แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 74 จู่ๆ ก็มีภูติวิญญาณออกมา
“พ่ายแพ้อย่างหงุดหงิดนัก“ หลินเสี่ยวเจียงเอ่ย
“ใช่แล้ว ใครจะรู้ว่าสกุลหลงจะมีนักปรุงยาประหลาดเช่นนี้“ หลินเสียวเสี่ยวพูดอย่างเหนื่อยหน่าย นางเองก็อัดอั้นใจ ยังไม่ทันได้เจอหน้า ก็โดนจับเสียแล้ว
“ไม่อยากจะยอมรับเลย” หลินเสี่ยวเจียงทึ้งหัวอย่างโกรธเคือง
“มาพยายามตอนรอบคัดออกกัน” หลินเสียวเสี่ยวเอ่ย
“เห้อ มีนักปรุงยาที่พิสดารเช่นนี้ ไม่รู้ว่าจะไปซื้อยากับเขาได้หรือไม่นะ?” ฮัวจิงหงพูดขึ้น
“พระเจ้า หญิงงามของข้าคือนักปรุงยาหรือนี่ เท่จริงๆ” ฮัวจิงเฟยพูดอย่างโง่งม
“โดนตระกูลจ้านหัวเราะเยาะตายเลย ทั้งท่าทางแข็งๆ แล้วยังจะสีหน้าพวกเขาอีก” ฮัวจิ่งซวี่พูด
“หึ เจ้าลืมตัวเองไปแล้วหรือ” ฮัวจิงหงพูดขึ้น น่าอับอายเหลือเกิน พอนึกถึงใบหน้าของบรรดาผู้นำของสกุลแล้ว ช่างน่าขายหน้าจริงๆ!
“อย่างน้อยที่สุดพวกเราก็ไม่ได้ทำอะไรบ้าๆกับพวกคนเลวนั่น ไม่ได้การแล้ว ข้าต้องไปรู้จักนางฟ้าเสียหน่อย” ฮัวจิงเฟยจู่ๆก็ตะโกนขึ้นแล้ววิ่งหนีไป
“จิงหง เจ้าว่ามีความเป็นไปได้เท่าไหร่ที่จิงเฟยจะโดนต่อยน่ะ?” ฮัวจิงซวี่เอ่ยพลางลูบคาง
“ร้อยในร้อยเลยล่ะ รู้สึกได้ว่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิงผู้นั้นไม่ธรรมดาเลย” ฮัวจิงหงรู้สึกได้ถึงอันตรายขึ้นมาทันที。
“อย่าล้อเล่น จะพูดอย่างไรดี นางเองก็อยู่ในช่วงอมตะ ยังห่างชั้นจากช่วงปราณก่อนกำเนิดอย่างมากทีเดียว” ฮัวจิงซวี่พูดอย่างไม่แยแส ก็แค่ผู้บำเพ็ญสายปรุงยา นอกจากปรุงยาแล้วอย่างอื่นก็ไม่มีอะไรหรอก ต่อมาไม่นานฮัวจิงซวี่ถึงได้เข้าใจว่าตนเองทำร้ายตนเองนั้น เจ็บปวดเสียจริง
“เวิ่นเทียนเล่าหน่อย เจ้าสนิทกับนักปรุงยาผู้นั้นไม่ใช่หรือ” หนานกงชานเทียนอ้างคำพูดเวิ่นเทียน มิเช่นนั้นจะใช้น้ำเสียงเช่นนั้นได้อย่างไรกัน
“หลายปีที่อยู่นอกสำนัก โชคดีที่ได้นางดูแล” หนานกงเวิ่นเทียนนึกถึงความเจ้าเล่ห์ของหลิวหลี ก็อดยิ้มไม่ได้ นังหนูผู้นี้ช่างทะเล้นนัก แต่ความสามารถในการปรุงยานับว่าล้ำเลิศจริงๆ
“มีอะไรบางอย่าง เวิ่นเทียน ข้าสนับสนุนให้เจ้าแต่งกับนาง” หนานกงเหลยเทียนเอ่ย นี่เป็นอาวุธสังหารเก็บไว้ข้างตัวย่อมดีกว่า
“เหอะๆ นี่ก็ไม่แน่?” หนานกงเวิ่นเทียนพูดอย่างไม่สนใจ งานแต่งของเขาต้องยิ่งใหญ่อลังการ
“แผนดีๆต้องมาพังไม่เป็นท่า” จ้านอวิ๋นจิ่งตะโกนขึ้นฟ้าอย่างอดไม่ได้ เขาโง่แค่ไหนกันถึงได้ไปสอนจระเข้ว่ายน้ำเช่นนั้น ซึ่งนี่ทำให้จ้านอวิ๋นจิ่งได้รู้ว่ายาที่ตนซื้อมาราคาแสนแพงคือยาที่หลิวหลีแห่งสกุลหลงเป็นผู้ปรุง ใบหน้าก็ดูไม่ได้
หลิวหลีเป็นใครกัน เป็นนักปรุงยาผู้ถูกเลือกคนใหม่หรือ ไม่คิดเลยว่าจะเป็นคนสกุลหลง
“ไม่ได้ ข้าจะต้องไปผูกมิตรกับนาง จะต้องให้นางแต่งเข้าสกุลจ้านให้ได้” จ้านอวิ๋นจิ่งดีดตัวขึ้น แล้วพูดพึมพำกับตัวเองจากนั้นก็ออกไป
ทำให้จ้านอวิ๋นเยียนพูดไม่ออก
ในอาณาเขตสกุลหลง หลิวหลีก็ยังปฏิบัติตนเช่นเดิม กินดื่มเหมือนอย่างเคย เพียงแต่ว่า
“อะไรกัน สี่สกุลจะตีท้ายครัวกันโจ่งแจ้งเช่นนี้เลยหรือ” หลงจิ่งเทียนแขวะอย่างอดไม่ได้
“น้องหลิวหลีรูปโฉมงามใช้ได้ นิสัยก็ดี แถมยังมีความสามารถ นางย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีอยู่แล้ว” หลงเทียนหางกล่าว
“ดังนั้นพวกเจ้ายังเอื่อยเฉื่อยกันอยู่อีก เดิมทีนั้นเรือล่มในหนองทองจะไปไหนกัน พวกเจ้าน่ะช่วยกล้าๆเกี้ยวพาราสีน้องหลิวหลีหน่อย” หลงเทียนหลิงพูดจาโอหัง
ณ พื้นที่สกุลจ้าน ผู้นำสกุลต่างๆ รวมตัวอยู่ด้วยกัน
“ถูกต้อง พวกเราไม่ควรแค่ตั้งรับคนภายนอกเท่านั้น เราเองก็ควรลงมือด้วยเช่นกัน” คนอื่นๆเข้าใจขึ้นมาทันที
“เหวินเซวียน เจ้าบอกว่านี่เป็นของขอขมาจากเด็กสาวผู้นั้นหรือ?” จ้านเฟิงซวี่หมุนขวดเล็กๆในมือพลางพูด
“ใช่ เด็กนั่นบอกว่า การแข่งแบบกลุ่มทำอะไรไม่ได้ จึงได้ทำร้ายแต่ละท่านไป น้ำใจเล็กน้อยนี้ขอท่านรับไว้ด้วย” หลงเหวินเซวียนทวนคำพูดของหลิวหลีให้ทุกคนได้รับรู้
“เหอะๆ แม่หนูน้อยของเจ้ายังไม่มีคู่หมายใช่ไหม อวิ๋นจิ่งของข้าล่ะ เป็นเช่นไร?” จ้านเฟิงซวี่นำเสนอหลานชายตนเอง
“เหอะๆ คำพูดแบบนี้ ชางฉยง เชียนหนิว ต้าหมิงต่างก็เคยพูดกันมาแล้ว หลานสาวข้าแค่คนเดียวคงแต่งกับทั้งสี่สกุลไม่ได้หรอกนะ พวกเจ้าหาวิธีเอาแล้วกัน อีกอย่างไม่ใช่ว่าใครก็จะแต่งกับหลานสาวข้าได้หรอกนะ ต้องมีชะตาต้องกันด้วย” ประโยคสุดท้านหลงเหวินเซวียนกล่าวมีความนัย แล้วจากไป
“ข้ารู้สึกว่าในคำพูดเหวินเซวียนมีอะไรซ่อนอยู่” จ้านเฟิงซวี่ลูบเคราพลางเอ่ย
“พวกคนสกุลหลงช่างชั่วร้ายจริงๆ ไม่ยอมให้ข้าเข้าใกล้นางฟ้าของข้า” ฮัวจิงเฟยมองที่พักคนสกุลหลงพลางกัดฟัน นางฟ้าเป็นของทุกคน จะยึดครองไว้คนเดียวได้อย่างไร
“สกุลหลงตระหนักได้ถึงวิกฤต เสน่ห์ของข้านี่เหลือล้นจริงๆ” จ้านอวิ๋นจิ่งพูดพลางเสยผม ความหลงตัวเองนั้นทำให้จ้านอวิ๋นจุนแทบจะอยากเตะเขาจนทนไม่ไหว
“คนสกุลหลงใจแคบเสียจริง ข้าแค่จะซื้อยาแค่ไม่กี่เม็ดเท่านั้นก็ยังไม่ยอมด้วยซ้ำ” หลินเสี่ยวเจียงอยากจะซื้อยาพวกนั้นมาเพื่อศึกษา ไม่แน่ว่าสกุลหลินของเขาอาจจะหลอมยาได้เช่นกัน คิดไม่ถึงว่าจะไม่ยอมให้เข้าไปดู
“เวิ่นเทียน เวิ่นเทียน พวกเขาโดนไล่ออกมากันหมด” หนานกงเหลยเทียนที่เพิ่งกลับมาจากการไปดูอะไรสนุกๆ
“มีจุดประสงค์และเจตนาไม่บริสุทธิ์ สกุลหลงจะให้พวกเขาเข้าไปก็แปลกแล้ว” หนานกงเวิ่นเทียนพูดอย่างไม่เกรงใจ
“เวิ่นเทียน เจ้าไม่กลัวนางโดนแย่งไปหรือ?” หนานกงเหลยเทียนถามอย่างประหลาดใจ เวิ่นเทียนใจเย็นเกินไปแล้ว
“ไม่กลัว” ไม่ว่าอะไรก็ไม่กลัว พวกเขาต้องมีชะตาแบบนั้นเท่านั้น เขารู้สึกว่าในภายหน้าเขามีโอกาสจะไปแข่งขันกับพวกผู้หญิงเสียมากกว่า หนานกงเวิ่นเทียผินหน้ามองข้างๆ
อาณาเขตสกุลหลง หลิวหลีที่แอบเข้าไปในมิติมังกรก็ชะงักค้างไป
“หงหลินหรือ? ไม่สิ หากนางจำไม่ผิด หงหลินเป็นเด็กสาว เหตุใดจึงเป็นเด็กผู้ชายไปได้” หลิวหลีจ้องเจ้าหัวไชเท้าในชุดเอี๊ยมแดงตรงหน้าแล้วพึมพำกับตัวเอง
“นายท่านโง่นัก ข้าเป็นภูติวิญญาณในมิติเทพเจ้ามังกร” เด็กน้อยในเอี๊ยมแดงเอ่ยปากพูดอย่างเหยียดหยาม
“ภูติวิญญาณหรือ ในมิติเก่าๆนี่ยังมีภูติวิญญาณอยู่อีกหรือ” หลิวหลียังรู้สึกเหลือเชื่อ
“ข้าแค่จำศีลหลังจากบาดเจ็บหนัก ตอนนี้ก็แค่เปลี่ยนร่างเท่านั้นเอง” ภูติวิญญาณสาธยายแก่ผู้เป็นนาย นายท่านผู้นี้ช่างโง่งมเสียจริง
“เจ้าชื่ออะไร?”
“นายท่านต้องตั้งให้ข้า”
“มั่วหรานเป็นอย่างไร?” หลิวหลีคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ย
“มั่วหรานขอบคุณนายท่าน นายท่าน ท่านมีชะตาชีวิตที่สำคัญยิ่งนัก ข้าเชื่อมั่นในตัวท่าน” เด็กน้อยมั่วหรานพูดอย่างเคร่งขรึม แต่ดวงหน้าที่ขาวกลมราวซาลาเปาที่เพียรทำท่าทีเคร่งขรึมแบบผู้ใหญ่ทำให้ไม่ว่าหลิวหลีจะมองอย่างไรก็ชวนให้ขบขัน
“พูดมาเถอะ”
“ที่นี่คือมิติสัตว์อสูรศักดิ์สิทธิ์ที่เทพผู้สร้างในตำนานสรรสร้างขึ้น แบ่งเป็นห้าส่วนด้วยกัน ที่นายท่านมองเห็นตอนนี้คือหนึ่งในห้าส่วน ท่านต้องรวบรวมมิติสัตว์อสูรทั้งหมด ไม่เช่นนั้นท่านจะเดือดร้อนอย่างมาก” มั่วหรานพูดอย่างเคร่งเครียด
“ข้าจะเดือดร้อนอะไร?” หลิวหลีประหลาดใจในเรื่องนี้จริงๆ
“นายท่าน หากท่านรวบรวมมิติอื่นไม่ครบ ท่านจะถูกสังหาร กลายเป็นอาหารหล่อเลี้ยงหยก เพื่อรอเจ้าของคนใหม่ปรากฎตัวขึ้น”
“ข้าโยนทิ้งตอนนี้เลยได้ไหม?” หลิวหลีรู้สึกไม่ใคร่สู้ดีนัก การบำเพ็ญเพียรต้องใช้เพลิงอัคคี สวนสมุนไพรที่พกติดตัวได้นั้นสร้างขึ้นมาอย่างยากเย็นนั้นจะถูกมิตินี้ฮุบกินเข้าไป ถ้าจะตายแล้วเงินทองก็คงไม่เท่าไหร่ แต่ชีวิตนี่สิ นางจะอนาถไปอีกเท่าไหร่
“ไม่ได้ พันธสัญญาที่ท่านผูกนั้นคือพันธสัญญาเลือด ยกเลิกไม่ได้ ทำให้มันกลายเป็นส่วนหนึ่งของท่านไปแล้ว” มั่วหรานพูดพลางส่ายหัว
“พูดมาเถอะ จะให้ข้าทำอะไร อย่าบอกนะว่าที่ท่านจู่ๆปรากฏตัวขึ้นเพราะเกิดเป็นห่วงข้าขึ้นมา” ว่าแล้วเชียวการที่ภูติวิญญาณปรากฎตัวอย่างกระทันกันเช่นนี้ย่อมไม่ใช่เรื่องดี
“เหอะ เหอะ เรื่องนี้ นายท่าน ข้ารู้ว่าท่านยังอยู่ เพียงแต่มีพลังไม่มากพอข้าก็เลยไม่ตื่นขึ้นมา” มั่วหรานเกาหัวอย่างเก้อเขิน
“ทำท่าทางน่ารักก็ไม่มีประโยชน์ พูดมา ต้องการให้ข้าทำอะไร?” หลิวหลีไม่รู้สึกซาบซึ้งอะไรนักหรอก ดูปราดเดียวก็รู้แล้วว่าเด็กนี่เป็นจำพวกถ้าไม่มีจุดประสงค์
ก็คงไม่ปรากฏตัวขึ้นมาหรอก
“เรื่องนี้ก็… อันที่จริงอีกสี่ส่วนที่เหลือนั้นหาง่ายมากซึ่งนั่นก็คือป้ายหยกประจำสกุลของทั้งสี่สกุลใหญ่” มั่วหรานพูดพลางถูกมือ
“ป้ายหยกของพวกเขาไม่มีภูติวิญญาณหรือ?” หลิวหลีรู้สึกว่ารายละเอียดเรื่องนี้ค่อนข้างมากทีเดียว
“ไม่มี มิติสัตว์อสูรนี้มีเพียงภูติวิญญาณเพียงตนเดียว เพราะแรกเริ่มเทพผู้สร้างยึดสกุลหลงเป็นลำดับแรก ดังนั้นข้าถึงได้อยู่ในป้ายหยกสกุลหลง” มั่วหรานอธิบาย
“เจ้าเองก็เห็น ข้าเพิ่งมีพลังบำเพ็ญเพียรขั้นอมตะ ทำอะไรก็ไม่ได้ คนที่มีจิตจะสังหารกันไม่ใช่ข้ากระมังแต่เป็นเจ้า” หลิวหลีคิดครู่หนึ่ง กางมือแล้วจึงเอ่ย ประโยคสุดท้ายฟังดูเย็นยะเยือก เจ้าตัวน้อยกล้าแกล้งข้าแล้วจะรอดตัวไปเฉยๆได้หรือ
“นายท่าน จะกำจัดท่านจริงๆ” มั่วหรานตัวแข็ง ช่างเป็นเจ้านายที่อ่อนไหวเสียจริง
“หึ เจ้าคิดว่าข้าจะเชื่อหรือ หากคิดจะสังหารข้าล่ะก็ ข้าย่อมทำลายเจ้าก่อนแน่นอน” หลิวหลีเองก็ไม่ใช่คนดีอะไรเสียหน่อย
……………………………………