แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 52 ปฏิเสธ
ยังดีที่หลิวหลีไม่ได้สนใจปัญหานี้นัก นางใช้เพลิงอัคคีห่อหุ้มตัวเองและจื่อฉีกับหงหลินอย่างรวดเร็ว ส่วนเอ๋าเลี่ยหายตัวเข้าไปมิติสัตว์ภูตแล้ว
หลิวหลีใช้แค่เพลิงบุปผาเหมันต์เท่านั้น นางหายใจเข้าลึก จากนั้นหลับตาลงแล้วก้าวเข้าไป ครั้นหลิวหลีลืมตาขึ้นมา ก็พบว่า
“ต้นไม้ใหญ่มากจริงๆ เอ่อ บนต้นไม้มีถ้ำหลายอันมากจริง ๆ” หลิวหลีรู้สึกตกใจกับต้นไม้ขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้าเป็นอย่างมาก ต้นไม้สูงใหญ่เสียดฟ้า แต่บริเวณกิ่งไม้มีถ้ำอยู่มากมาย ขนาดไม่เท่ากัน นางพบว่าถ้ำยิ่งอยู่ด้านบน ขนาดก็จะยิ่งเล็กลงเรื่อย ๆ ด้านบนสุดมีถ้ำเล็กมากๆอยู่ถ้ำหนึ่ง ข้างล่างมีถ้ำที่ขนาดไม่เท่ากันอยู่สามแห่ง
“มีปีศาจมา” เอ๋าเลี่ยพูด
หลิวหลีรีบระวังตัวขึ้นมาในทันที
“เอ่อ มนุษย์สาว พลังบำเพ็ญอยู่ในช่วงบำเพ็ญเพียรระยะปลายขั้นสุดยอด มีเพลิงอัคคีเสียด้วย กลิ่นนี้น่าจะเป็นเพลิงบุปผาเหมันต์ พอให้ผ่านได้แบบถูไถ” อสูรปีศาจในร่างมนุษย์เดินมาสำรวจหลิวหลีตั้งแต่หัวจรดเท้าราวกับสำรวจสิ่งของ
“ท่านผู้อาวุโสคือ” หลิวหลีถามด้วยความเคารพ
“ร่างเดิมของข้าคือเสือดาว พลังเซียนเทียบเท่ากับช่วงปราณก่อนกำเนิด ข้าชื่อว่าหยวนเป้า” หยวนเป้าพูดขึ้น
“ผู้อาวุโสหยวน” หลิวหลีเรียกด้วยความเคารพ
“อืม นับว่ามีมารยาทดี แต่ว่าเจ้าเรียกข้าผู้อาวุโสเป้าเถอะ อสูรภูตที่นี่พวกเราใช้แซ่หยวนกันหมด” หยวนเป้าอธิบาย
“ผู้อาวุโสเป้า ข้าน้อยหลิวหลีจากสำนักเมฆาคล้อย” หลิวหลีแนะนำตัวเอง
“หลิวหลี ทำไมเจ้าถึงแต่งตัวเป็นผู้บำเพ็ญชายเช่นนี้ ผู้บำเพ็ญหญิงไม่น่าจะแต่งตัวเช่นนี้ไม่ใช่หรือ” หยวนเป้าคิดแล้วก็ใช้พลังเซียนวาดภาพผู้บำเพ็ญหญิงออกมา
“ผู้อาวุโส ข้าหวีผมไม่เป็นแบบนี้ง่ายดีเจ้าค่ะ” หลิวหลีจับผมอย่างจนใจ แต่ไหนแต่ไรมาหลิวหลีขึ้นชื่อว่าผู้ไร้ความสามารถในการหวีผม ครั้งวัยเยาว์ยังมีคนอื่นช่วยหวีผมให้ นับตั้งแต่โตขึ้นมาก็มัดหางม้าไว้ตลอด
หยวนเป้าคิดไม่ถึงว่าจะนางจะตอบเช่นนี้ เขาทึกทักเอาว่าเด็กสาวคนนี้จะพูดว่า ‘ชุดผู้ชายดูสง่าผ่าเผย ดูมีเสน่ห์ ทำอะไรก็สะดวก’ คิดไม่ถึงเลยว่าจะมีคนที่เกิดมาเป็นผู้หญิงแต่กลับหวีผมไม่เป็น ช่างน่าประหลาดใจเสียจริง
หยวนเป้าพาหลิวหลีเดินต่อไปข้างหน้า สัตว์ภูตกลายร่างจำนวนไม่น้อยโผล่ออกมาดูความประหลาดของมนุษย์ ทำให้หลิวหลีรู้ว่าตัวเองได้มาอยู่ในเมืองของเหล่าอสูร ในฐานะที่เป็นมนุษย์ นางรู้สึกเหมือนกำลังมาสำรวจความเป็นอยู่ของอสูรต่างๆกว่าจะเดินมาถึงถ้ำด้านบนแถวที่สองช่างแสนยากเย็น หยวนเป้านำหลิวหลีเข้าไป หญิงชายที่มีความโดดเด่นทั้งสามคนนั่งอยู่บนเก้าอี้ด้านบน
“อาเป้า นี่ก็คือมนุษย์ที่ครอบครองเพลิงอัคคีเพียงคนเดียวที่เข้ามาในรอบร้อยปีใช่ไหม” ผู้ชายที่อยู่ตรงกลางเปิดปากพูดขึ้น
หลิวหลีรู้สึกอึ้งไปเล็กน้อย แต่เพียงครู่เดียวก็กลับมาตั้งสติได้อีกครั้ง เสียงหล่อมาก หน้าตาและรูปลักษณ์ภายนอกราวกับภาพแกะสลัก โครงหน้าชัดเจน ใบหน้าคมคายดูสง่างามอย่างแปลกตา นัยน์ตาแสดงให้เห็นถึงความรักอิสระ เป็นสายตาที่ราวกับว่ามองครั้งเดียวก็ทำให้ตกตะลึงได้ มุมปากยกขึ้นเผยให้เห็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ที่ยิ่งทำให้คนรู้สึกลุ่มหลง ผู้ชายอะไรทำไมถึงหน้าตาดีได้เพียงนี้
“ตอบท่านหัวหน้า ใช่ขอรับ” หยวนเป้าพูดด้วยท่าทีนอบน้อม
“ข้าน้อยคือหลิวหลีจากสำนักเมฆาคล้อย คารวะผู้อาวุโสทั้งสามท่าน” หลิวหลีทำความเคารพอย่างนอบน้อม
“ลุกขึ้นเถอะ ข้าชื่อว่าหยวนเทียน นี่คือน้องรองข้าหยวนหู่ น้องสามหยวนเจียว” หยวนเทียนอธิบายสั้นๆ
“จิ้งจอกเก้าหาง พยัคฆ์เพลิงสะเทือนโลกา มังกรเหมันต์สามหัว” เสียงของเอ๋าเลี่ยลอยเข้ามา
ในเมื่อเป็นอสูรเทพเหมือนกัน แต่ก็ยังมีแย่งระดับขั้น ช่างเท่าเทียมกันจริงๆ หลิวหลีอดคิดขึ้นเช่นนี้ในใจไม่ได้
“นังหนู เหตุใดเจ้าจึงมาที่นี่” หยวนเทียนถามขึ้น นัยน์ตาเต็มไปด้วยความสนใจ หยวนหู่กับหยวนเจียวก็รู้สึกสนใจมากเช่นกัน ร้อยปีที่ผ่านมาช่างน่าเบื่อเสียเหลือเกิน
“ข้าต้องการเพลิงวิญญาณไม้” ความตรงไปตรงมาของหลีทำให้ทั้งสามต้องเลิกคิ้ว ไม่ใช่ต้องบอกว่า ‘ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามมานานจึงตามมาขอคำชี้แนะจากท่านผู้อาวุโสด้วย’ อะไรประมาณนี้หรอกหรือ ทำไมถึงไม่อ้อมค้อมเสียหน่อย โผงผางจนขนาดทำให้อสูรอย่างพวกเขาถึงกับชะงัก ทว่าความตรงไปตรงมาแบบนี้พวกเขาชื่นชอบ
“นังหนู เท่าที่ข้ารู้มาผู้ที่จะสามารถเข้ามาได้ ต้องครอบครองเพลิงอัคคี แล้วเจ้ายังจะต้องการหาเพลิงวิญญาณไม้อีกทำไม” จุดนี้เขาค่อนข้างสนใจ มีเพลิงอัคคีในครอบครองอยู่แล้วแต่กลับอยากได้เพลิงอัคคีอื่นอีก ทางที่ดีขอให้เป็นแบบที่เขาคาดหวังเอาไว้ด้วยเถอะ
“เป็นเพราะข้าฝึกคัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณจำเป็นต้องครอบครองเพลิงอัคคีทั้ง 9 ชนิด เพลิงวิญญาณไม้เป็นเพลิงอัคคีธาตุไม้อย่างเดียวที่ข้ารู้จัก” หลิวหลีพูดอย่างไม่ปิดบัง
“เจ้าบอกว่าเจ้าฝึกคัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณหรือ” เสียงของหยวนเทียนเอ่ยด้วยท่าทีตื่นเต้นเล็กน้อย
“เจ้าค่ะ” หลิวหลีพยักหน้า พอคิดดูแล้วมือซ้ายจึงปรากฏเพลิงบุปผาเหมันต์ ส่วนมือขวาปรากฏเพลิงอัสนีครามออกมาให้เห็น
“เพลิงบุปผาเหมันต์” หยวนหู่ตะโกนขึ้น
“เพลิงอัสนีคราม” หยวนเจียวตกตะลึง
“เจ้าพิชิตเพลิงอัคคีมาได้ถึงสองดวงเชียวหรือ” หยวนเทียนพูดด้วยความประหลาดใจ
“เจ้าค่ะ” หลิวหลีจับจมูกด้วยความรู้สึกเขินอายเล็กน้อย
“สาวน้อย เจ้ารู้ไหมว่าเพราะเหตุใดเพลิงวิญญาณไม้จึงอยู่ที่นี่” หยวนเทียนถามขึ้น
“ไม่เจ้าค่ะ รู้แค่ว่าก่อนนี้มันน่าจะมีเจ้าของ” หลิวหลีเอ่ยสิ่งที่ตนคาดการณ์ไว้ตามสัตย์จริง
“ไม่เลว ก่อนหน้านี้มันมีเจ้าของจริง ๆ สาวน้อย เจ้ารู้ว่าไหมว่าเพลิงวิญญาณไม้คืออะไร”
“ไม่รู้เจ้าค่ะ รู้แค่ว่าเป็นเพลิงอัคคีที่อยู่ในลำดับรายชื่อของเพลิงอัคคี” หลิวหลีส่ายหัวพูดอย่างตรงไปตรงมา
“เพลิงวิญญาณไม้เป็นไฟจากไม้อมตะ ที่กำเนิดขึ้นมาหลังถูกฟ้าผ่า มัน อาศัยอยู่กับไม้อมตะ และตอนนี้ที่เจ้ายืนอยู่ก็คือด้านในของไม้อมตะ
อะไรนะ ต้นไม้ใหญ่สูงเสียดฟ้าต้นนี้คือไม้อมตะหรือ สุดยอด…น่ามหัศจรรย์มาก หลิวหลีเงยหน้าขึ้นไปมองอย่างอดไม่ได้
“นังหนู เจ้าไม่ต้องดูแล้ว สงสัยใช่ไหมล่ะว่าทำไมพวกข้าจึงอาศัยอยู่ในถ้ำต้นไม้แห่งนี้?” แน่นอนว่าหยวนเทียนเห็นท่าทางและการแสดงออกของหลิวหลี
“ข้าไม่รู้เจ้าค่ะ” หลิวหลีส่ายหน้า
“แนวเขตต้องห้ามแห่งนี้คุ้มครองพวกข้าก็จริงแต่ก็จำกัดบริเวณพวกข้าไว้เช่นกัน นังหนูถ้าจะให้เจ้าต้องประมือกับอสูรภูตที่มีพลังบำเพ็ญเพียรในช่วงอมตะ เจ้ากลัวหรือไม่?” หยวนเทียนโพล่งถามออกมา
“ไม่กลัว” ถึงแม้หลิวหลีจะพยายามปกปิด แต่ความไม่กลัวในสายตาของนางพวกหยวนเทียนก็เห็นเช่นกัน
“เจ้าก็เห็นอยู่ว่าพลังบำเพ็ญของพวกเราก็ไม่เลว แต่สายเลือดของเราไม่บริสุทธิ์ นังหนู…ข้าอยากให้เจ้ารับปากข้าเรื่องหนึ่ง” หยวนเทียนพูดอย่างจริงจังขึ้นมาในทันที
“ผู้อาวุโสเชิญกล่าว” จริงจังขนาดนี้ คงไม่ได้ให้ทำเรื่องอะไรที่แปลกประหลาดใช่ไหม
“สาวน้อย พวกเราให้เพลิงวิญญาณไม้เจ้าได้ และเจ้าก็สามารถเอาไม้อมตะจำนวนหนึ่งไปได้ด้วย ข้ามีข้อเรียกร้องเพียงอย่างเดียว รอเจ้าบำเพ็ญถึงช่วงแยกจิต แล้วช่วยมาทำลายแนวเขตต้องห้ามนี้ทิ้งเสีย เจ้ารับปากเราได้หรือไม่” หยวนเทียนพูดกับหลิวหลีด้วยแววตาจริงจัง คำพูดที่คล้ายเป็นคำสาบานจะได้รับการเฝ้ามองจากฟ้าดิน
“ข้าขอปฏิเสธ” หลิวหลีพูดขึ้นอย่างไม่เกรงใจ
“อะไรนะ สาวน้อย เจ้าไม่ต้องการเพลิงวิญญาณไม้แล้วหรือ” ปฏิเสธทันทีขนาดนี้ ทำให้อสูรรู้สึกผิดหวังมากเสียจริง
“ต้องการสิ” อย่างไรเสียนางก็ต้องได้เพลิงวิญญาณไม้มาครอบครอง
“แนวเขตต้องห้าม จริงๆแล้วไม่ได้มีอะไรเลย ที่ข้าเข้ามา ข้ายังกลัวว่าจะก่อผลเสียต่อพวกท่าน ตอนนั้นข้าไม่ทันระวังทำเลือดหยดใส่แผนที่จนสามารถหาวิธีเข้ามาได้” หลิวหลีพูดอธิบาย
“สาวน้อย ความหมายของเจ้าคือเจ้าสามารถทำลายมันได้หรือ” หยวนเทียนตื่นเต้นเล็กน้อย หยวนหู่กับหยวนเจียวต่างก็รู้สึกตื่นเต้นเช่นกัน
“แนวเขตต้องห้ามไม่มีผลอันใดกับข้า เพราะฉะนั้นข้อเรียกร้องนี้ข้าไม่รับปาก”
เสียงของหลิวหลีราวกับเสียงจากสวรรค์ พวกเขาคิดว่าสาวน้อยคนนี้ขี้ขลาด พวกเขาคิดว่าจะต้องรอไปอีกเป็นร้อยปี เรื่องที่น่ายินดีเกิดขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“นังหนู เจ้าไม่ได้หลอกข้าใช่ไหม” น้ำเสียงของหยวนเทียนสั่นไหวเล็กน้อย
“ไม่เลย หากท่านไม่เชื่อ ข้าจะไปเจาะรูบริเวณตรงเขตปราการให้ท่านดู”
……………………………………………………….