แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 72 ล่างเขาจิ่วหัว
เขาจิ่วหัวรวมรวมบรรดาผู้คนคึกคักไว้ไม่น้อย
“มาแล้ว ห้าเผ่าใหญ่” คนในกลุ่มตะโกนโพล่งออกมา
“ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะมีผู้ถูกเลือกปรากฏตัวขึ้นอีกเท่าไหร่“
“ไม่รู้ว่าอันดับของห้าเผ่าใหญ่จะมีการเปลี่ยนแปลงหรือไม่ อีกทั้งสกุลหลงยังเป็นหัวหน้าของห้าเผ่าใหญ่อีก ข้าตั้งตารอเชียวล่ะ“
“ได้ยินว่าสกุลจ้านก็ยอดเยี่ยมมาก น่าจะเป็นสกุลจ้านกระมัง“
“มาแล้ว เป็นพวกสกุลหลง ส่วนนั่นสกุลฮัว ข้างหลังนั่นเป็นสกุลหลิน สกุลหนานกง สกุลจ้าน มากันพร้อมหน้าพร้อมตาเชียว“
“สกุลหลง ครั้งนี้เจ้าส่งตัวหัวหน้าสกุลออกมาแต่โดยดีเถอะ” จ้านอวิ๋นจิ่งกล่าวอย่างหยิ่งผยอง
“อวิ๋นจิ่ง เจ้าอ่อนน้อมหน่อย เจ้าเป็นไม้ตายของสกุลจ้าน อย่าทำตัวเปิดเผยนัก” จ้านอวิ๋นเยียนกล่าว
“อวิ๋นเยียน เจ้าจะระวังตัวเกินไปแล้ว” จ้านอวิ๋นจิ่งรู้สึกว่าจ้านอวิ๋นเยียนระวังเกินไปหน่อย
“อวิ๋นจิ่ง อวิ๋นเยียนพูดถูกต้องแล้ว” จ้านอวิ๋นจุนเอ่ยขึ้น
“จะกลัวอะไร ครั้งนี้ข้าซื้อยาขนานพิเศษมากจากเพื่อนข้าจากที่อื่นมา การแข่งขันแบบกลุ่มชัยชนะจะต้องเป็นของสกุลจ้านอย่างแน่นอน” จ้านอวิ๋นจิ่งพูดพลางชูขวดเล็ก ๆในมือขึ้นมา
“อวิ๋นจิ่ง วางมันลง อย่าเอาออกมาเช่นนั้น ให้คนอื่นรู้คงไม่เป็นการดี นี่เป็นไพ่ใบสุดท้ายนะ” อวิ๋นเยียนเห็นขวดเล็ก ๆนั่นก็รีบเดินออกห่างไปไกลพอตัว เพราะถูกเงาของสิ่งทดสอบนั้นห้อมล้อมตามติดนางอยู่
“ก็ได้” จ้านอวิ๋นจิ่งลูบจมูกพลางเก็บกลับไป ดูท่าการทดสอบของอวิ๋นเยียนครั้งที่แล้วทิ้งร่องรอยบาดแผลเอาไว้ไม่น้อย
“เหอะ ครั้งนี้หัวหน้าเผ่าจะต้องเป็นของสกุลหลิน” หลินเสี่ยวเจียงกล่าวเสียงก้องกังวาล
“เสี่ยวเจียง เจ้าเบาเสียงลงหน่อย ใครจะไปรู้ว่าสกุลอื่นมีไพ่ไม้ตายหรือไหมเล่า” หลินเสียวเสี่ยวกล่าว
“ก็ได้” หลินเสี่ยวเจียงเบะปาก พี่สาวของเขาระมัดระวังตัวเกินไปแล้ว
“ครั้งนี้เป็นสกุลฮัวของข้าต่างหากเล่า” ฮัวจิ่งซวีตะโกนขึ้น
“จิ่งซวี เจ้าเสียงเบาลงหน่อย อ่อนน้อมถ่อมตนหน่อยเข้าใจไหม แต่มองหาตัวเลือกลูกสะใภ้ในอนาคตได้นะ” ประโยคแรกฮัวจิ่งเฟยพูดเสียงขรึม แต่ประโยคถัดมาออกจะหยอกล้ออยู่สักหน่อย
“โอ้ จิ่งเฟยคิดจะแต่งงานแล้วหรือ” ฮัวจิงหงเอ่ย
“เรื่องแต่งงานเป็นเรื่องธรรมชาติเมื่อถึงเวลา ข้าแค่แสดงปฏิกิริยาตามปกติ หลงเทียนหลิงแห่งสกุลหลงก็ไม่เลว หลินเสียวเสี่ยวแห่งสกุลหลินก็เช่นกัน จ้านอวิ๋นเยียนแห่งสกุลจ้านก็เป็นหญิงสาวที่งดงามอ่อนโยน หนานกงหมิงเยว่แห่งสกุลหนานกงก็ใช้ได้ เฮ้อ…เลือกยากจัง” ฮัวจิงเฟยยกมือขึ้นทำท่าราวกับจนปัญญาแล้ว
“หึ ยังไม่รู้ตัวเหรอว่าหญิงงามเหล่านั้นไม่ชายตามองเจ้าหรอก” ฮัวจิ่งซวีพูดให้เขาเสียกำลังใจ
“ข้าหล่อเหลาถึงเพียงนี้ เหตุใดพวกนางถึงจะไม่ชายตามองข้าเล่า” ฮัวจิงเฟยทำท่ายืดอกด้วยท่วงท่าสง่างาม
“ชิ“
“เวิ่นเทียน ครั้งนี้สกุลหนานกงคงต้องพึ่งเจ้าแล้ว” หนานกงชานเทียนพูดพลางตบบ่าเวิ่นเทียน
“ข้าจะทำเต็มที่“
“อย่าเลย ต้องทำได้อยู่แล้ว คิดไม่ถึงเลยว่าเวิ่นเทียนที่ปิดปากเงียบเช่นนี้จะบรรลุถึงช่วงปราณกำเนิดสุดท้ายแล้ว ทั้งยังเปลี่ยนเป็นร่างวิญญาณเหมันต์ ผู้ทำพันธะสัญญายังเป็นมือฉมังอีก” หนานกงเหลยเทียนใช้ศอกกระทุ้งไปที่หนานกงเวิ่นเทียนพลางพูดขึ้น
“ครั้งนี้อย่างแรกพวกเราเลิกคิดไปได้เลย อย่างที่สองแย่งชิงมาก็พอ ไม่ต้องถามอะไรอีก ไร้ซึ่งความทะเยอทะยานเช่นนี้ ในนั้นมีคนผู้หนึ่งที่อิงเสวี่ยก็มิอาจสู้ได้ “หนานกงเวิ่นเทียนกล่าวอย่างรวดเร็ว
“มาแล้ว กระดูกอ่อนเปลี้ยไปหมด ในที่สุดก็จะได้ขยับมือไม้สักที” หลงเทียนหางพูดขึ้น
“ใช่แล้ว เทียนเสียงต้องพึ่งเจ้าแล้ว” หลงจิ่งเทียนกล่าว
“จะประมาทไม่ได้” หลงเทียนเสียงพูดพลางส่ายหน้า
ยังไม่ทันได้ลงจากเรือมังกร ทุกคนต่างก็ตั้งปณิธานอันแรงกล้าไว้แล้ว เหล่าหัวหน้าสกุลต่างก็ทำสงครามยิ้มใส่กันก่อน
“ไม่เจอกันนาน ทุกท่านยังสุขภาพแข็งแรงกันอยู่ใช่หรือไม่” ผู้ที่เริ่มกล่าวขึ้นมาคนแรกคือหลินต้าหมิงแห่งสกุลหลิน
“ต้าหมิงเอ๋ย ขนาดเจ้าก็ยังมีชีวิตอยู่ คนแก่อย่างพวกเราจะทิ้งเจ้าจากไปก่อนได้อย่างไรกันล่ะ” หนานกงชังฉงพูดขึ้น
“จ้านเหลากุ่ยร่างกายไม่เลวทีเดียวพัฒนาไปอีกขั้น อายุเท่านี้ไม่ง่ายเลย” ฮัวเชียนเหนียนกล่าวด้วยท่าทีประหลาดใจ
“หึ เจ้าก็ไม่เลวเลย แต่เหวินเหยียนนั้นยอดเยี่ยมกว่า ร่างกายเพิ่งบรรลุขั้นบำเพ็ญไป ยังไม่ทันได้ฟื้นตัวดีก็ออกมาเสียแล้ว” จ้านเฟิงเจียชี้หอกไปทางหลงเหวินเหยียน
“เหอะ ๆ พี่จ้านแววตาหลักแหลมไม่เบา นี่เป็นโอกาสสำหรับข้าด้วย” หลงเหวินเซวีนพูดแบบส่ง ๆ
“ดูเหมือนทุกคนล้วนมั่นใจกันหมด” หนานกงชังฉงกล่าวขึ้น โอกาสเช่นนี้ไม่ใช่จะมีได้ทุกคน
“แน่นอนสิ” ฮัวเชียนเหนียนกล่าวสำทับ
“เฮ้อ ไม่รู้ว่าเด็กน้อยคนใดจะเป็นไพ่เด็ดของวันนี้” หลินต้าหมิงพูดพลางมองไปยังศิษย์น้องที่รวมตัวกันอยู่
“เฮ้ เจ้าหนูซินเยว่ ไม่ใช่สิ ข้าจำได้ว่าวิญญาณของนางแตกสลายไปแล้วนี่” จู่ ๆพลันเหลือบเห็นหลินต้าหมิงคนที่มีใบหน้าละม้ายคล้ายเจ้าหนูหลงซินเยว่
“แน่นอน นางเป็นลูกสาวของซินเยว่” หลงเหวินเหยียนเอ่ยอย่างคลุมเครือ
“ข้ารู้สึกว่านางคล้ายคลึงกับเฟิงหลิงมากทีเดียว” จ้านเฟิงอวี้มองแวบหนึ่งแล้วพูดออกมา
“ดื่มชาวิญญาณหน่อยดีหรือไม่ ปล่อยให้พวกศิษย์น้องรวมตัวกันไปเถอะ เฮ้อ…อายุปูนนี้แล้ว เรี่ยวแรงก็ไม่ค่อยจะมีหรอก” ฮัวเชียนเหนียนเอ่ย
“ก็ดี อย่างไรเสียกว่าเขาจิ่วหัวซานจะเริ่มก็อีกสามวัน“
หลังจากที่เหล่าหัวหน้าสกุลออกไปแล้ว ฮัวจิ่งเฟยก็จับฮัวจิ่งหงเขย่าตัวไปมา
“จิ่งหง ข้าเห็นสาวงามแล้ว โอ้พระเจ้า…เหตุใดนางจึงแต่งตัวเป็นชายล่ะ หัวใจของข้าอยากจะมอบให้นางเสียเหลือเกิน” ฮัวจิ่งเฟยพูดเสียงดังพลางเขย่าฮัวจิ่งหงไปมา คนที่ถูกพูดถึงก็คือหลิวหลี ครั้งนี้ผู้บำเพ็ญตนที่เป็นหญิงไม่มากนักจึงตกเป็นเป้าสายตาของเหล่าชายหนุ่มได้ง่าย
“เอ๊ะ สกุลหลงมีนางผู้นี้โผล่ขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไร ไปดูกัน” จ้านจิ่งหงก็แปลกใจเช่นกัน
หลิวหลีจากไปแล้ว ทำให้จ้านจิ่งเฟยรู้สึกเหมือนโดนแมวข่วนลงกลางใจ พวกเขาค่อย ๆสืบถามหาความแต่กลับรู้เพียงว่าเป็นลูกสาวของหลงซินเยว่ ไม่รู้ชื่อแต่อย่างไร
“เทียนอี้ ไม่เบาเลยนะ” เทียนหลิงพูดพลางยิ้มตาหยี
“เฮ้อ จนหนทางแล้ว การแข่งกลุ่มหลิวหลีถือเป็นอาวุธลับ ใครจะรู้ว่าแม่สาวน้อยหน้าตาน่ารักผู้นี้จะหลงใหลในยาอันตรายและยาพิษเช่นนี้” หลงเทียนอี้พูดจนทำเอาทุกคนต่างเหงื่อซึม โดยเฉพาะหลงเทียนอี้พอนึกถึงตัวยาประหาดที่หลิวหลีให้เด็กสาวสองคนนั้นไว้ป้องกันตัว ก็อดไม่ได้ที่จะกุมขมับ สาวน้อยหลิวหลีคนนี้ไม่น่าไว้ใจสักนิด ยาแบบนี้เอาไว้ให้เด็กเล่นหรือไงกัน
หลังจากนึกถึงว่าเจ้าเด็กสองคนนั้นไปอยู่กับหลิวหลีก็จะนำยาประหลาดกลับมา หลงเทียนอี้พลันรู้สึกว่าตนคงแก่แล้ว โดยเฉพาะหลังจากที่โดนเขายึดของไปพวกนั้นก็รีบแล่นไปฟ้องหลิวหลี หลิวหลีก็ให้เขามาขวดหนึ่ง จากนั้นก็คุยกับเขาอย่างจริงใจว่าไม่ควรแย่งของจากพวกเด็ก ๆ หลงเทียนอี้อธิบายให้หลิวหลีฟังอยู่นาน หลิวหลีถึงจะเข้าใจว่าเขากำลังกังวลเรื่องใด ตอนนี้เขาเข้าใจแล้วว่านอกจากนางจะปรุงยาช่วยคนได้แล้ว นางยังสามารถปรุงยาทำร้ายคนได้อีกด้วย และแน่นอนว่ายาที่หลิวหลีมองว่าไร้ประโยชน์ หลงเทียนอี้ก็เปิดปากขอโต้ง ๆอย่างไม่อาย เขาไม่กล้าขอหมด เขายังไม่หน้าด้านเท่าคุณปู่หรอกนะ
เขาเป็นคนไปเล่าเรื่องนี้ให้คุณปู่ฟังเอง เขายังรู้สึกว่าหน้าเขาด้านอยู่พอตัว ใครจะไปรู้หลังจากท่านปู่รู้เข้าก็ทุบอกชกหัวพลันนึกไม่ถึงว่าหลานของตนจะฝึกฝนปรุงยาเช่นนี้ ตอนที่ตนรู้ว่าท่านปู่ของตนขอยามาหมดอย่างไม่อาย จู่ ๆเอวของเขาก็ยืดตรงพลันรู้สึกว่าตนยังไม่ได้หน้าด้านขนาดนั้น เรื่องนี้ตนต้องไปเล่าให้อีกแปดคนที่เหลือเข้าใจย่างกระจ่าง หลิวหลีกลายเป็นอาวุธลับเช่นนี้ ยอดอัจฉริยะอีกหกคนที่เหลือถึงฝืนใจยอมรับนาง ดังนั้นก่อนการแข่งขันกลุ่มเรื่องทั้งหมดของหลิวหลีต้องเป็นความลับ
หลงเทียนเสียงก็เป็นเช่นนี้ เกือบจะถูกลูกพี่ลูกน้องของเขาทำเอาตกใจแทบตาย เขารู้สึกว่าหากเทียนเสียงไปอยู่กับเทียนจิ้งหลิวหลีอีกคงซุกซนเต็มไปด้วยชีวิตชีวาไม่น้อย เป็นเช่นนี้ก็ไม่เลว อย่างน้อยเทียนเสียงก็จะได้สดชื่นขึ้นบ้าง
หลิวหลีไม่ได้สนใจเรื่องนี้นัก ไม่นานก็หาสถานที่ทำอาหารได้ สามวันมานี้สี่สกุลคนอื่น ๆต่างก็หาข้ออ้างมาขอทานข้าวที่ที่พักของสกุลหลงอยู่บ่อยครั้ง แต่กลับถูกปฏิเสธกลับไปอย่างไร้ความปรานี
……………………………………………..