แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 95 มีผู้ถูกเลือกบางประเภทชื่อหลิวหลี
“ดังนั้น จุดกลมสีดำของจ้านอวิ๋นจิ่งกลายเป็นสีม่วง แปลว่าก้าวหน้าอย่างนั้นหรือ เพราะว่าเขาพูดว่าสามารถจัดการแนวเขตต้องห้ามได้ในเวลาหนึ่งเดือน” ฮัวจิงเฟยวิเคราะห์
“จะว่าอย่างนั้นก็ได้” หลงนู่เทากล่าว
“แต่ว่าสุดท้ายแล้วหลิวหลีเป็นคนจัดการแนวเขตต้องห้าม ทำไมจุดกลมของนางจึงไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง” จ้านอวิ๋นจุนถามขึ้นด้วยความไม่เข้าใจ
“เพราะว่าเด็กคนนี้เจ้าเล่ห์เกินไป กว่าหลายแสนปีแล้วที่เผ่ากิเลนของข้าไม่มีกิเลนที่กินแนวเขตต้องห้ามได้ปรากฏตัวขึ้น แต่ดันกลับถูกเด็กผู้นี้ทำพันธสัญญาเสียได้” จ้านเหลยถิงตอบกลับ อีกทั้งเด็กนี่ยังค่อนข้างฝืนชะตาฟ้าลิขิต ตอนในสมัยของพวกเขาก็มีเด็กหนุ่มคนหนึ่งที่ได้ทำพันธสัญญากับอสูรเทพสองเผ่า แต่ก็ไม่โดดเด่นเท่าเด็กคนนี้
“ข้าถือว่าเจ้าเล่ห์หรือ” หลิวหลีเอามือลูบจมูกตัวเองป้อยๆ เอ่อ อย่างน้อยก็ต้องมีความรู้บ้างถึงจะเจ้าเล่ห์ได้นะ
“ฮ่า นังหนู เจ้าบอกข้าหน่อยว่าเจ้าทำพันธสัญญากับอสูรเทพตัวไหนก่อน” หลงนู่เทาถามขึ้น
“ทำพันธสัญญากับมังกรโลหิตเอ๋าเลี่ยก่อน” หลิวหลีไม่ค่อยเข้าใจกับคำถามนี้ ทำพันธสัญญากับใครก่อนมันสำคัญด้วยหรือ
“ถ้าเช่นนั้น ข้าก็จะสามารถแบกหน้ายืนอยู่ตรงกลางต่อไปได้” หลงนู่เทาพูดอย่างดีอกดีใจ
ในหัวของพวกหลิวหลีเต็มไปด้วยเครื่องหมายคำถาม นี่กำลังถกเถียงเรื่องอะไรกันอยู่
“ครั้งหน้าก็ไม่รู้แล้วว่าจะเป็นใคร” จ้านเหลยถิงพูดอย่างไม่ใส่ใจ
“พอได้แล้ว เด็กๆก็ยังยืนอยู่กันตรงนี้ จัดการธุระให้เสร็จเสียก่อน” หนานกงหลิงอวี่พูดขึ้น
“พวกเจ้า ข้าจะไขข้อสงสัยก่อนหน้านี้ของพวกเจ้า หลายแสนปีมานี้ลูกหลานที่เข้ามาในแดนลี้ลับโลกอสูรเทพที่ได้จุดสีแดงมีไม่ถึง 10 คน รอบที่แล้วที่เข้ามาสีที่ดีที่สุดไม่เกินสีเหลือง โดยเฉพาะหลงหลิวหลี เจ้า” หลงนู่เทาหยุดไปเล็กน้อย
“ข้าหรือ” หลิวหลีชี้ไปที่ตัวเอง คนที่เหลือก็มองไปที่หลิวหลีเช่นกัน
“ใช่ เจ้ารู้ไหม จริงๆแล้วเจ้าควรจะเป็นสีทอง ถึงขนาดจะต้องเป็นสีรุ้งด้วยซ้ำ แต่ถูกพวกเราฝืนกดมันเอาไว้อยู่ โชคชะตาและพรสวรรค์ของเจ้าเยี่ยมยอดมาก สุดยอดผู้ถูกเลือกไม่เพียงพอที่จะนำมาชื่นชมเจ้าด้วยซ้ำ” หลงนู่เทาไม่เคยเจอใครที่มีชะตาสุดยอดเช่นนี้มาก่อน พูดง่ายๆคือเป็นผู้ที่มีบุญญาธิการ แนวเขตต้องห้ามนี้ทำให้คนรุ่นหลังหลายคนต้องปวดหัว เสียเวลาเข้ามาในแดนลี้ลับไปกว่าครึ่ง แต่เด็กผู้ฝืนชิขิตฟ้าคนนี้กับได้ทำพันธนการกับราชากิเลนม่วงจากเผ่ากิเลนที่หมื่นปีก็ยากที่จะเจอ
“ชื่นชมเสียจนข้าทำตัวไม่ถูกเลย” หลิวหลีหน้าแดงเล็กน้อย สิ่งที่พูดอยู่คือนางหรือ? คือนางจริงๆหรือ
“เจ้าไม่ต้องถ่อมตัว การที่พวกข้ากดเจ้าให้อยู่ในระดับการประเมินสีแดง เจ้ามีอะไรไม่พอใจหรือไม่” หลงนู่เทียนถาม
“ไม่เลยเจ้าค่ะ ข้าต้องมีข้อบกพร่องอะไรอีกแน่” หลิวหลีส่ายหัว จะมีอะไรไม่พอใจอีก แค่นี้นางก็ดีกว่าคนอื่นมากแล้ว
“เจ้าคือเวิ่นเทียนจากสกุลหนานกงใช่ไหม ระดับการประเมินสีส้มเพียงคนเดียว ทำพันธนาการกับหงส์เหมันต์ในตำนาน เป็นร่างวิญญาณเหมันต์ ไม่เลวเลยจริงๆ” หนานกงหลิงอวี่มองหนานกงเวิ่นเทียนด้วยความพึงพอใจ ถึงแม้จะเทียบกับเด็กสาวสกุลหลงไม่ได้ แต่ก็ถือว่ามีความโดดเด่นเช่นกัน อย่างน้อยก็ยังได้เป็นผู้ถูกเลือก
“เรียนบรรพชน เป็นเช่นนั้น” หนานกงเวิ่นเทียนตอบด้วยความเคารพ
“เจ้าก็ใช้ได้ เพียงแต่ว่าร่างวิญญาณเหมันต์ของเจ้ามีความพิเศษอยู่เล็กน้อย” หนานกงหลิงอวี่ทำสายตาเจ้าเล่ห์
“เรียนบรรพชน บังเอิญมีโอกาสได้เจอกับวิญญาณเทพเหมันต์จึงทำให้กลายเป็นร่างวิญญาณได้” หนานกงเวิ่นเทียนตอบด้วยท่าทีที่นอบน้อม เพียงแต่ว่าพอพูดถึงวิญญาณเทพเหมันต์ ทุกคนต่างก็ส่งเสียงลุกฮือขึ้นมา
“ฮ่าๆ เจ้ารู้ว่าข้าไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้” หนานกงหลิงอวี่พูดขึ้นอย่างมีเลศนัย
หนานกงเวิ่นเทียนหน้าแดงเล็กน้อย ทำไมบรรพชนถึงได้ขี้แกล้งขนาดนี้
“นังหนูสกุลหลง เจ้ามีคู่หมั้นหมายแล้วหรือยัง ถ้าหากยังแล้วหนานกงเวิ่นเทียนสกุลข้าเป็นอย่างไร” หนานกงหลิงอวี่เปลี่ยนเป้าหมายไปที่หลงหลิวหลี
หลิวหลีที่เดิมตั้งใจจะเป็นเพียงไม้ประดับ แต่คิดไม่ถึงว่าจะลากนางเข้าไปเกี่ยวด้วย บรรพบุรุษมักบอกให้ลูกหลานขยันขันแข็งไม่ใช่หรือ
“ข้าหรือ? ได้สิเจ้าคะ ตอนนี้มีแต่เสี่ยวเทียนที่เหมาะสมกับข้า” ความตรงไปตรงมาของหลิวหลี ทำให้หนานกงเวิ่นเทียนถึงกับหน้าแดง
“นังหนู เจ้าช่างเป็นคนตรงไปตรงมาจริงๆ” หนานกงหลิงอวี่ตกใจเล็กน้อย จากนั้นก็มองหลิวหลีอย่างสนใจ
“ข้าเป็นคนตรงไปตรงมา” หลิวหลีไม่สนใจสายตาคนอื่น
“สาวน้อย เจ้าจะไม่ลองพิจารณาลูกหลานสกุลจ้านหน่อยหรือ” จ้านเหลยถิงอดพูดแทรกไม่ได้
“บรรพชน ไม่น่าขันเลยนะเจ้าคะ หากท่านไม่รักลูกหลานของท่านแล้วส่งมาให้ข้า ข้าขอไม่รับผิดชอบ อย่าบอกข้านะว่าท่านดูคุณสมบัติของร่างกายข้าไม่ออก” ความตรงไปตรงมาของหลิวหลีถึงขนาดทำให้จ้านเหลยถิงพูดไม่ออก เป็นสาวน้อยที่พูดตรงมากจริงๆ
“อีกอย่าง ลูกหลานสกุลจ้านของท่านก็ไม่เห็นอยากจะมาสู่ขอข้าเลย” หลิวหลีเหลือบสายตามองจ้านอวิ๋นจุนกับจ้านอวิ๋นจิ่ง พวกเขาคนหนึ่งเงยหน้ามองฟ้า อีกคนก้มมองขาตัวเอง นี่เรื่องตลกหรือไรกัน มังกรตัวเมียที่ดุขนาดนี้ใครจะกล้าไปสู่ขอ
“ท่านเห็นแล้วใช่หรือไม่” หลิวหลีหันกลับมา มองไปที่บรรพบุรุษสกุลจ้าน
จ้านเหลยถิงเลิกคิ้ว เด็กสาวคนนี้ไปทำอะไรมา แล้วลูกหลานของเขาไปเจออะไรมาถึงได้มองสาวน้อยสกุลหลงราวเห็นสัตว์ป่าที่ดุร้ายเช่นนั้น
“เอาล่ะ พอได้แล้ว ตามระดับการประเมินของพวกเจ้า จะได้รับการดูแลปฏิบัติที่ต่างกัน แต่ถ้าหากได้รับการยอมรับ ระดับการประเมินก็สามารถเพิ่มขึ้นได้” หลงนู่เทากล่าว
หลิวหลีจับไปที่จุดกลมสีแดงบนหน้าผาก ทำเสียจนหล่อนเหมือนกับเด็กน้อยผู้บำเพ็ญอยู่ข้างกายเจ้าแม่กวนอิม
“อย่างเช่นจ้านอวิ๋นจิ่ง เจ้าสามารถไปได้แค่ตำหนักของระดับการประเมินสีม่วง หากเจ้ามีความก้าวหน้าก็จะสามารถเข้าสู่เขตสีฟ้าได้”
“หลงหลิวหลีจะสามารถเข้าสู่เขตสีแดงได้และได้รับการดูแลระดับพิเศษ พวกเราจะดูแลเจ้าเป็นอย่างดี” รอยยิ้มของหลงนู่เทาทำให้คิ้วหลิวหลีกระตุก ความรู้สึกนี้ไม่ค่อยดีเลยจริงๆ
หลังจากแบ่งเขตเสร็จ หลิวหลีก็เดินไปยังเขตสีแดงของตน พลังเซียนที่หนาแน่นทำให้พลังเซียนในตัวนางเกิดความเคลื่อนไหว
“พลังเซียนหนาแน่นมากเลยใช่ไหม ซึ่งนี่คือการได้รับการดูแลระดับพิเศษ” หลงนู่เทากล่าว
“สีต่างกันพลังเซียนก็จะต่างกันด้วยหรือ” หลิวหลีถาม
“ใช่แล้ว เขตที่แตกต่างกันก็จะมีพลังเซียนที่แตกต่างกันออกไป ตอนนี้เขตสีแดงมีพลังเซียนมากที่สุด” หลงนู่เทาพูดด้วยน้ำเสียงชื่นชม
“บรรพบุรุษ ท่านคงจะไม่ได้แค่ให้ข้ามาดูปริมาณของพลังเซียนเท่านั้นหรอกใช่ไหม” เมื่อครู่หลิวหลีรู้สึกได้ว่า ท่านบรรพบุรุษทั้งห้าท่านนี้คงไม่ได้มีจิตเมตตาขนาดนั้น
“ใช่สิ ข้าแค่บอกไว้เฉยๆ ในฐานะที่เป็นบรรพชนของเจ้า ข้าเป็นคนแรกที่จะมาให้บทเรียนแก่เจ้า ยินดีด้วย พวกเราทั้งห้าคนจะทยอยมาสอนเจ้า” หลงนู่เทาพูดพลางยิ้มยิงฟัน
“พวกท่านจะเหนื่อยเกินไปหรือไม่” เส้นเลือดบนหน้าผากหลิวหลีเริ่มปูดออกมา นางจะเป็นที่โปรดปรานเกินไปแล้ว นางใจฝ่อแค่ไหนรู้ไหม
หนานกงเวิ่นเทียนก็ตามปรมารจารย์ของตัวเองมาที่เขตสีส้ม จ้านอวิ๋นจุนกับฮัวจิงหงก็ไปที่เขตสีเหลืองตามลำดับ
“เวิ่นเทียน ข้าเรียกเจ้าอย่างนี้ได้หรือไม่” หนานกงหลิงอวี่กล่าวขึ้น
“ได้ขอรับบรรพชน”
“ข้าดูออกว่าเจ้าชอบเด็กคนนั้นมาก”
“ถูกท่านเห็นเข้าจนได้” หนานกงเวิ่นเทียนเขินจนหูแดง
“ฮ่าๆ ข้าดูออกว่าสาวน้อยคนนั้นมีความรู้สึกดีให้เจ้า เพียงแต่อาจเพราะนางอายุยังน้อยเลยมีความสับสนอยู่บ้าง คุณสมบัติร่างกายของพวกเจ้าทั้งสองช่างเข้ากันได้ดียิ่งนัก” หนานกงหลิงอวี่พูดพลางเม้มริมฝีปากเล็กน้อย
“ท่านดูคุณสมบัติร่างกายของข้าออกด้วยหรือ” มุมหนานกงเวิ่นเทียนยกยิ้ม แสดงท่าทีชมชื่นเล็กน้อย
“เจ้าไม่จำเป็นต้องขาดความมั่นใจ คุณสมบัติร่างกายของเจ้าในอดีตเป็นคุณสมบัติที่ใช้ฝึกบำเพ็ญได้เป็นอย่างดี ไม่เหมือนตอนนี้ที่ถูกใช้เป็นคุณสมบัติที่ไว้ให้ความช่วยเหลือในการฝึกฝนสมปราณ เสียดายของ ข้าดูออก สาวน้อยคนนั้นดีกับเจ้าด้วยความใจจริง กระดิ่งที่อำพรางคุณสมบัติร่างกายบนตัวเจ้าน่าจะเป็นของคู่กัน นังหนูให้เจ้ามาหรือ” หนานกงหลิงอวี่พูดเตือนและให้กำลังใจ
“ขอรับ นางเป็นคนให้ข้ามา” นึกถึงตอนแรกที่หลิวหลีเอากระดิ่งให้เขาด้วยท่าทีที่เผด็จการ หน้าของหนานกงเวิ่นเทียนก็เผยรอยยิ้มอ่อนหวาน
“กระดิ่งนี้ยังไม่เพียงพอ ก่อนที่เจ้าไปข้าจะช่วยทำอันใหม่ให้เจ้า แม้แต่เซียนก็ไม่สามารถมองคุณสมบัติร่างกายของเจ้าออก จริงๆแล้วมีวิธีที่เร็วกว่านั้นคือเจ้ากับหลิวหลีบำเพ็ญคู่กัน ไม่เพียงแต่จะทำให้พลังบำเพ็ญเพิ่มขึ้น คุณสมบัติร่างกายของพวกเจ้าก็จะได้รับการอำพรางไปด้วยบางส่วน” หนานกงหลิงอวี่เริ่มพูดจาหยอกล้อลูกหลาน
“บรรพชนข้าจะพยายาม ทำตัวให้คู่ควรกับนาง ท่านได้โปรดถ่ายทอดวิชาความรู้อย่างเต็มที่ให้แก่ข้าด้วย” หนานกงเวิ่นเทียนร้องขอด้วยความหนักแน่น
“ได้ ข้าจะสอนเจ้า แต่ว่าจะสามารถเรียนรู้ได้เท่าไหร่นั้นก็ต้องอยู่ที่ตัวพวกเจ้าเองแล้ว”
ในเขตพื้นที่สีแดง หลิวหลีวิ่งด้วยความรวดเร็ว คู่พันธสัญญาของนางมังกรโลหิตเอ๋าเลี่ยกับกิเลนม่วงจื่อฉีได้ถูกบรรพชนของนางโยนไปให้กับบรรพบุรุษของพวกเขา ในช่วงนี้เอ๋าเลี่ยโต้แย้งอะไรไม่ได้เลย เรื่องนี้ทำให้หลิวหลีสัมผัสได้ถึงความน่ากลัวของเหล่าบรรพบุรุษทั้งหลายนี้ เทพแห่งสงครามเอ๋าเลี่ยผู้ที่ได้รับการนับถือในโลกแห่งการบำเพ็ญ แต่อยู่ที่นี่กลับเป็นเพียงเหมือนลูกไก่เท่านั้น นางจับหน้าผากที่ไม่มีเหงื่อผุดสักเม็ด จากนั้นก็วิ่งต่อ ฝีเท้าที่ถูกเอ๋าเลี่ยฝึกมา หลังจากผ่านการฝึกฝนจากบรรพบุรุษก็ยิ่งมีความสมบูรณ์มากขึ้น นางจึงตั้งชื่อให้มันว่า ฝีเท้าตามปรารถนา
หลังจากหลิวหลีได้ใช้ฝีเท้าวิ่งหนีการโจมตีของบรรพบุรุษอีกครั้ง นางโดนไล่จนโมโหเป็นฟืนเป็นไฟ ซึ่งนางมีข้อห้ามอยู่อย่างหนึ่งคือนางไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับหน้านาง ไม่เช่นนั้นตอนแรกที่จ้านเฟิงจวินพูดอะไรนางก็พอเมินเฉยไปได้ แต่พอตบนางครั้งนั้นทำให้นางโมโหมากจนถึงตอนนี้
เมื่อเห็นเพลิงบุปผาเหมันต์ที่อยู่บนมือขวาและเพลิงอัสนีครามที่อยู่บนมือซ้ายของหลิวหลี หลงนู่เทาถึงกับเลิกคิ้ว มีเพลิงอัคคีด้วย แถมยังมีตั้ง 2 ชนิด ดูหลิวหลีที่ใช้เพลิงอัคคีโจมตีอย่างเชี่ยวชาญรวมมันเข้ากับการโจมตี หลงนู่เทายิ่งรู้สึกชื่นชม แต่ว่ามันยังไม่พอ จนกระทั่งเพลิงอัคคีทั้ง 4 สีเผาชุดของเขาเป็นรูหลงนู่เทาก็ตกตะลึง มีเพลิงอัคคีถึง ภ ชนิดเชียวหรือ
“หลิวหลี เจ้าฝึกเคล็ดวิชาอะไรมาหรือ”
“คัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณเจ้าค่ะ” ในโลกแห่งการบำเพ็ญไม่มีใครไม่รู้จัก
“เจ้าบอกว่าเจ้า ‘ฝึกคัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณ’ หรือ” หลงนู่เทาคิดไม่ถึงเลยว่าเคล็ดวิชาที่สืบทอดกันมาตั้งแต่รุ่นของเขา จะมีคนเอามาใช้บำเพ็ญฝึกฝนจริงๆ อีกทั้งยังฝึกสำเร็จด้วย
“หลิวหลี หากเจ้าสามารถถอนผมเส้นหนึ่งบนหัวข้าได้ ข้าจะมอบเพลิงอัคคีชนิดหนึ่งให้กับเจ้า” หลงนู่เทาให้คำมั่นหมาย
“ไม่เอาหรอกเจ้าค่ะ” หลิวหลีปฏิเสธอย่างไม่ลังเลใจ
หลงนู่เทารู้สึกชะงักไปเล็กน้อย ไม่เอาหรือ ไม่ใช่ว่าจำเป็นต้องใช้เพลิงอัคคีจึงจะสามารถบรรลุช่วงพลังได้หรอกหรือ ทำไม่ถึงไม่เอา ไม่มั่นใจล่ะสิ
“ไม่ใช่ว่าข้าไม่มีความมั่นใจ แต่เพลิงอัคคีที่ข้าต้องการมันค่อนข้างมีพิเศษอยู่เล็กน้อย ท่านก็เห็นแล้วว่า เพลิงอัคคีทั้ง 4 ชนิดของข้าคือ ธาตุเหมันต์ ธาตุอัสนี ธาตุทองและธาตุไม้ ข้าจำเป็นต้องใช้เพลิงอัคคีที่มีธาตุแตกต่างกัน 9 ชนิด” หลิวหลีกล่าวอธิบาย
“ถ้าเป็นเช่นนั้น ข้ามีเพลิงหทัยสมุทร ถือว่าเป็นเพลิงอัคคี ธาตุน้ำ เป็นอย่างไร ตกลงไหม” หลงนู่เทายิ่งรู้สึกชื่นชมมากยิ่งขึ้น หากว่านางสามารถเก็บเพลิงอัคคีได้ครบทั้ง 9 ชนิด ก็จะกลายเป็นร่างวิญญาณเพลิงดวงจิตผสม พลังในการต่อสู้ก็ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย
“ได้” หลิวหลีคิด ๆดูแล้วก็ตอบตกลง
“ถ้าอย่างนั้น พวกเราก็มาต่อกันเถอะ” แค่หลงนู่เทาแปัดมือ รอยดำบนเสื้อผ้าก็หายไป จากนั้นก็ยิ้มโชว์ฟันที่ขาวสะอาดให้ดู หลิวหลีดูแล้วก็อยากจะรีบหนีไปเสีย บรรพบุรุษช่างยิ้มได้น่ากลัวเหลือเกิน
หลงนู่เทากลับรู้สึกชื่นชมในตัวหลิวหลีมากขึ้น ถึงขนาดฝึกฝนเคล็ดวิชาที่ไม่มีใครฝึกสำเร็จอย่าง‘คัมภีร์เพลิงอัคคีทะลวงเส้นลมปราณ’ อีกทั้งยังพิชิตเพลิงอัคคีที่ต่างธาตุกันได้ถึง 4 ชนิด เมื่อหลอมรวมกับเพลิงอัคคี พลังในการต่อสู้ก็ทำให้คนถึงกับตกตะลึง ผู้บำเพ็ญช่วงแยกจิตธรรมดาไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง อีกทั้งยังมีท่าเด็ดมากมายไว้ใช้กับคู่ต่อสู้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งมียาอันตรายและยาพิษ และยังเป็นนักปรุงยาด้วย ยาที่ใช้ต่างเป็นยาคุณภาพชั้นเลิศ ช่างน่าพอใจ ลูกหลานของสกุลหลงครั้งนี้ช่างเป็นหน้าเป็นตาจริงๆ
พวกหลงนู่เทาต่างก็เป็นเซียน นี่เป็นเพียงวิญญาณเซียนเสี้ยวหนึ่งของพวกเขาเท่านั้น พวกเขาทิ้งเสี้ยววิญญาณเซียนนี้ไว้ก็เพื่อคนรุ่นหลัง แต่ผลสุดท้ายคนรุ่นหลังแต่ละรุ่นก็ทำให้พวกเขาต่างต้องผิดหวัง จนกระทั่ง… หลงนู่เทามองหลิวหลีที่กำลังวิ่งหนี แล้วปล่อยเพลิงอัคคีออกมาป้องกันบ้างเป็นระยะ ๆ ไม่แน่ว่าคนที่พวกเขารอคอยหรือคนที่พวกเขาคาดหวังอาจจะเป็นนังหนูคนนี้ก็ได้
……………………………………………