แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 90 หักอาวุธด้วยมือเปล่าเท่มากเลยนะ
“นังหนูคือ เจ้าหลิวหลีจากสกุลหลงใช่ไหม” เยี่ยฉีหยั่งเชิงถาม
“เจ้าค่ะ ไม่ทราบว่าท่านผู้อาวุโสคือ…” หลิวหลีมองจื่อฉีที่ถูกดึงอยู่ ก็พอจะเข้าใจขึ้นมาลางๆ
“เผ่ากิเลน เยี่ยฉี โม่ฉี”
“ผู้อาวุโสเยี่ยกับผู้อาวุโสมั่วมีอะไรจะแนะนำหรือเจ้าคะ” หลิวหลีถามด้วยความเคารพ อย่างไรเสียก็ถือว่าเป็นผู้อาวุโส ก็ควรจะให้เกียรติ
“บอกตรงๆเลยแล้วกัน จื่อฉีเป็นลูกของพี่ชายข้าโม่ฉี ตอนนั้นเพราะพี่สะใภ้ร่างกายอ่อนแอ พี่ชายไม่อยากให้พี่สะใภ้ลำบากในการคลอดบุตร เลยต้องการให้พี่สะใภ้ทิ้งลูกไป พี่สะใภ้ไม่ยอมจึงหนีออกจากเผ่ากิเลน พอมาถึงวันนี้ก็เห็นแต่จื่อฉีไม่เห็นพี่สะใภ้ จื่อฉีจึงไม่ค่อยอยากจะยอมรับพวกเรา” เยี่ยฉีพูดด้วยความเศร้าเล็กน้อย
“จื่อฉี เขาเป็นพ่อเจ้าจริงใช่ไหม?” หลิวหลีถาม
“การเต้นระรัวของสายโลหิตบอกข้าว่า ใช่” จื่อฉีพยักหน้า
“ถ้าอย่างนั้น เจ้าอยากจะยอมรับเขาไหม” หลิวหลีถามต่อ
“ไม่รู้สิ ข้าแค่อยากจะหาท่านแม่ให้เจอก่อน” จื่อฉีพูดเสียงอ่อย
“ก็ดีเหมือนกัน ตอนแม่ของเจ้าคลอด เจ้าอาจจะยังไม่สิ้นลมหายใจก็ได้ ทุกอย่างมีความเป็นไปได้ทั้งนั้น” หลิวหลีพยักหน้าเข้าใจ
“ผู้อาวุโสเยี่ย ผู้อาวุโสโม่ ไม่ว่าจะเป็นเพราะสาเหตุอะไรข้าเป็นคนเก็บจื่อฉีได้ที่โลกมนุษย์ ผู้อาวุโสโม่เอาแต่นั่งโทษตัวเอง เคยคิดจะไปตามหาแม่ของจื่อฉีจริงๆจังๆบ้างไหม ลงมือทำดีกว่าใช้ปากพูด ท่านทำแบบนี้ข้าก็ชักไม่แน่ใจว่าท่านรักแม่ของจื่อฉีจริงหรือเปล่า ตอนนี้เชิญท่านทั้งสองกลับไปก่อนเถอะ จื่อฉีก็บอกแล้ว รอเขาหาแม่เจอก่อนแล้วค่อยว่ากัน” หลิวหลีพูดส่งแขกอย่างไม่ไว้หน้า
เมื่อปิดประตูลง กลิ่นหอมของอาหารก็โชยมา ทำให้เอ๋าเลี่ยถึงกับน้ำลายสอ ทำให้จื่อฉี่ที่ยังคงสับสนอยู่ต้องรีบพุ่งเข้าไป อยู่ต่อหน้าอาหารรสเลิศ อะไรก็ไม่สำคัญแล้ว!
“ดูท่าทางพวกเจ้าสองคนสิ ข้าเคยเลี้ยงพวกเจ้าไม่ดีหรือ รีบกินเถอะ ต่อไปนี้พวกเจ้าทั้งสองคนคือผู้พิทักษ์ซ้ายขวาของข้า ใครมารังแกข้า อย่าลืมไปจัดการพวกเขาล่ะ” หลิวหลีเห็นท่าทีของทั้งคนก็อดที่จะหัวเราะขึ้นมาไม่ได้
แน่นอนว่าฝีมือในการทำอาหารของหลิวหลีก็ได้รับคำชมอย่างเป็นเอกฉันท์ สำหรับหัวหน้าเผ่ามังกรที่ถูกลืมไปนานอยู่หน้าประตูก็รับหน้าที่ไปส่งแขก เอิ่ม หอมจัง ไม่ให้เขาลองบ้างเลย นังหนูนี่เจ้าคิดเจ้าแค้นนัก ก็แค่เรียก ‘ท่านยาย’ เท่านั้นเอง
เมื่อกินกันอย่างอิ่มหนำสำราญ จริงๆแล้วก็แค่ลองชิมรสชาติดูเท่านั้น ถ้าให้ทั้ง 3 คนกินอิ่มล่ะก็ มาอีก 10 ที่ก็คงไม่พอ
“นังหนู เจ้ามีแผนอะไรไหม จะกลับสกุลหลงไหม” เอ๋าเลี่ยมองดูหลิวหลีที่มีสีหน้าสบายๆแล้วถาม
“ไม่คิดจะกลับไป ก่อนที่ท่านแม่ข้าจะฟื้น จะคนสกุลหลงหรือสกุลจ้านข้าก็ไม่อยากเจอใครทั้งนั้น” หลิวหลีพูดพลางส่ายหัว
“สกุลหลงไปล่วงเกินเจ้าตอนไหน?” เอ๋าเลี่ยเลิกคิ้วพลางถาม
“ข้ามีความสัมพันธ์กับบ้านสกุลหลงเพราะข้าได้ทำพันธสัญญากับมังกร มังกรสำหรับข้าแล้ว คือความศรัทธา ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับคนสกุลหลง”
“เจ้าหมายความว่า หากเป็นสกุลจ้านที่สามารถทำพันธสัญญากับมังกรได้ เจ้าก็จะกลับสกุลจ้านอย่างไม่ลังเลใจ” เอ๋าเลี่ยเลิกคิ้ว บนโลกใบนี้ทำไมถึงมีคนให้ความรู้สึกพิเศษต่อมังกรเช่นนี้
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้” หลิวหลีทอดสายตาออกไปไกล
เอ๋าเลี่ยไม่รู้จะพูดอะไร อยู่ๆ ก็รู้สึกสงสารคนบ้านสกุลหลงขึ้นมาจับใจ
“นังหนู ตอนนี้พลังบำเพ็ญเพียรของเจ้าอยู่ในช่วงปราณก่อนกำเนิดระยะกลางแล้ว ยังเหลือเวลาอีกหนึ่งเดือนจะเข้าไปในแดนลี้ลับ ฝึกพวกทักษะในการต่อสู้หน่อยไหม” เอ๋าเลี่ยแนะนำขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ หักอาวุธด้วยมือเปล่ามันดูไม่ค่อยเข้ากับนังหนูจริง ๆ
“รอก่อนก็ได้ ตอนนี้ความแข็งแกร่งของร่างกายข้าไม่เป็นรองอาวุธศักดิ์ศิทธิ์ระดับสูง ถ้าไม่ใช่อาวุธที่ชื่นชอบก็ไม่มีความจำเป็น อีกอย่างการหักอาวุธด้วยมือเปล่า ก็ดูเท่จะตายไป” หลิวหลีคิดแล้วก็ตอบ
“นังหนู เจ้าไม่คิดว่ามันทำลายภาพลักษณ์ของเจ้าหรือ” เอ๋าเลี่ยพยายามพูดอ้อมๆ รู้อยู่แล้วล่ะว่านังหนูต้องบอกว่าการหักอาวุธด้วยมือเปล่าดูเท่
“ไม่นะ ข้าอยากจะทำอาวุธ ที่ค่อนข้างมีเอกลักษณ์ หากใช้ไม่ถนัดมือก็จะไม่ใช้” หลิวหลีพูดพลางส่ายหน้า อาวุธในใจของนางก็พอมีอยู่คร่าวๆบ้างแล้ว แต่วัตถุดิบมีจำกัด ควรจะหาวัตถุดิบก่อนก็แล้วกัน
เอ๋าเลี่ยรู้สึกตัวเองเลี้ยงนังหนูออกนอกลู่นอกทาง ความตั้งใจเดิมของเขาคืออยากจะให้ร่างกายของนังหนูมีความแข็งแกร่งเพื่อจะสามารถอดทนกับเพลิงอัคคีได้ แต่นังหนูดูเหมือนจะสนใจการหักอาวุธด้วยมือเปล่าอย่างมาก สาวน้อยบอบบางที่เขาคาดหวังหายวับไปกับตา
“อาเลี่ย ทำไมสายตาของเจ้าแปลกๆ ทำไมเจ้าจะให้อาวุธข้าอย่างนั้นหรอ” หลิวหลีถูมือแล้วถามขึ้น ถึงแม้ตอนนี้นางยังไม่อยากใช้อาวุธ แต่ถ้าให้มาแล้วไม่เอาก็เสียเปล่าสิ
“ฮ่าฮ่า ข้าเผ่ามังกรร่างกายแข็งแกร่งทนทานดุจดั่งเหล็กกล้า ไม่จำเป็นต้องถือของอะไรแบบนั้น” เอ๋าเลี่ยปฏิเสธเสียงแข็ง
“ก็ได้ จื่อฉี ตอนนี้พลังบำเพ็ญเพียรของเจ้าค่อนข้างต่ำ จะไปบำเพ็ญฝึกฝนในมิติไหม หลังจากกลับจากแดนลี้ลับอสูรเทพแล้ว เราค่อยกลับโลกมนุษย์กัน” หลิวหลีพูดกับจื่อฉีที่กำลังเรออยู่ข้าง ๆ
“ได้ขอรับ” จื่อฉีไม่มีข้อโต้แย้ง ต้องมีความสามารถจึงจะเป็นหนทางของการอยู่รอด
“ข้าไปกับเจ้าแล้วกัน คู่ฝึกซ้อมก็จำเป็นต้องมี” เอ๋าเลี่ยรู้สึกว่านังหนูสามารถดูแลตัวเองได้ เขาไปสอนเด็กแล้วกัน
“ได้ขอรับ” จื่อฉีพยักหน้า ตอนนี้เขาต้องพัฒนาความสามารถ หากมีเอ๋าเลี่ยช่วยซ้อมก็จะสามารถพัฒนาได้เร็วยิ่งขึ้น เขาอยากจะช่วยท่านพี่
“เอาล่ะ งานเลี้ยงต้อนรับสิ้นสุดลงแล้ว ข้าจะคุยกับอาจารย์สักหน่อย ไม่รู้ว่าจำเป็นต้องให้ข้ากลับไปที่สำนักไหม” หลิวหลีพูดอย่างไม่แน่ใจ ทำไมรู้สึกเหมือนจะเกิดเรื่องอะไรตลอดเวลา
หลิวหลีเก็บภาชนะ ถึงแม้มีมนตร์ทำความสะอาด แต่หลิวหลีชอบใช้น้ำล้างมากกว่า เพราะรู้สึกมนตร์นั้นล้างไม่ค่อยสะอาด
เมื่อทำทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็นำไข่มุกส่งสารออกมา
“อาจารย์ ข้าจะต้องใช้เวลาอีกปีกว่าจึงจะสามารถกลับสำนักได้ สำนักไม่ได้มีอะไรให้ข้าต้องกลับไปใช่ไหม”
ณ สำนักเมฆาคล้อย ในระหว่างที่เสวียนหั่วกำลังเข้าฌาน เขาสัมผัสอะไรได้บางอย่างจึงตื่นขึ้นมา แล้วพบข้อความที่ลูกศิษย์ของเขากับศิษย์น้องเจ้าสำนักส่งมา เมื่อเสวียนหั่วดูเสร็จ ก็ตอบกลับไป
“ศิษย์เอ๋ย ตอนนี้พลังบำเพ็ญเพียรของเจ้าไปถึงไหนแล้ว”
“ช่วงปราณก่อนกำเนิดระยะกลางเจ้าค่ะ” ทำไมอาจารย์ถึงมาสนใจพลังบำเพ็ญเพียรของนาง ทำไมรู้สึกเหมือนมีแผนการชั่วร้ายอะไร
เสวียนหั่วเห็นข้อความที่หลิวหลีส่งกลับมา ก็ไม่สามารถตั้งสติได้ไปสักพัก ลูกศิษย์ของเขาอยู่ในช่วงปราณก่อนกำเนิดระยะกลางแล้ว นางเพิ่งจะอายุ 23 ปี ตอนเขาอายุ 23 เหมือนจะอยู่ในช่วงพื้นฐานเท่านั้น คนเทียบกันเองมันช่างน่าโมโหจริงๆถ้าอย่างนั้นการจัดอันดับผู้ถูกเลือกในอีก 5 ปีข้างหน้า ลูกศิษย์ของเขาก็มีความสามารถที่จะไปแย่งชิงตำแหน่งมาได้
“ศิษย์เอ๋ย จำไว้ว่าอีก 3 ปี เจ้าต้องกลับมาที่สำนักนะ”
“เจ้าค่ะ” หลิวหลีเก็บไข่มุกส่งสารเข้าไป อีก 3 ปีเป็นวันสำคัญอะไรกัน หลิวหลีจับคางตัวเอง คิดอย่างไรก็คิดไม่ออก
อีกด้านหนึ่ง เสวียนหั่วตอบกลับข้อความของเสวียนอวี่ เหมือนเสียงจากสวรรค์ที่ทำให้เสวียนอวี่ผู้เดือดดาลสงบลง
ดูสิ คนที่จะมาเชิดหน้าชูตาให้กับสำนักก็ต้องยกให้ศิษย์พี่เสวียนหั่วนี่แหละ เจ้ามาดู ลูกศิษย์ของศิษย์พี่อยู่ในช่วงปราณก่อนกำเนิดระยะกลางแล้ว เพิ่งจะอายุ 23 ปี เสวียนอวี่ขมวดคิ้วมองดูลูกศิษย์ที่ตอนแรกเขาคิดว่าไม่เลวที่อยู่ด้านล่าง จื่อซู เอิ่ม ทำไมช่างแตกต่างกันขนาดนี้
“จื่อซู อาจารย์อาของเจ้าอยู่ในช่วงปราณก่อนกำเนิดระยะกลางแล้ว เจ้าต้องสู้ ๆ นะ” เสวียนอวี่ตีลูกศิษย์เบาๆ แล้วก็เดินจากไป ทิ้งจื่อซูที่ราวกับโดนฟ้าผ่าตรงกลางใจเอาไว้ เขาได้ยินอะไรมา ปีศาจน้อยตัวนั้นอยู่ในช่วงปราณก่อนกำเนิดระยะกลางแล้วหรอ
บนโลกใบนี้จะมีคนอยู่ประเภทหนึ่ง ที่การมีตัวตนสร้างแรงกดดันให้คนอื่น หลิวหลีเหมือนจะเป็นคนประเภทนั้น
แน่นอนว่าหลิวหลีไม่รู้ว่าตัวเองได้กลายเป็นลูกคนอื่นที่มักจะใช้ถูกเปรียบเทียบไปแล้ว ส่งข้อความหาอาจารย์เสร็จ นางก็ฝึกบำเพ็ญ ลองปรุงยาระดับ 7 ดู และเป็นอย่างที่คิดไว้ ไม่สำเร็จสักอัน
“เอ่อ ยังขาดอะไรอีกนะ” หลิวหลีมองดูของเหลวเสียพลางทอดถอนใจ ช่างเถอะ อย่าเพิ่งไปฟุ่มเฟือยพืชศักดิ์สิทธิ์เลย ล้างผลาญอย่างนี้ต่อไปก็คงจะไม่ไหว
…………………………………………..