แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 58 รายชื่อ
“ไม้อมตะ” หลิวหลีพูดออกมาสี่คำ
“หลิวหลี เจ้าลองพูดอีกที เจ้าจะเอาอะไรมาแลกนะ” เขาแก่ไปแล้วใช่ไหม ทำไมถึงได้ยินคำว่าไม้อมตะ
“ไม้อมตะ เพลิงวิญญาณไม้ที่ข้าได้มาครั้งนี้ บังเอิญได้ไม้อมตะมาด้วยจำนวนหนึ่ง อาจารย์ ค่าตอบแทนเพียงพอหรือไม่” หลิวหลีหยิบไม้อมตะขึ้นมาแล้วเอ่ยถาม
“ไม้อมตะจริงๆด้วย” เสวียนหั่วกระโดดพรวดขึ้นมา รับมาลองสัมผัสดูเป็นของจริง เมื่อมีของสิ่งนี้ เขาอาจจะสามารถบรรลุเซียนได้ก่อนกำหนด
“หลิวหลี ถึงยาคืนวิญญาณจะเป็นยาระดับ 8 แต่สรรพคุณของมันคือทำให้คนที่ยังมีลมหายใจอยู่ฟื้นกลับมา เหตุใดเจ้าถึงต้องการยาชนิดนี้” ไม่แปลกที่เสวียนหั่วจะสงสัย นังหนูเป็นคนสกุลหลง ทำไมถึงต้องการยาที่ไม่ปกติเช่นนี้
“พูดตามตรงแล้วกันนะเจ้าคะ อาจารย์ ข้าเจอท่านแม่ข้าแล้ว นางยังมีลมหายใจอยู่ อาจารย์โปรดให้ความช่วยเหลือด้วย ตอนนี้ข้าเป็นเพียงนักปรุงยาระดับ 6 ก็ไม่รู้ว่าจะเป็นนักปรุงยาระดับ 8 ตอนไหน ได้โปรดเถอะอาจารย์” หลิวหลีคุกเข่าลงคำนับด้วยความจริงใจ
“เฮ้อ นังหนูข้ายังไม่ทันได้บอกเลยว่าไม่ได้ แต่ว่าสมุนไพรคืนวิญญาณที่เป็นสมุนไพรหลักใกล้จะสูญพันธ์ไปแล้ว ว่ากันว่าในดินแดนอสูรเทพยังมีอยู่” เสวียนหั่วคิดแล้วก็พูดขึ้น
“อาเลี่ย ในดินแดนอสูรเทพยังมีอยู่ไหม ต้องถามผู้อาวุโสเอ๋าตงที่อยู่ในแห่งเผ่ามังกรหรือไม่” หลิวหลีถามคู่พันธสัญญาของตัวเอง เอ๋าเลี่ยยิ่งเหมือนมังกรเข้าไปทุกที
“ในดินแดนอสูรเทพน่าจะยังมีของสิ่งนี้อยู่ แต่มีแค่ผู้บำเพ็ญมนุษย์ที่อายุต่ำกว่า 50 ปี และอสูรภูตที่อายุต่ำกว่า 500 ปีถึงจะเข้าไปด้านในได้” เอ๋าเลี่ยคิดๆแล้วก็พูดขึ้น
“ข้าเข้าเกณฑ์พอดี” หลิวหลีลองนับอายุของตัวเอง
“นังหนู ข้ายังพูดไม่จบเลย ต้องเป็นคนจากห้าสกุลเท่านั้นถึงจะเข้าไปได้ อีกทั้งไม่ใช่ว่าใครในสกุลก็จะสามารถเข้าไปได้ ต้องให้คนทั้งห้าสกุลประลองกันก่อน เพื่อจะกำหนดรายชื่อของคนที่สามารถเข้าไปได้” เอ๋าเลี่ยพูดเสริม
“ถ้าอย่างนั้นข้าไปขอป้ายชื่อจากท่านอาเพื่อเข้าร่วมการแข่งขันก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ” หลิวหลีคิดแล้วก็พูดขึ้น จะได้ไปเยี่ยมพวกท่านตาพอดี
“หลิวหลี ข้าคำนวณดูแล้ว หลังจากนี้อีกครึ่งปีจะเป็นช่วงเวลาจัดงานประลอง” เอ๋าเลี่ยลองนับเวลาดูแล้วพูดขึ้น
“งานชุมนุมยาศักดิ์สิทธิ์ต้องใช้เวลา 3 เดือน แล้วการเดินทางไปโลกอสูรเทพจะใช้เวลา 2 เดือนครั้ง” เสวียนหั่วลองคำนวณดูคร่าว ๆ หลิวหลีลูบหน้าอก เวลาจะอัดแน่นอะไรกันขนาดนั้น
“ข้าลองถามท่านอาก่อนแล้วกัน”
หลงจิ่งหลินกำลังดื่มชาศักดิ์สิทธิ์ กำลังคิดว่าจะส่งข่าวหาหลานสาวที่ชอบทำให้เป็นห่วง เพื่อถามไถ่สถานการณ์ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้หน่อย
“ท่านลุง ข้าคือหลิวหลี ข้าอยากจะถามท่านว่าข้าสามารถเข้าร่วมการประลองเพื่อเข้าแดนลี้ลับของดินแดนอสูรเทพพวกท่านได้หรือไม่”
“นังหนู รายชื่อว่างยังมีอยู่ แต่ว่าในการประลองยังมีเงื่อนไขอยู่ คือพลังบำเพ็ญเพียรจะต้องอยู่ในช่วงอมตะเป็นอย่างน้อย และอายุจะต้องน้อยกว่า 50 ปี” หลงจิ่งหลินดีใจอย่างยิ่งเมื่อได้รับการติดต่อจากหลานสาว เพียงแต่ถ้าเขาจำไม่ผิด หลานสาวน่าจะอยู่ในช่วงบำเพ็ญศีลเท่านั้น อายุนั้นเข้าเกณฑ์ดี เพียงแต่การประลองระหว่างทั้งห้าสกุลก็จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว
“ท่านลุง พลังบำเพ็ญเพียรของข้าอยู่ช่วงอมตะแล้ว เรื่องอายุไม่ต้องพูดถึง รอข้าเข้าร่วมงานชุมนุมยาศักดิ์สิทธิ์เสร็จแล้ว ข้าจะไปดินแดนอสูรเทพ” หลิวหลีรู้สึกขอบคุณโชคดีที่นางมีเพลิงวิญญาณไม้ ไม่เช่นนั้นตัวเองก็จะไม่สามารถเข้าร่วมได้แล้ว
“อะไรนะ นังหนู เจ้าบรรลุช่วงอมตะแล้วหรือ แล้วเจอเพลิงอัคคีใหม่อีกแล้วหรือ นังหนูเจ้าต้องมั่นคงหน่อย” หลงจิ่งหลิงภูมิใจแต่ก็กังวลใจเช่นกัน นางเพิ่งจะอายุเพียง 20 ต้นๆ พรสวรรค์ของนางช่างขัดลิขิตฟ้าจริงๆ
“ท่านลุง ข้ามีเหตุผลที่จำเป็นต้องเข้าร่วม แล้วอีกหน่อยข้าค่อยบอกท่าน ตอนนี้ข้าอยากจะแน่ใจว่าข้าสามารถเข้าร่วมได้เท่านั้น” หลิวหลีรู้สึกว่าจะบอกพวกเขาก็ต่อเมื่อ ท่านแม่ฟื้นขึ้นมาก่อนเท่านั้น
“เจ้าเด็กนี่นะ” หลงจิ่งหลินไม่มีอะไรจะพูด รีบไปหาพี่ใหญ่ หวังว่าจะสามารถลงชื่อให้กับหลิวหลีได้
“น้องสาม ทำไมเจ้าถึงว่างมาได้” ปกติน้องสามที่เห็นประตูห้องเขาก็รีบหนีไปให้ไกล แต่วันนี้กลับมาหาเขาได้ถึงที่นี่ ต้องมีอะไรเกิดขึ้นแน่
“ถ้าไม่มีอะไรข้าคงไม่มาที่ตำหนักไตรรัตน์หรอก พี่ใหญ่ หลิวหลีเพิ่งส่งข่าวมาบอกว่าอยากจะเข้าร่วมงานประลองระหว่างสกุลที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ ข้าจะมาลงชื่อให้นาง” หลงจิ่งหลินบอกคำร้องขอของหลิวหลีออกมา
“พลังบำเพ็ญเพียรของนังหนูอยู่ในช่วงบำเพ็ญศีลไม่ใช่หรือ เจ้าไม่ได้บอกนางหรือว่าพลังบำเพ็ญเพียรต้องเป็นช่วงอมตะเป็นอย่างน้อย” หลงจิ่งอู๋รู้สึกเสียดายเล็กน้อย อายุของนางเหมาะสมมาก แต่น่าเสียดายที่พลังบำเพ็ญไม่ถึงเกณฑ์
“พี่ใหญ่ พลังบำเพ็ญของนังหนูอยู่ในช่วงอมตะแล้ว” หลงจิ่งหลินกล่าวแล้วสูดหายใจเข้าลึก
“อะไรนะ หลิวหลีเจอเพลิงอัคคีประเภทที่สามแล้วหรือ ดีจังเลย เดิมคิดว่ามีแค่เทียนอี้ เทียนเสียง เทียนหลิง ไม่ค่อยอุ่นใจเท่าไหร่นัก แต่หากมีนังหนูด้วยก็ชวนให้อุ่นใจขึ้นมา เพลิงอัคคีของนางสามารถประลองกับคนที่มีพลังบำเพ็ญเพียรสูงกว่านางได้” หลงจิ่งอู๋พูดด้วยความดีใจ
“ใช่สิ พี่ใหญ่ คนทั่วไปไม่อาจะครอบครองเพลิงอัคคีได้แม้แต่ชนิดเดียว แต่นังหนูมีถึง 3 ชนิดเชียว พี่ใหญ่ท่านลืมไปแล้วหรือว่าคู่พันธสัญญาของนางเป็นใคร เขาคือเอ๋าเลี่ยเทพสงครามแห่งเผ่ามังกร ในการประลองจะต้องพาคู่พันธสัญญาไปด้วย พอถึงตอนนั้นข้าล่ะอยากจะเห็นภาพที่อีกทั้งสี่สกุลโดนฉีกหน้าจริงๆ” แค่หลงจิ่งหลินคิดก็รู้สึกว่าภาพนั้นช่างงดงาม ส่วนหลงจิ่งอู๋ก็เริ่มคล้อยตามน้องชาย
“ไป น้องสาม ไปบอกท่านพ่อกัน” นี่ถือว่าเป็นข่าวดี ต้องรีบไปบอกท่านพ่อ
ณ งานชุมนุมยาศักดิ์สิทธิ์ครึกครื้นเป็นอย่างมาก สุ่ยหลิงเอ๋อร์อยู่ข้างจู้อี่เสียนลูกชายของเจ้าเมืองเฟยเซียน มีนักปรุงยาจำนวนมากมายเสียจริง
“น้องหลิงเอ๋อร์ เจ้าต้องตามข้าให้ดีๆ ที่นี่มีคนมากมายเหลือเกิน” จู้อี่เสียนเตือนด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“ขอบคุณเจ้าค่ะ พี่จู้” สุ่ยหลิงเอ๋อร์ตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน
จู้อี่เสียนมองดูสุ่ยหลิงเอ๋อร์ที่อ่อนหวานแต่ไม่อ่อนแอ แล้วก็คิดถึงคำพูดของท่านพ่อ ดูท่าแล้วการตัดสินใจครั้งนี้ก็ไม่เลวเหมือนกัน
หลิวหลีถือหมายเลขที่ตนเองได้มาเพราะสิทธิพิเศษของสำนัก ตัวเลขนี้ หลิวหลีดูแล้วดูอีก ลำดับที่ 38 เจ้าบ้าคนไหนที่เลือกให้นาง หลิวหลีรู้สึกโมโหจนไม่รู้จะโมโหอย่างไร
ด่านที่ 1 ทดสอบพืชศักดิ์สิทธิ์ จะต้องเขียนสมุนไพรที่ตัวเองรู้จักออกมา 30 ชนิด แล้วต้องรวมกันเป็นเทียบยาได้ 10 ประเภท
สำหรับหลิวหลีผู้มีพื้นฐานแน่น เรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาอะไร นางเขียนเสร็จอย่างรวดเร็วแล้วก็ส่งไป
นางย่อมเข้าสู่ด่านที่ 2 จำนวนผู้เข้าร่วมเหลือเพียงแค่พันคนเท่านั้น
การทดสอบของวันที่สองทดสอบการจัดยา นางรับวัตถุดิบตามลำดับโดยให้รับได้ครั้งละ 10 คน ทุกคนเลือกกันคนละ 3 ชนิด ซึ่งแปลว่ายิ่งอยู่ในลำดับต้นๆ ก็จะยิ่งมีโอกาสเลือก ความหัวเสียที่ได้ลำดับที่ 38 ก็ดีขึ้น
พอถึงตาของหลิวหลี นางเลือกหยิบสมุนไพรที่ตนเองต้องการอย่างรวดเร็ว บางอย่างบอกนางว่าจะเกี่ยวข้องกับการทดสอบถัดไป นางจึงเลือกพืชศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถนำมาปรุงยาได้มา 3 ชนิด
และนางก็จัดการได้สมบูรณ์แบบเช่นเดิม ด่านที่ 3 ให้นำยาสมุนไพรจากด่านที่แล้วมาปรุงยาตามที่นางคิดไว้จริงๆ ทำให้นักปรุงยาที่อยากจะลักไก่ต้องตีอกชกหัวเพราะตกรอบไป
ในลานก็เหลือนักปรุงยาเพียงหลักร้อยคนอย่างรวดเร็ว หลิวหลีถือป้ายหมายเลขของตัวเองยืนอยู่ที่แถวสอง ตำแหน่งไม่เลวเลย
สุ่ยหลิงเอ๋อร์ที่มองเวทีอยู่แน่นอนว่าย่อมต้องเห็นหลิวหลี น้องหลิวหลีเป็นนักปรุงยาจริงด้วย
“หลิงเอ๋อร์ การประลองในครั้งนี้ต้องดูอยู่ 3 คนเป็นหลัก” จู้อี่เสียนเห็นว่าสุ่ยหลิงเอ๋อร์สนใจ จึงอธิบายให้สุ่ยหลิงเอ๋อร์ฟัง
“สามคนไหนเจ้าคะ พี่จู้ เล่าให้ข้าฟังหน่อย” สุ่ยหลิงเอ๋อร์รู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก น่าจะต้องมีน้องหลิวหลีแน่
“น้องหลิงเอ๋อร์สนใจการปรุงยาหรือ” เมื่อเห็นหลิงเอ๋อร์แสดงท่าทางอยากรู้เช่นนั้น จู้อี่เสียนก็อดแหย่นางไม่ได้
“เปล่าเจ้าค่ะ พอดีมีน้องสาวที่รู้จักคนหนึ่งเป็นนักปรุงยา ข้าเลยอยากรู้ขึ้นมาเจ้าค่ะ” สุ่ยหลิงเอ๋อร์พูดพลางส่ายหัว
“เป็นอย่างนี้เองหรือ” แววตาจู้อี่เสียนเป็นประกาย ถ้าเป็นน้องสาวล่ะก็เขาพอยอมรับได้อยู่บ้าง