แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 8 ขนมที่หล่นจากฟ้าช่างไม่อร่อยเสียเลย
หลิวหลีนิ่งไปครู่หนึ่งถึงจะได้สติ ไม่หรอกมั้ง…ก็เห็นอยู่ว่านางเพิ่งเลื่อนขั้นไป ไม่ว่าจะอย่างไร หลิวหลีก็นั่งขัดสมาธิทันทีแล้วกำหนดจิต เริ่มฝึกบำเพ็ญเคล็ดวิชาเยี่ยนตัน พลังเซียนไหลทะลักเข้าสู่ร่างกายของหลิวหลี หลิวหลีเริ่มมีใบหน้าที่เจ็บปวดแสดงออกมาราวกับร่างกำลังถูกฉีกเป็นชิ้นๆ งูสีแดงตัวนี้คือเอ๋าเลี่ยบรรพบุรุษของเผ่ามังกร กำลังมองไปยังเด็กสาวที่เจ็บปวดตรงหน้า เด็กคนนี้มีบุญบารมีหรือหายนะกันแน่นะ
เอ๋าเลี่ยถอนหายใจออกมาอย่างอดไม่ได้ เขามีชีวิตมาเนิ่นนานเกินไปจึงคิดเปลี่ยนวิถีชีวิต เขาถึงได้ผนึกพลังบำเพ็ญเพียร กลายเป็นอสรพิษตัวหนึ่ง จนเกือบโดนหลิวหลีเหยียบตาย ตอนนั้นแม้จะเหยียบโดนจุดตายแต่ก็เบี่ยงหลบได้อย่างฉิวเฉียด และเพราะความฉิวเฉียดนี่เองเกือบทำให้บรรพบุรุษแห่งเผ่ามังกรที่วางแผนจะลิ้มรสประสบการณ์ชีวิตแต่ยังไม่ทันสำเร็จก็ต้องด่วนมาตาย เมื่อตื่นขึ้นมาก็พบว่าตนนั้นยังอ่อนแรงจากอาการบาดเจ็บ แม้แต่กระบอกไม้ไผ่นี่ก็เปิดไม่ออก ใครจะรู้พอเปิดออกมาจะเจอกับเด็กน้อย ที่สำคัญนังหนูน้อยยังมือสั่นระริก แล้วยิ่งน่าโมโหมากขึ้นก็คือเขาดันแลบลิ้นดื่มเลือดนังหนูเข้าไปอย่างโง่เขลา โชคยังดีที่เลือดของเขาเป็นสายเลือดชั้นสูง ไม่เช่นนั้นคงไม่สามารถทำสัญญาที่เท่าเทียมเช่นนี้ได้ เพียงแต่ว่าจะผูกพันธสัญญากับมังกรได้ก็มีแต่คนในสกุลหลงเท่านั้น เด็กคนนี้ดูแล้วไม่น่าจะใช่คนสกุลหลง แต่ตราประทับลายมังกรบนหน้าผากที่ปรากฏเพียงชั่วครู่นั้นมีเพียงสกุลหลงเท่านั้นที่จะมีได้
เมื่อมองใบหน้าซีดเผือดแสนเจ็บปวดของเด็กสาว เอ๋าเลี่ยถอนหายใจออกมา ช่างเถอะ ช่วยนางสักหน่อยแล้วกัน ใครทำให้พวกเขาต้องมาผูกมัดกันเช่นนี้เล่า เอ๋าเลี่ยอ้าปากกว้าง พลังเซียนที่หนาแน่นนั้นถูกเอ๋าเลี่ยดูดกลืนไปกว่าครึ่งจนเจือจางลง น่าจะสามารถรับได้แล้ว
“เด็กน้อย ข้าช่วยเจ้าไปบางส่วนแล้ว ที่เหลือคงต้องดูความสามารถของตัวเจ้าแล้ว” เอ๋าเลี่ยพูดจบก็หายวับเข้าไปในมิติเทพเจ้ามังกรที่ก่อตัวขึ้นเพราะได้ทำพันธะสัญญากับหลิวหลี
หลิวหลีรู้สึกได้ว่าพลังเซียนอ่อนแรงลงเล็กน้อยแต่ยังเกินขอบเขตที่นางจะรับได้ เส้นลมปราณที่โดนยืดขยายออกช้าๆ ทำให้รู้สึกเจ็บปวดไปหมด ถึงขนาดมีลางสังหรณ์ว่ามันจะแตกหักไปบ้างแล้ว จะต้องมาแย่เพราะเรื่องนี้หรือ น่าเศร้าจริงๆ
เมื่อภายในใจของหลิวหลีเต็มไปด้วยความเศร้าใจ นางก็รู้สึกเหมือนบริเวณใกล้หัวใจของนางกำลังถูกแผดเผา ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ห้อยป้ายหยกที่ได้รับมาจากมารดา ป้ายหยกนั้นค่อยๆซึมซับพลังเซียนช้าๆ หลิวหลีจึงค่อยๆคุ้นเคยกับความเร็วในการไหลวนของพลังเซียน แม้จะยังมีจำนวนมากแต่นางก็สามารถโคจรพลังเซียนไปตามเส้นลมปราณ พลังเซียนเริ่มไหลวนอย่างช้าๆ
ตอนที่หลิวหลีรู้สึกอึดอัดหายใจไม่ออกอีกครั้ง ป้ายหยกก็ไม่สามารถดูดซึมพลังเซียนได้อีก แต่พลังเซียนนั่นยังคงเข้มข้นนัก ยามนี้หลิวหลีความคิดที่อาจหาญอย่างหนึ่งเกิดขึ้น เส้นลมปราณอยู่ในร่างกายก็จริง แต่ยังมีอวัยวะในร่างกาย กระดูก และเนื้อเยื่อต่างๆ หลิวหลีพยายามเพ่งพลังเซียนไปที่เนื้อเยื่อจุดหนึ่ง ค้นพบว่ามันสามารถดูดซับพลังได้จึงค่อย ๆนำพาพลังเซียนไหลเวียนไปทั่วร่างกาย
เมื่อพวกเทียนเย่าสังเกตเห็นถึงความผิดปกติ โดยเฉพาะตอนที่พวกเขาพบว่าเป็นศิษย์น้องของตน ความรู้สึกของเทียนเย่าคงต้องเรียกว่าปวดใจ หากแม่หนูน้อยเป็นอะไร ท่านอาจารย์ลุงเสวียนหั่วคงรื้อหอโอสถแล้วมาซ้อมตนเองต่อกระมัง เมื่อเทียนเย่ามาถึงก็ค้นพบว่าพลังเซียนเข้มข้นผิดปกติ พลังเซียนในช่วงอมตะผิดพลาดหรือเปล่า ศิษย์น้องผู้นี้เพิ่งจะก้าวสู่โลกแห่งเซียนไม่ใช่หรือ เพิ่งจบการศึกษาที่โถงแห่งปัญญามิใช่หรือ จื่ออินที่ก็รีบตามมาทีหลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตอนที่พบว่าอาจารย์ของตนเองก็อยู่ที่นี่แล้ว
“ท่านอาจารย์ นั่นศิษย์น้องหรือ?” แม้จะแน่ใจว่าเป็นหลิวหลีแน่แต่ก็ลองถามดูเผื่อโชคจะเข้าข้าง
当玄羽领导着各位峰主到达的时候,也被眼前的景象震惊了,尤其是明白是被抢了的徒弟现在她们的小师妹闹出的动静,都感觉要出事。玄火赶到的时候就看见浓郁的看不进五指的灵气,以及神识下小徒弟痛苦的表情。
“ไม่ผิดแน่ เกิดอะไรขึ้นกับเด็กคนนี้กัน พลังเซียนที่แข็งแกร่งเช่นนี้อาจจะทำให้ร่างนางแหลกสลายได้” เทียนเย่าพูดอย่างเคร่งเครียด คิดอยู่ครู่หนึ่งจึงทำยันต์วิญญาณสองสามอันขึ้นมาโดยเฉพาะหนึ่งในยันต์วิญญาณ เทียนเย่าได้เตรียมการอย่างดีแล้ว หากไม่ได้ผลเขาอาจจะต้องไปตามอาจารย์อาเสวียนอวี่ไปจัดการ
เหล่าเจ้าหอที่ไม่เข้าฌาณทุกคนที่ได้รับยันต์ของเทียนเย่าล้วนแต่พูดไม่ออก แต่ก็รู้สึกได้ว่าพลังเซียนใจหอโอสถเกิดความผิดปกติ ต่างก็รีบออกฌานกรูกันมา ตั้งแต่ที่เสวียนหั่วส่งศิษย์ของตนเองมาร่ำเรียนที่หอโอสถเขาก็อุทิศตัวเองให้กับการปรุงยา ตอนเขาปรุงยาม่วงทรงกลดระดับ 7 อยู่ขาดเคล็ดวิชาเท่านั้นก็จะสำเร็จ ก็ได้รับยันต์จากเทียนเย่า เมื่อลองใช้เคล็ดวิชาแล้ว คิดไม่ถึงว่าจะมียาคุณภาพระดับล่าง 3 เม็ด และระดับสูง 1 เม็ด แต่ไม่มีคุณภาพชั้นเลิศ แต่ในฐานะที่เป็นนักปรุงยาขั้นปรมาจารย์มานาน ช่างน่าอับอายเสียจริง เสวียนหั่วที่กำลังครุ่นคิดว่าจะแยกชิ้นเทียนเย่าอย่างไร เมื่อได้รับยันต์วิญญาณจากเทียนเย่าคิดไม่ถึงว่าศิษย์จะเกิดเรื่อง ศิษย์ตัวน้อยที่เขาเฝ้าดูมาหลายร้อยปี แถมนางยังเป็นร่างวิญญาณอีกจะเกิดเรื่องได้อย่างไร รีบหายตัวไปดูสักหน่อย
เมื่อเสวียนอวี่นำเหล่าปรมาจารย์มาถึงก็ตกตะลึงกับภาพตรงหน้า โดยเฉพาะเมื่อรู้ว่าเป็นฝีมือของศิษย์ที่ถูกแย่งตัวไป พลันรู้สึกได้ว่าต้องเกิดเรื่องขึ้นเป็นแน่ เมื่อเสวี่ยนหั่วมาถึงก็เห็นพลังเซียนหนาแน่นจนมองเห็นอะไรได้ไม่ชัดเจน รวมไปถึงใบหน้าที่แสนเจ็บปวดของนาง
“นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น” เสวี่ยนหั่วขมวดคิ้วถาม
“อาจารย์ลุง ข้าก็ไม่ทราบแน่ชัด จู่ๆข้าก็รู้สึกได้ว่าพลังเซียนในหอโอสถทะลักไปที่ทางหนึ่ง ต่อมาก็พบว่ามาจากที่พักของศิษย์น้อง ถึงได้เรียกทุกคนมา มาดูว่าจะจัดการเช่นไรดี” ความรู้สึกอันว่องไวของเทียนเย่าสัมผัสได้ถึงความหงุดหงิดของอาจารย์ลุง คงไม่ใช่เพราะปรุงยาจะสำเร็จแล้วถูกขัดจังหวะใช่ไหมนะ จำเป็นต้องพูดเรื่องจริงเสียแล้ว
จื่ออินตกใจกับสิ่งที่อาจารย์ตนเองพูด ศิษย์น้องหญิงของอาจารย์ หลิวหลีคนที่ตนดูแลอย่างรักใคร่อย่างดีในฐานะศิษย์น้องกลับเป็นอาจารย์อาหรอกหรือ โลกนี้ช่างใจร้ายนัก เด็กน้อยกลายมาเป็นผู้อาวุโสของตนไปได้
เสวียนหั่วได้ฟังแล้วก็คิ้วขมวด สัมผัสเซียนในช่วงชำระล้างเหมือนจะอ่านหลิวหลี จากภายในสู่ภายนอกอย่างไรอย่างนั้น เห็นสภาพของศิษย์น้องจะน่าเวทนา แต่ร่างกายของนางไม่ได้บาดเจ็บอะไรนักหนา โดยเฉพาะในตอนที่เห็นศิษย์น้องใช้พลังเซียนไหลเวียนไปทั่วทุกอณูร่างกาย เสวียนหั่วเผลอยกย่องนางอย่างอดไม่ได้ เด็กฉลาด ดูเหมือนนังหนูจะไปผูกพันธสัญญากับอสูรภูตที่เก่งกาจ
เมื่อได้สติกลับมา เสวียนหั่วจึงถามเทียนเย่าว่า“วันนี้เด็กคนนี้ไปไหนมา”
เทียนเย่าไม่แน่ใจนักจึงถามลูกศิษย์ของตน
“เรียนท่านอาจารย์ลุง วันนี้ศิษย์น้องไปแถวป่าของหอโอสถกับพี่น้องสกุลโจว เพื่อทำความรู้จักกัน” จื่ออินตอบอย่างนอบน้อม จนเกือบเรียกศิษย์น้องออกมา น่าขายหน้าจริงๆ นี่คืออาจารย์อาต่างหาก ไม่สามารถเรียกว่าศิษย์น้องหญิงได้อีกแล้ว ช่างเศร้าใจนัก
“เจ้าไปพาพี่น้องสกุลโจวมาที่นี่เดี๋ยวนี้” เทียนเย่าออกคำสั่ง
ผ่านไปครู่ใหญ่ โจวซาน โจวอู่ โจวซือ โจวเอ๋อร์ที่ยังคงฝึกอยู่ในป่ารวมไปถึงโจวอีและโจวมั่วที่ออกไปบำเพ็ญเพียรข้างนอกรู้สึกว่าด้านหน้าพร่าเลือน โจวซานและโจวอู่ก็พบว่าอสูรภูตที่พวกเขาต่อสู้ด้วยอยู่นั้นหายไปแล้ว โจวเอ๋อร์และโจวซือพบว่ายาศักดิ์สิทธิ์ที่พวกนางเก็บมาหายไปแล้ว ส่วนโจวอีและโจวมั่วรู้สึกตัวเองสั่นน้อยๆ แล้วออกจากห้องตนเองอย่างแปลกประหลาด หลายคนโดนเรียกตัวมาอย่างไร้สาเหตุ โดยเฉพาะพลังเซียนหนาแน่นตรงหน้านั้นส่งผลกระทบต่อพี่น้องสกุลโจวอย่างหนักหน่วง พลังบำเพ็ญเพียรเริ่มเกิดการเปลี่ยนแปลง จนถึงขั้นทรมาน เทียนเย่ากวาดมือเรียกเขตแดนปราการแก้ว คราวนี้เด็กสกุลโจวถึงได้ดีขึ้น พลังบำเพ็ญเพียรของแต่ละคนก็พัฒนาขึ้น
“ศิษย์หลานข้ามีคำถามจะถามพวกเจ้าเสียหน่อย” โดยปกติแล้วผู้อาวุโสไม่สามารถตั้งคำถามเช่นนี้ได้ จื่ออินจึงเป็นฝ่ายรับภารกิจนี้มา
“ท่านอาจารย์ลุงเชิญถามได้เลยขอรับ” โจวซานตอบอย่างใจเย็น โจวอู่แทบไม่กล้าหายใจเสียงดัง โจวอีและโจวมั่วอายุยังน้อยก็ยังแอบดูบุคคลในตำนานอย่างเป็นระยะๆ
“วันนี้ พวกเจ้ากับหลิวหลีไปที่ไหนมา”
“ขอรับ?” โจวซานสะดุ้งเมื่อได้ยินชื่อหลิวหลี จากนั้นก็สงบลงอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนว่าจะเกี่ยวข้องกับหนูน้อยคนพิเศษคนนั้น
“ทำสิ่งใดไปบ้าง”
“เรียนท่านอาจารย์ลุง วันนี้พวกข้าวางแผนพาเหล่าน้อง ๆไปศึกษาหาความรู้ น้องหกกับน้องเล็กของข้าบอกว่าเขามีสหายคนหนึ่งชื่อหลิวหลีที่โถงแห่งปัญญา อยากจะพานางไปด้วยกัน พวกเราไม่ได้สนิทกันมากนัก เพียงแค่เก็บพืชวิเศษที่พบเจอได้บ่อยมาอธิบายให้เหล่าน้องๆ ฟัง หลังจากนั้นก็พักกินข้าวเที่ยงและส่งน้องเล็กและหลิวหลีกลับไป” โจวซานเอ่ยตอบ
หลายคนขมวดคิ้ว เทียนเย่ายิ่งไม่เข้าใจหนัก ในป่าก็เป็นสถานที่ไว้ให้เหล่าศิษย์ช่วงฝึกลมปราณใช้กัน ในนั้นไม่น่ามีอันตรายใดๆ
“ท่านพี่ ท่านลืมแล้วหรือ เมื่อตอนเที่ยงหลิวหลีตกใจที่เหยียบงูสีแดงตัวหนึ่งเข้า แล้วบอกจะเอากลับไปทำซุปงู” โจวอีโพล่งออกมา
“งูแดง” หลายคนจับประเด็นนี้ได้
“ใช่แล้ว หลิวหลีโชคดีมาก เหยียบโดนจุดตายของงูเลย” โจวมั่วพูดเสริม
ผู้อาวุโสหลายคนนับถือหลิวหลี คิดไม่ถึงว่านางเหยียบโดนจุดตายเข้าพอดี งูตัวนี่โชคร้ายไม่น้อย
เสวียนขมวดคิ้วมุ่น เมื่อครู่เขาใช้ประสาทเซียนกวาดดูแล้ว ก็ไม่เจองูแดงสักตัว และไม่มีกลิ่นอายของอสูรภูตแม้แต่น้อย เด็กน้อยสองคนนี้ไม่ได้โกหก เช่นนั้นแล้วมีความเป็นไปได้อย่างหนึ่งว่างูตัวที่ศิษย์เหยียบยังไม่ตาย แล้วไม่รู้ว่านางไปทำพันธะสัญญาได้อย่างไร อีกอย่างก็คงไม่ใช่งูธรรมดาๆอีกด้วย พันธะสัญญาที่เท่าเทียมกันเช่นนี้ถือว่าเหมาะสมแล้ว พอเป็นเช่นนั้นแล้วทุกอย่างก็สมเหตุสมผล เด็กสองคนนี้เป็นสหายของหลิวหลี เสวียนหั่วมองดูแล้วคุณสมบัติถือว่าใช้ได้
“เทียนเย่า เจ้าหาศิษย์ในสำนักเจ้ารับเด็กสองคนนี้เป็นศิษย์ผู้สืบทอดเถอะ” เสวียนหั่วกล่าว พี่น้องสกุลโจวที่กำลังคุกเข่าอยู่ก็ตกใจ แล้วดีใจเนื้อเต้น
“ท่านอาจารย์ ข้ายังไม่มีศิษย์ ถ้าไม่เช่นนั้นให้ข้ารับไว้เป็นศิษย์ได้หรือไม่” จื่ออินรู้สึกดีกับเด็กสองคนนี้ จะรับพวกเขาเป็นศิษย์ก็ไม่เลว ทั้งยังได้เอาหน้ากับท่านอาจารย์ลุงอีกด้วย
“ได้” เทียนเย่าพยักหน้ารับ
“น้องหก น้องเล็ก ยังไม่รีบคาราวะอาจารย์อีก” โจวซานดีใจแทบบ้ารีบกระตุ้นน้องชายทั้งสอง นี่ช่างเป็นเรื่องน่ายินดีของสกุลโจว
“เช่นนั้น ก่อนคารวะอาจารย์ และฝากตัวเป็นศิษย์ ข้าขอถามได้หรือไม่ว่าหลิวหลีนางเป็นอะไร พวกท่านถามแต่เรื่องเกี่ยวกับนาง เกิดอะไรขึ้นกับนางอย่างนั้นหรือ” โจวอีถามอย่างกล้าหาญ
“นั่นสิ ที่นี่คือที่พักของหลิวหลี เหตุใดนางจึงไม่ออกมา” โจวมั่วถามซ้ำ
โจวซานถูกน้องชายผู้โง่เขลาแทบร้องไห้ออกมา น้องเล็กพวกเจ้าสร้างเรื่องวุ่นวายอะไรเนี่ย
“พวกเจ้าวางใจเถอะ หลิวหลีไม่ได้เป็นอะไร นี่เป็นจังหวะโอกาสของนาง พวกเจ้าสองคนไม่ผิด เทียนเย่าเด็กที่มีจิตใจที่ไร้เดียงสาเช่นนี้หาได้ยากนัก ลูกศิษย์เจ้าใสซื่อนัก” เสวียนหั่วพูดขึ้นอย่างอ่อนโยน รู้สึกผิดที่ให้ศิษย์ตนรับไว้เป็นศิษย์ หนูน้อยผู้มีความไร้เดียงสาเช่นนี้ นิสัยใจคอเช่นนี้ อนาคตภายหน้าคงไปไกลไม่อาจประมาณ
“อาจารย์ลุง เด็กสองคนนี้ข้าจะรับเป็นศิษย์สืบทอดรุ่นที่ห้าและรุ่นที่หกก็ได้” เทียนเย่ากล่าวตอบ เด็กสองคนนี้ช่างมีจิตใจที่บริสุทธิ์ ในโลกแห่งเซียนเด็กที่มีจิตใจบริสุทธิ์ไร้เดียงสาเช่นนี้มีน้อยนัก หากไม่เหนือความคาดหมายวันข้างหน้าเส้นทางของทั้งคู่ไปไกลแน่นอน
“เจ้าเด็กน้อย พวกเจ้าต้องมาเป็นศิษย์ของข้าสิ ไม่เลวเลยนะ อาจารย์ของข้าประสบการณ์เยอะแยะ” จื่ออินพูดอย่างไม่ใส่ใจ จะเป็นศิษย์หรือไม่ก็ไม่เป็นไรเขาแค่ถูกชะตาเด็กสองคนนี้
“อืม พวกเราต้องไหว้ใครเป็นอาจารย์หรือ” โจวอีและโจวมั่วรู้สึกสับสน เปลี่ยนอาจารย์ได้ด้วยหรือ
พวกโจวซานไม่รู้จะพูดอะไรดี จู่ ๆก็เหมือนมีขนมตกลงมาจากฟ้ากระแทกหัวพวกเขาจังๆ เมื่อนึกถึงประโยชน์ที่สกุลโจวจะได้รับ ในฐานะที่เป็นสกุลในสำนัก คิดไม่ถึงว่าเป็นสกุลชั้นสองมาตลอด แล้วน้องชายสองคนได้เป็นศิษย์ผู้สืบทอดของเจ้าหอ ทำให้สกุลของเขาพอจะเบียดขึ้นไปอยู่ชั้นหนึ่งได้ แล้วหากน้องชายตนเองประสบความสำเร็จ เช่นนั้นแล้วสกุลของตนเองก็จะสามารถขึ้นมาเป็นสกุลชั้นหนึ่งได้อย่างมั่นคง นี่จะถือเป็นเกียรติยศของสกุล คิดว่าท่านปู่และท่านอาคงดีใจมากแน่
“เหอะเหอะ พวกเจ้าอยากคารวะข้าเป็นอาจารย์หรือไม่” เทียนเย่ารู้สึกว่าเด็กสองคนนี้ถูกใจเขามาก ไม่ได้รู้สึกจำยอมแม้แต่น้อย
“ท่านอาจารย์ ข้าน้อยโจวอี โจวมั่วขอคารวะท่านอาจารย์” โจวอีโจวมั่วเห็นอาจารย์ว่าเช่นนั้นจึงคารวะอาจารย์อย่างดีใจ ยอดไปเลย ในที่สุดก็มีอาจารย์คนเดียวกับหลิวหลีแล้ว ภายในใจของทั้งคู่คิดว่ามีอาจารย์คนเดียวกันกับหลิวหลี เช่นนั้นหลิวหลีก็จะกลายเป็นศิษย์พี่เขาแล้ว แต่ทว่าบนโลกใบนี้ยังมีคำว่า ‘เรื่องประหลาดใจที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อน’ อยู่
………………………………………….