวหลีไม่ชอบอ้อมค้อม พูดตรงๆจะดีที่สุด อีกทั้งเหลือเวลาอีกแค่เดือนเดียวนางก็จะไปจากที่นี่แล้ว
“ข้าขอบอกสหายหลงตรงๆ มีแดนลี้ลับแห่งหนึ่งต้องการยาของเจ้า ทุกอย่างที่สำรวจพบจากดินแดนลี้ลับแห่งนี้จะเป็นของเจ้าส่วนหนึ่ง” เหลียนเฉิงพูดอย่างไม่ปิดบัง บอกจุดประสงค์อย่างตรงไปตรงมา
“ย่อมได้” หลิวหลีพยักหน้า ให้การเดินทางไปแดนลี้ลับนี้เป็นจุดสิ้นสุดของเมืองเล็กๆแห่งนี้แล้วกัน
“ถ้าเช่นนั้นอีกสามวันพวกเราออกเดินทางกัน เจอกันที่ปากประตูเมือง” เหลียนเฉิงไม่คิดว่าจะง่ายดายเช่นนี้
“ตกลง ข้าจะเตรียมยาไว้มากหน่อย” หลิวหลีพยักหน้า
หลังจากที่เหลียนเฉิงจากไป หลิวหลีก็ถามเอ๋าเลี่ย
“อาเลี่ย เจ้าว่าจะเป็นแดนลี้ลับเช่นใดกัน?” จำเป็นต้องพูด คำว่าแดนลี้ลับนี้ช่างดึงดูดนางนัก
“ไม่แน่ใจเหมือนกัน ข้าไม่เคยได้ยินว่ามีแดนลี้ลับอะไร” เอ๋าเลี่ยสับสนเล็กน้อย แดนลี้ลับจำนวนมากถูกปกครองโดยสำนักต่างๆ แต่ตอนนี้แดนลี้ลับที่ยังไม่ถูกพบมีน้อยมาก เขาเองก็ไม่แน่ใจเช่นกัน
“จับตาดูความเป็นไปอย่างเงียบๆเถอะ ให้มันเป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายสำหรับเมืองเล็กๆแห่งนี้” หลิวหลีเอ่ย
เหลียนเฉิงที่กลับมายังที่พักของตนก็ถูกล้อมด้วยคนสี่คน
“เจ้าสาม นางรับปากแล้วหรือ?”
“วางใจเถอะ ข้าออกโรงเองมีหรือจะพลาด” เหลียนเฉิงพูดพลางตบหน้าอกตนเอง
“เจ้าพูดเช่นไรหรือ”
“พูดตรงๆน่ะสิ ลูกผู้รากมากดีไม่เคยเห็นโลกภายนอก ย่อมอยากรู้อยากเห็นเรื่องแดนลี้ลับเป็นธรรมดา ดูก็รู้ว่าสัตว์เลี้ยงของเขามีมูลค่าขนาดไหน ยังไม่รู้จักซ่อนมันไว้อีก ไม่ปล้นเขาและจะปล้นใครเล่า” เหลียนเฉิงกล่าว
เมื่อกล่าวถึงตรงนี้ ใช่แล้ว…พวกเหลียนเฉิงเป็นกลุ่มโจรมืออาชีพของที่นี่ มีผู้บำเพ็ญเสียท่าให้พวกมันมาแล้วนับไม่ถ้วน
“ได้ยินว่าเป็นนักปรุงยา ยาสลบของเราจะใช้ได้ผลหรือ?” มีคนเอ่ยขึ้น
“วางใจเถอะ เขาเป็นแค่นักปรุงยาระดับสองเท่านั้นเอง ยาสลบของพวกเราเป็นยาคุณภาพระดับสี่เลยนะ” บางคนรู้สึกว่าเขาต้องทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่
“ปล้นครั้งนี้แล้วจะเข้าฌานได้อย่างสบายใจเสียที พลังบำเพ็ญเพียรจะต้องพัฒนาแน่” เหลียนเฉิงเอ่ยขึ้น ตอนนี้เขาอยู่ขั้นพื้นฐานระดับสุดยอดระยะปลายแล้ว ห่างจากช่วงบำเพ็ญศีลเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
สามวันต่อมา หลิวหลีก็มาพบพวกเหลียนเฉิงที่ปากประตูเมือง
“สหายหลง ทางนี้” เหลียนเฉิงโบกมือเรียก
“สหายเหลียน” หลิวหลีเรียกชื่อของเขา แล้วคนที่เหลือก็พยักหน้ารับ
“สหายหลง ข้าขอแนะนำให้เจ้ารู้จัก อู่อี้ พลังบำเพ็ญเพียรอยู่ในช่วงบำเพ็ญศีลระยะต้น โหยวซานเหนียง อยู่ช่วงพื้นฐานระยะปลายขั้นสุดยอด เป็นผู้บำเพ็ญสายเวทย์ ส่วนคนผู้นี้คือหลิวเจิ้ง บำเพ็ญอยู่ช่วงพื้นฐานระยะปลาย เป็นผู้บำเพ็ญสายเวทย์ และนี่คือหลินผิง อยู่ช่วงพื้นฐานระยะปลาย เป็นผู้บำเพ็ญสายธนู” เหลียนเฉิงแนะนำจากซ้ายไปขวา
“หลงหลี เป็นผู้บำเพ็ญสายปรุงยา” หลิวหลีพยักหน้า แล้วแนะนำตนเอง
หลังจากทักทายกันเสร็จพวกเขาก็มุ่งหน้าเดินทางสู่การเสาะหาแดนลี้ลับอย่างเป็นทางการ
ไม่นานพวกเขาก็มาถึงปากทางเข้าแดนลี้ลับอย่างรวดเร็ว พวกเขาต่างตื่นเต้นกันเป็นอย่างยิ่ง และกินยาวิเศษของหลิวหลีไปไม่น้อยต่างชมเชย ฝีมือในการปรุงยาของอีกฝ่ายไม่ขาดปาก
“สหายหลง คิดไม่ถึงเลยว่าความสามารถในการปรุงยาของเจ้าจะสูงถึงเพียงนี้” โหยวซานเหนียงทึ่ง ดูแล้วอายุยังไม่มาก แต่ปรุงยาเก่งทีเดียว
“สหายโหยวชมเกินไปแล้ว” หลิวหลีพูดน้อยคำ ใครจะไปรู้ว่าคนกลุ่มนี้เป็นใครกัน อีกทั้งหลิวหลีปรุงยาเหล่านี้ต้องใช้เพลิงพสุธา นางไม่มีทางเอายาที่ปรุงขึ้นจากเพลิงอัคคีออกมา เพราะจะเป็นการหาเหาใส่หัวเสียเปล่า
ไม่ช้าก็มาถึงยังปากทางแดนลี้ลับ หลิวหลีสำรวจรอบหนึ่ง แดนลี้ลับแห่งนี้ช่างเล็กเสียจริง ปากทางเข้าอยู่หลังต้นไม้ ช่างดูลึกลับนัก
หลิวหลีตามทั้งห้าคนเข้าไป พวกเขากระซิบกระซาบกัน แม้จะพยายามปกปิดแต่ก็หลิวหลีก็ยังจับพิรุธพวกเขาได้อยู่ดี นางคิดแผนสำรองไว้ในใจอยู่แล้วเพราะตัวนางเองรู้สึกว่าไม่มีทางที่สิ่งดีๆจะร่วงลงมาโดยไร้สาเหตุ ถ้ามันมีจริงๆคงกระแทกหัวเจ็บน่าดู
ทั้งห้าคนนั้นงัดฝีมือการแสดงออกมาใช้ จนเหลือหลิวลีเพียงคนเดียว นางรู้สึกว่าช่างเป็นการทดสอบไอคิวที่ดีไม่น้อย ช่วยจริงใจหน่อยได้ไหม คิดว่านางโง่สินะ หลิวหลีอยากจะเดินหันหลังกลับ พอกันที แต่คิดไปคิดมานางก็เลือกจะเดินต่อ เล่นกับพวกเขาต่อสักหน่อยแล้วกัน
หลิวหลีเดินต่อเพียงลำพัง ส่วนทั้งห้าคนนั้นก็มาพบกัน
“โอ้โห้ กล้าไปเองเสียด้วย สหายหลงนี่ใจกล้าไม่เบา” เหลียนเฉิงพูดขณะมองกระจกวารี
“พวกคนรวยสนใจอะไรพวกนี้” โหยวซานเอ่ย
“เอาล่ะ พวกเราควรจะจบการเดินทางครั้งนี้ได้แล้ว” อู่อี้พูดขึ้น
หลิวหลีเดินต่อไปก็พบว่าห้าคนนั้นปรากฏตัวที่เบื้องหน้านาง หลิวหลีพุ่งไปข้างหน้าอย่างตื่นเต้น
“เหล่าสหาย พวกเจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่ โอ้ย” หลิวหลีพบว่ามีบางอย่างผิดปกติ จากนั้นนางก็ร่วงลงพื้น
“ฮ่า ๆ ช่างเป็นไก่อ่อนนี่น่าสนใจเหลือเกิน” เหลียนเฉิงหัวเราะร่า
“สหายเหลียน พวกเจ้าหมายความว่าเช่นใด” หลิวหลีแสร้งทำเป็นไม่เข้าใจ
“หมายความว่าอะไรน่ะหรือ สหายหลง นำแหวนเก็บของของเจ้าปลดผนึกแล้วเอามอบมันออกมาเสียดีๆ แล้วข้าจะไว้ชีวิตเจ้า” อู่อี้กล่าว
“พวกเจ้าจะปล้นข้าหรือ” หลิวหลีทำเหมือนเพิ่งเข้าใจ แสดงสีหน้าเกรี้ยวกราด
“พวกนักปรุงยานี่โง่เสียจริง ใช่แล้ว พวกข้าจะปล้นเจ้า” เหลียนเฉิงพูด
“พวกเราไม่ได้เป็นศัตรูกัน เหตุใดจึงทำกับข้าเช่นนี้?” หลิวหลีหัวเสีย
“พวกข้าต้องการหินวิญญาณใช้ฝึกบำเพ็ญ”
“แปลว่าที่จริงพวกเจ้าเป็นโจรสินะ” หลิวหลีพูดด้วยท่าทีนิ่งเฉย น้ำเสียงเรียบนิ่งจนทำให้พวกเขาไม่ทันสังเกตว่าที่จริงนางไม่ได้โดนวางยา
“ใช่แล้วล่ะ” พวกนั้นยอมรับออกมาอย่างง่ายดาย
“พวกเจ้าคิดว่า พวกเจ้าเก่งขนาดนั้นเชียวหรือ” หลิวหลีเลิกเล่นแล้ว ยันตัวลุกขึ้นปัดฝุ่นที่อยู่บนตัวนางทิ้ง
“เจ้าไม่เป็นอะไรเลยหรือ” เหตุใดยาสลบจึงใช้ไม่ได้ผลล่ะ