แม่ครัวยอดเซียน - ตอนที่ 99 ไปฝ่าด่านกันเถอะ หลิวหลี (สอง)
เมื่อหลิวหลีเข้าไปในเจดีย์ นางรู้สึกปวดหัวเล็กน้อย แต่ยังอยู่ในขอบเขตพอจะรับได้ นางเดินขึ้นไปบนชั้นสองอย่างง่ายดาย ณ ชั้นสอง ยังมีการกดประสาทเซียนอยู่ หลิวหลียังพอปรับตัวได้จึงเดินหน้าต่อ จนถึงชั้นที่ห้า นางจำเป็นต้องหยุดเพื่อเข้าฌาณพักหนึ่ง จนแน่ใจว่ารับไหว จึงเดินหน้าต่อ ด่านกิเลนเป็นการทดสอบความแข็งแรงของประสาทเซียน จนนางขึ้นไปถึงชั้นที่หก ก็รู้สึกถึงแรงกดดันที่มีมากจนทำให้พูดไม่ได้ ปวดหัวราวจะแตกออกเป็นเสี่ยงๆ นางจำเป็นต้องเข้าไปในมิติเพื่อกินยาให้รู้สึกดีขึ้น ฝึกบำเพ็ญอยู่ในมิติอีกครู่หนึ่งก่อนจะออกไป ผลคือแรงกดดันที่ถ่าโถมเข้ามาทำให้หลิวหลีเกือบจะหายใจไม่ออก หลิวหลีเพิ่งเข้าใจว่าการตัดสินใจของตนเมื่อครู่โง่เง่าที่สุด เมื่อแรงกดดันสะสมไปถึงจุดจุดหนึ่งก็จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น แต่นางกลับโง่เข้าไปในมิติ เมื่อเข้าไปในมิติก็ต้องทำความคุ้นเคยแรงกดดันนี้ใหม่ อีกทั้งแรงกดดันที่มากขึ้นทำให้หลิวหลีไม่ได้ปวดหัวธรรมดาเท่านั้น หลิวหลีอดทนกับความเจ็บปวดแล้วด่าตัวเองว่า “โง่” นางเริ่มอดกลั้นกับความเจ็บปวดแล้วฝึกบำเพ็ญ
ไม่รู้ว่าเป็นอย่างนี้ไปอีกนานเท่าไหร่ จนตอนนี้หลิวหลียืนอยู่บนชั้นแปด ในระหว่างนั้นนางได้ลองขึ้นไปชั้นเก้าแต่น่าเสียดายที่ล้มเหลวในทุกครั้ง ตอนนี้หลิวหลีรู้สึกว่าประสาทเซียนของตัวเองว่างเปล่าไปหมด จะเหยียบขึ้นชั้นเก้า แค่ก้าวขาหลิวหลีก็สัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่มากมายมหาศาล หลิวหลีกัดฟันเดินต่อไป เมื่อมาถึงบันไดขั้นสุดท้าย ทั้งตัวของนางชุ่มเหงื่ออาบเลือด ดูแล้วดูน่าตกใจเป็นอย่างมาก หลิวหลีจะยกขาขึ้นแต่กลับยกขึ้นไม่ได้ สั่นเทิ้มทั้งตัว นางมีความตั้งใจที่แน่วแน่แล้วยกขาขึ้น ร่างกายโยกซ้ายทีขวาที หลิวหลีกัดริมฝึปากจนแตก ฟันเปื้อนคราบเลือด เหยียบขึ้นไปบนบันไดขั้นสุดท้าย เดิมคิดว่าจะถูกแรงกดดันของชั้นเก้าดีดตกลงไป แต่กลับได้สัมผัสกลิ่นอายความเย็นสบายทำให้ดวงจิตที่ชาไปกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง
พลังเย็นสดชื่นทำให้หลิวหลีรู้สึกว่าประสาทเซียนของตัวเองขยายอย่างต่อเนื่อง หลิวหลีรู้สึกได้ว่าประสาทเซียนตนขยายออกไม่ต่ำกว่าหนึ่งเท่า ร่างกายที่ทรุดโทรมก็ได้รับการซ่อมแซม หลิวหลีรู้สึกว่าพลังบำเพ็ญเพียรของตัวเองคงที่อยู่ที่ช่วงแยกจิตระยะต้นจั้นสุดยอด แล้วก็สัมผัสได้ว่าพลังบำเพ็ญเพียรยิ่งสูง ยิ่งบรรลุช่วงพลังได้ยาก การที่นางได้เข้ามาที่นี่ถือว่าเป็นโชคอย่างมาก
จนกระทั่งหลิวหลีรู้สึกฟื้นฟูไปได้ประมาณหนึ่งแล้ว หลิวหลีก็พบว่าบนยอดเจดีย์เก้าชั้นปรากฏตัวอักษรสีทองสว่างไสวอยู่สองคำ ‘ผ่านด่าน’ จากนั้นเจดีย์ก็ค่อยๆหายไป หลิวหลีล้มลงไปกับพื้น นางอดบ่นไม่ได้ว่ากิเลนอะไรกันไม่ได้น่ารักเลยสักนิด ไม่สิ นอกจากจื่อฉีแล้ว
“ผ่านแล้ว หลิวหลีผ่านด่านที่สามแล้ว” จ้านเหลยถิงที่อยู่ในตำหนักพูดในทันที
“ผ่านแล้วหรือ คิดไม่ถึงเลยจริงๆว่าจะผ่านด่านที่สาม” หลิวเซิ่งเตี่ยนพูดขึ้น เด็กคนนี้ไม่ธรรมดาจริงๆ สมกับที่ได้เป็นสุดยอดผู้ถูกเลือก
“ถ้าหากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ การจัดอันดับผู้ถูกเลือกรอบต่อไปเหมือนกับใกล้จะเริ่มต้นขึ้นแล้ว เด็กคนนี้ต้องมีรายชื่ออยู่บนการจัดอันดับแน่ อีกทั้งยังต้องได้อยู่ในอันดับต้นๆด้วย” ฮัวปู้เซิงลองคำนวนเวลาดูแล้วพูดขึ้น
“สมแล้วที่จะมาเป็นลูกสะใภ้ของสกุลหนานกงในอนาคต” หนานกงหลิงอวี่กล่าว
“พอได้แล้ว เอาแค่เป็นพิธีก็พอหลิงอวี่ เจ้าลองดูตัวเองว่าได้ใจไปถึงขนาดไหนแล้ว ตอนนี้หลิวหลียังเป็นคนสกุลหลง ยังไม่ใช่สะใภ้สกุลหนานกงสักหน่อย” จ้านเหลยถิงเหน็บอย่างอดไม่ได้ เขารู้รื่องระหว่างหลิวหลีกับสกุลจ้านจากหลานสาว พูดได้แค่ว่าเด็กคนนี้กับสกุลจ้านไม่มีชะตาต่อกัน
“ถ้าไม่แต่งเข้าบ้านสกุลหนานกงแล้วนางยังสามารถแต่งเข้าสกุลไหนได้อีก ในบ้านพวกเจ้าใครมีเด็กผู้ชายที่มีคุณสมบัติร่างกายเข้ากันกับนางบ้าง มีแต่สกุลหนานกงของข้าเท่านั้นที่มี เจ้าลองดูหลานของข้าหนานกงเวิ่นเทียน ข้าดูแลเขาดีขนาดไหน” หนานกงหลิงอวี่อดไม่ได้ที่จะสวนกลับไป
“ใช่ เจ้าดูแลเขาเสียจนไม่ต้องไปสู่ขอใครแล้ว รอแต่งออกอย่างเดียว” จ้านเหลยถิงจะไม่รู้ได้อย่างไรว่าเด็กสกุลหนานกง ที่ชื่อเวิ่นเทียน ถูกนางดูแลเสียจนขาวเนียนนุ่มไปหมด แม้แต่เด็กสาวจากสกุลหลินก็ยังสู้ไม่ได้ หนานกงหลิงอวี่นิ่งไปเล็กน้อย ดูเหมือนจะดูแลให้เนียนนุ่มมากเกินไปรึเปล่านะ
“หลิวอวี่ เจ้าก็รอให้ลูกหลานสกุลหลงไปสู่ขอหนุ่มน้อยสกุลหนานกงก็แล้วกันนะ ฮ่าฮ่า” คิดถึงสภาพของหนานกงเวิ่นเทียนแล้ว หลงนู่เทารู้สึกว่าแต่งเข้าบ้านสกุลหลงก็ไม่เลวเหมือนกัน
ทางฟากหลิวหลี เมื่อฟื้นฟูร่างกายกลับมาเป็นปกตินึกถึงความน่ากลัวที่จะตามมาภายหลัง หลิวหลีตัดสินใจทำของอร่อยๆ เพื่อสงบสติอารมณ์ อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ยังมีอารมณ์ทำของอร่อยกินอีก เห็นจะมีแต่หลิวหลีจากสกุลหลงนี่แหละ
หลิวหลีไม่ได้ทำอะไรที่ยุ่งยากมากนัก เพียงแต่นำมันฝรั่งออกมา ต้มสุกแล้วทำให้เละ ปรุงรสชาติจากนั้นใส่ไข่สัตว์เข้าไป เตรียมเตาปรุงยาให้ร้อน นำมันฝรั่งไปอบไฟไว้สัก 10 นาที ก็ได้ขนมมันฝรั่งแสนหอมออกมา หลิวหลีกินมันด้วยความเอร็ดอร่อย จากนั้นหายใจเข้าลึก แล้วเดินหน้าต่อ
“ข้าคือนกยูงแดงในตำนาน ผ่านการทดสอบของข้า จึงจะสามารถเข้าสู่ด่านต่อไป” เสียงอัตโนมัติดังขึ้นอีกครั้ง หลิวหลีแอบให้กำลังใจตัวเองในใจ ถ้าผ่านด่านนี้ได้แล้ว ก็เหลือแค่ด่านหน้า ไม่รู้ว่าด่านนี้จะทดสอบอะไร การป้องกันก็ทดสอบแล้ว การต่อสู้ก็ทดสอบแล้ว ความแข็งแกร่งของประสาทเซียนก็ทดสอบแล้ว ครั้งนี้จะทดสอบอะไรอีก จำเป็นต้องพูดว่าหลิวหลีเต็มไปด้วยความคาดหวัง ถึงแม้ว่าในแต่ละด่านจะสาหัสเกือบตาย แต่กลับได้ผลดีอย่างน้อยความสามารถของนางในตอนนี้ก็เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
“ไม่โดนลูกไฟโจมตีโดนจะถือว่าผ่านด่าน” หลิวหลีอ่านออกมา ลูกไฟมาจากไหนกัน ‘ปึง’ เกิดเสียงดังขึ้น หลิวหลีหลบหนีด้วยท่าทีที่แปลกประหลาด เอาล่ะ รู้แล้วว่ามาจากไหน
หลิวหลีพบว่าตัวเองยืดหยุ่นอย่างมาก อย่างน้อยๆหลังส่วนล่าง คอ สามารถโน้มไปถึงด้านหลังได้แล้ว ท่าทางแปลกๆทั้งหลายนางก็ทำได้ แต่ ตู้ม! ลูกไฟหยุดแล้ว หลิวหลีจับไหล่ที่โดนตีจนเจ็บไปหมด ต้องหลบลูกไฟกี่อันจึงจะผ่านด่าน เขียนแค่ว่าไม่โดนใส่ลูกไฟ แต่จำนวนล่ะ หลิวหลีสังเกตว่าเดินหน้าไปสิบก้าวจะเป็นเขตของลูกไฟ หากก้าวถอยหลังออกมาจะไม่โดนโจมตี หลิวหลีผ่านลูกไฟสีแดงกับส้มได้แล้ว หากถ้าเรียงตามลำดับสีน่าจะเหลืออีกห้าสี นางหายใจเข้าลึก แล้วเดินหน้าต่อไป
ภายนอกตำหนัก วิบากอัสนีบาตที่ส่งเสียงดังกึกก้องบอกให้คนอื่นรู้ว่ามีคนบรรลุช่วงพลังอีกแล้ว
“ฮ่าฮ่า ในที่สุดเด็กนี่ก็เข้าสู่ช่วงแยกจิตแล้ว” หนานกงหลิวอวี่มองดูวิบากอัสนีพลางพูดขึ้นด้วยความภาคภูมิใจ
“ยินดีด้วย หลิงอวี่ หลานของเจ้าเข้าสู่ช่วงแยกจิตแล้ว” หลงนู่เทากล่าว
“เช่นกันเช่นกัน”
สามคนที่เหลือมองดูท้องฟ้าแล้วก็นิ่งไป หลานของพวกเขายังไม่มีวี่แววนี้ แม้แต่วี่แววที่จะเข้าสู่ช่วงระยะปลายก็ยังไม่มี
หนานกงเวิ่นเทียนเย็นชา จนหากว่าข้างๆมีคนอยู่ จะต้องถูกแช่แข็งแน่นอน จนหนานกงเวิ่นเทียนเก็บกลิ่นอายบนร่าง จุดกลมสีทองบนหน้าผากก็ดูเปล่งประกายมากยิ่งขึ้นไปอีก
“ยังเป็นสีทองอยู่” หนานกงเวิ่นเทียนรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ไปหาหลิวหลี
“น่าเสียดาย มันมีกฏว่าจะมีระดับการประเมินสีรุ้งได้เพียงคนเดียวเท่านั้น ซึ่งหลิวหลีจากสกุลหลงได้มันไปแล้ว” หนานกงหลิงอวี่เห็นการกระทำของหลานตัวเอง ก็รู้สึกเสียดายเล็กน้อย
ในสุสานบรรพบุรุษ หลิวหลีหลบได้จนถึงลูกไฟสีม่วง ความแข็งแกร่งมีมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า นี่เป็นการทดสอบหรือ นี่เป็นการจะให้ลูกหลานกลับไปเกิดใหม่เสียมากกว่าล่ะมั้ง หลิวหลีหลบลูกไฟสีม่วง พลางลองคำนวนดู น่าจะยังมีอีกสามอัน หลังจากนับถอยหลังสามแล้ว ปัง! เกิดเสียงดังขึ้น หลิวหลีนั่งลงไปกับพื้น บิดมือไปมา
“นี่มันไม่ถูกต้องเลย ทั้งๆที่เรียงอันดับจากสีคือแดง ส้ม เหลือง เขียว น้ำเงิน ฟ้า ม่วง ทำไมสุดท้ายถึงกลายมาเป็นสีขาวล่ะ” หลิวหลีบ่นไปพลางแล้วก็พิจารณาตัวเองไปพลาง ไม่ควรยึดตามหลักทั่วไปมากเกินไป ไม่ควรเชื่อในตัวเองมากเกินไป ถึงแม้ว่าจะเป็นของที่คุ้นเคยแต่ก็ควรใช้กรอบความคิดใหม่ไปรับมือกับมัน ไม่เช่นนั้นตัวเองก็จะเสียเปรียบ ซึ่งการย้อนกลับมาพิจารณาตัวเองในครั้งนี้ของหลิวหลี จะช่วยหลิวหลีได้มากในอนาคต
ครั้งนี้หลิวหลีซื่อตรงขึ้นมาก ลูกไฟสีขาวมาแล้ว จากนั้นก็เป็นลูกไฟสีดำก็ปรากฏขึ้น หลังจากลูกไฟสีดำก็เป็นลูกไฟสีทอง ลูกไฟสีทองแล้วก็เป็นลูกไฟสีรุ้ง หลิวหลีจับผมตัวเอง มากเกินไปแล้ว ถึงขนาดมาทำลายทรงผมของนาง พวกบรรพบุรุษไม่มีคนดีสักคน คนทั้ง 5 ที่อยู่ในตำหนักจามขึ้นมาอย่างพร้อมเพรียงกัน ใครกันที่กำลังนินทาพวกเขา
ตัวหนังสือคำว่า ‘ผ่านด่าน’ ใหญ่ลอยหรา หลิวหลีนอนลงราบลงกับพื้น ไม่อยากขยับตัว ตอนนี้นางสามารถพูดได้อย่างไม่เกรงใจเลยว่า ความสามารถในการรับรู้อันตรายของนางเพิ่มขึ้นมาก ขนาดตั้งรับได้แม้ได้ยินเพียงแค่เสียงลมพัดใบไม้ขยับเท่านั้น โจมตีได้ป้องกันได้ ดูจากทรงแล้ว นางน่าจะควรขอบคุณบรรพบุรุษ
“ด่านที่สี่ผ่านแล้ว” หนานกงหลิงอวี่พูดขึ้น พวกเขาทุกคนสามารถสัมผัสได้แค่ด่านของคู่พันสัญญาของตัวเองเท่านั้น ถึงขนาดด่านที่สี่ก็ผ่านแล้ว หรือว่านังหนูสกุลหลงผู้นี้จะสามารถไปถึงด่านสุดท้ายได้
“ไม่แน่ว่านังหนูจากสกุลหลงคนนี้อาจสร้างปรากฏการณ์ให้กับพวกเราก็ได้” ฮัวปู้เซิงพูดขึ้น
หลิวหลีผู้ที่หยุดพัก ณ ด่านที่สี่อยู่นานจนมีแรงในที่สุด นางก็คลานขึ้นมานั่งสมาธิฟื้นฟูร่างกาย จนกระทั่งฟื้นฟูถึงจุดสูงสุด นางก็ลองสำรวจดู แต่ก็ยังคงต้องผิดหวังอีกเช่นเคย ไม่มีหญ้าคืนวิญญาณเหมือนเดิม
หลิวหลีตบหน้าตัวเองเบาๆ “สู้ๆหลิวหลี ยังเหลืออีกหนึ่งด่าน” ไม่แน่ว่าอาจจะมีหญ้าคืนวิญญาณ
ด่านที่ห้า ตามลำดับแล้วน่าจะถึงของเผ่ามังกรแล้ว
“ข้าคือเทพเจ้ามังกรบรรพกาล ผ่านการทดสอบของข้า ก็จะสามารถเข้าสู่ด่านสุดท้ายได้”
คำว่า ‘สามารถเข้าสู่ด้านสุดท้ายได้’ วนอยู่ในหัวหลิวหลีซ้ำไปมา ไม่สามารถอ้างอิงจากเรื่องปกติได้จริงๆด้วย ดันมี 6 ด่าน
เมื่อสิ้นเสียงอัตโนมัติหลิวหลีก็รู้สึกว่าตัวเองมาอยู่ในที่โลกมนุษย์ ที่นี่คือบ้านของพ่อตัวปลอมของนางที่เป็นพ่อค้าขายผ้าในโลกมนุษย์
นั่นคือบิดาตัวปลอมที่เป็นพ่อค้าขายผ้า นั่นคือท่านแม่ คนที่ถูกจูงอยู่ตรงกลางคือตัวนางเอง
“หลิวหลี เจ้าดูดอกไม้ที่ท่านพ่อซื้อให้ ชอบไหม” บิดาตัวปลอมผู้เป็นพ่อค้าขายผ้าเอ่ย
“ชอบเจ้าค่ะ ขอบคุณเจ้าค่ะท่านพ่อ” นี่เป็นคำพูดที่หลิวหลีเอ่ย
“พี่หลิน ท่านตามใจเด็กคนนี้มากไปแล้วนะเจ้าคะ” มารดานางอยู่ข้างๆตำหนิ
“นี่เป็นลูกสาวของข้า ข้าจะไม่ตามใจได้อย่างไร”
หลิวหลีมองดูครอบครัวที่อบอุ่น แต่น่าเสียดายที่เป็นของปลอม ภาพนั้นแตกสลายไป หลิวหลีกลับเข้ามาในโลกปัจจุบัน บ้านของนาง
นางกอดหมอน ข้างๆเป็นกองขนม ตัวเองเปิดคอมอ่านนิยาย บ่นด่าขึ้นมาบ้างเป็นบางครั้ง หาของกินที่ตัวเองชื่นชอบ
หลิวหลียิ้มเล็กน้อย นี่ก็คือความฝันเช่นกัน นางจำได้อย่างชัดเจนว่าตัวนางเองอยู่ที่ไหน ภาพได้เปลี่ยนไปอีกครั้ง หลิวหลีถูกหนานกงเวิ่นเทียนผลักลงไปที่พื้น
“คนหลอกลวง เจ้าไม่ใช่หลิวหลีชัดๆ” หนานกงเวิ่นเทียนผู้ที่มีความรู้สึกดี ๆ ให้นางตลอดเวลา ปากกลับพูดจาว่าร้าย ปลอบโยนผู้หญิงที่อยู่ข้าง ๆ
ไม่ใช่ นางต่างหากที่เป็นหลงหลิวหลี
“เพี๊ยะ” หลิวหลีโดนตบหน้าไปหนึ่งที นี่ใครกัน ถึงกล้ามายุ่งกับหน้าของนาง
“คนเนรคุณ บอกมา เจ้าเป็นปีศาจจากที่ไหน ถึงกล้ามาปลอมเป็นลูกศิษย์ของข้า” อาจารย์ของนาง ‘เสวียนหั่ว’
หลิวหลีมองดูคนรอบข้างด้วยความหวาดกลัว ทำไมกัน คนที่นางคุ้นเคยกลับมองดูนางด้วยสายตาดูถูกและโกรธแค้น ทำไมคนที่แต่ก่อนนางไม่เคยมองว่าเป็นศัตรูกลับมองนางด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม
“เจ้าไม่ใช่หลงหลิวหลี ไม่สมควรที่จะมีแกนวิญญาณและพลังบำเพ็ญเพียร วันนี้ข้าจะเป็นตัวแทนฟ้ามาจัดการกับเจ้า”
ไม่ ไม่เอา หลิวหลีส่ายหัวด้วยความกลัว
“อ๊าก!” หลิวหลีคร่ำครวญ นางค้นพบด้วยความตกใจว่านางไม่มีพลังบำเพ็ญเพียรแล้ว เพลิงอัคคีของนางก็ถูกเอาไปด้วยเช่นกัน
นางรู้สึกเจ็บปวดทั้งตัว แล้วมีคนเอากระจกมาวางลงตรงหน้าหลิวหลี
“ลองดูตัวเจ้าเองในตอนนี้สิ นี่ถึงจะเป็นสภาพที่แท้จริงของเจ้า” หลิวหลีมองดูตัวเองในกระจก ผมสีขาวโพลน หน้ามีร่องรอยของความเหี่ยวย่น นี่ไม่ใช่นาง
“เพื่อขอบคุณเจ้า ข้าจะมอบของขวัญให้เจ้าชิ้นหนึ่ง อย่างไรเสียก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่อยากจะมอบให้แก่เจ้า” หลิวหลีเจ็บปวดถึงขนาดไม่สามารถส่งเสียงร้องออกมาได้ เส้นเอ็นบริเวณแขนกับขาถูกคนตัดออก ลิ้นของนางก็โดนคนตัดไป หน้าที่ถึงแม้ดูออกมาเป็นอย่างนั้นก็ถูกกรีดจนเป็นรอยไปหมด
สุดท้ายหลิวหลีกลายมาเป็นขอทาน ทุกคนต่างก็ทุบตีนาง ราวกับหลิวหลีเป็นตุ๊กตา ทุกคนหัวเราะเยาะนาง ตีนาง รังเกียจนาง แต่ว่ามันมีอะไรผิดไปนะ
ผ่านไปอย่างช้า ๆ เมื่อเห็นว่าหลิวหลีกลายเป็นตุ๊กตาของเล่นไปแล้ว คนกลุ่มนั้นก็ไม่ได้รู้สึกสนใจอีกต่อไป จนกระทั่งวันหนึ่ง เสียงของกระดิ่งดังขึ้นที่ข้างหูของหลิวหลี
“เสียงกระดิ่ง” หลิวหลีพยายามหรี่ตามอง ไม่ได้ดูของที่หนานกงเวิ่นเทียนวางไว้ข้างตัวนาง นางจ้องไปที่กระดิ่งบนตัวของเขา
ใช่แล้ว นางอยู่ในสุสานบรรพบุรุษเพื่อเข้ารับการทดสอบ อีกทั้ง นางคือหลงหลิวหลี ถึงแม้จะวิญญาณจะผิดดวง แต่นางก็ครอบครองร่างกายนี้ทั้งหมดมาตั้งแต่ต้น มีเพียงนางเท่านั้นที่เป็นหลงหลิวหลี ไม่มีคนอื่น เรื่องแบบนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้น นางคือหลงหลิวหลี หลงหลิวหลีมีเพียงแต่นางเท่านั้น คิดมาถึงตรงนี้ หลิวหลีลืมตาขึ้น นางยังคงอยู่ที่สุสานบรรพบุรุษ เข้ารับการทดสอบ หลิวหลีไม่เห็นคำว่า ผ่านด่าน พลังเซียนเคลื่อนไหวเข้าหาหลิวหลีอย่างบ้าคลั่ง
ในอีกด้านหนึ่ง หนานกงเวิ่นเทียนดึงกระดิ่งที่หลิวหลีให้ออกมา สั่นกระดิ่งจนส่งเสียงดังกังวาน
พลังเซียนที่อยู่รอบๆเคลื่อนไหวอย่างบ้าคลั่ง หลิวหลีพยายามที่จะหลอมรวม ผนังป้องกันนั้นก็เกิดเสียงแตกขึ้น หลิวหลีเข้าสู่ช่วงแยกจิตระยะกลาง
“ขอบคุณท่านผู้อาวุโส” หลิวหลีไม่สนว่าจะได้ยินหรือไม่ หลิวหลีก็กล่าวคำขอบคุณออกไป
ด่านทั้งห้านี้ดูแล้วมีหลายอย่างไม่สมเหตุสมผล แต่กลับสอนให้นางได้เรียนรู้อะไรหลายอย่าง
…..………………………….…..……