แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 219 คะแนนสอบประจำเดือน
ตอนที่ 219 คะแนนสอบประจำเดือน
การสอบประจำเดือน ใช้เวลาสอบครึ่งวัน มีทั้งหมดหกวิชา
หลังสอบเสร็จในตอนกลางวัน กินข้าวกลางวันแล้วหลินม่ายก็นั่งรถไปโรงพยาบาลประชาชน
เธอตรงไปที่ห้องจัดการคดี และผู้รับผิดชอบคดีก็คือป้าวัยกลางคนที่ตัดผมสั้นในชาติที่แล้วผู้มีหน้าตาไม่รับแขก
พวกเธอเคยได้พูดคุยกันในชาติที่แล้ว ชาตินี้หลินม่ายจึงคุ้นเคย
เธอหยิบเงินสิบหยวนออกมา แล้วยื่นให้ผู้หญิงคนนั้น
ผู้หญิงคนนั้นเงยหน้าขึ้นมองเธออย่างเหลือเชื่อ
หลินม่ายยิ้มและพูดว่า “ฉันต้องการตรวจสอบประวัติการรักษาค่ะ”
ผู้หญิงคนนั้นรับเงินสิบหยวนไปใส่ในกระเป๋า และถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “กรุณาแจ้งวันที่ ชื่อผู้ป่วย แผนกโรงพยาบาลด้วยค่ะ”
หลินม่ายตอบ “ประมาณวันที่15 ตุลาคม 1964 ซุนกุ้ยเซียง แผนกนรีเวชวิทยา”
ผู้หญิงคนนั้นลุกขึ้นเดินไปที่แถวชั้นวางแฟ้มคดี ไม่นานนักก็เดินมาพร้อมกับถุงเอกสารกระดาษสีน้ำตาล
หล่อนยื่นถุงใส่เอกสารให้หลินม่าย แล้วชี้ไปที่โต๊ะและเก้าอี้ข้างๆ “ไปดูตรงนู้น”
หลินม่ายกล่าวขอบคุณ หยิบแฟ้มเวชระเบียนและนั่งลงตามที่หล่อนบอก หยิบเวชระเบียนออกมาแล้วอ่านอย่างละเอียด
เนื้อหาในเวชระเบียนเหมือนกับที่เธอเคยเห็นในชีวิตที่แล้วทุกประการ
ซุนกุ้ยเซียงเข้ารับการรักษาพยาบาลเมื่อวันที่ 14 ตุลาคม เนื่องจากอาการปวดท้องคลอด หล่อนให้กำเนิดทารกเพศหญิงในช่วงเช้าของวันรุ่งขึ้น
แม่และลูกสาวปลอดภัย ส่วนซุนกุ้ยเซียงออกจากโรงพยาบาลในอีกไม่กี่วันต่อมา
หลินม่ายอ่านทีละคำๆ หลายๆ ครั้ง เหมือนกับชาติที่แล้ว เธอไม่พบข้อบกพร่องอะไร
เธอปิดเวชระเบียนและคิดในใจว่าเธออาจเป็นลูกสาวแท้ๆของซุนกุ้ยเซียงและสามี
เหตุผลที่พวกเขาร้ายกับเธออาจเพราะเธอก้าวร้าว นำความโชคร้ายมาสู่ครอบครัว
ท้ายที่สุด ไม่ใช่ว่าในโลกนี้ไม่มีพ่อแม่ที่ไม่ชอบลูกตัวเองด้วยเหตุผลที่ลูกก้าวร้าว
ไม่ว่าซุนกุ้ยเซียงจะเป็นผู้ให้กำเนิดเธอหรือไม่ พวกเขาปฏิบัติตัวไม่ดี เธอก็ไม่จำเป็นต้องปฏิบัติตัวดีกับพวกเขา
เนื่องจากพ่อแม่เป็นคนใจร้าย ลูกจึงไม่เคารพ ไม่มีอะไรซับซ้อน
เมื่อคิดได้ดังนั้น หลินม่ายก็ผ่อนคลาย
ผลการสอบประจำเดือนจะออกในอีกสองวัน
เดิมทีหลินม่ายวางแผนที่จะไปโรงเรียนและถามอาจารย์เว่ยในคะแนนวิชาต่างๆก่อนกลับบ้าน
แต่มันพอดิบพอดีกับคาบเรียนด้วยตนเองในช่วงเช้า
อาจารย์เว่ยบอก “ตอนคาบเรียนด้วยตนเองในตอนเช้า ฉันจะรายงานคะแนนแต่ละวิชา เธอไปฟังด้วยกันได้”
หลินม่ายตามอาจารย์ไปที่ห้องเรียน และนั่งลงในที่ของตนเองอย่างเงียบๆ
นักเรียนทุกคนรู้ว่าต้องรายงานผลการสอบ บางคนปิดหน้าอย่างประหม่าและคร่ำครวญด้วยเสียงต่ำ “จบแล้ว ฉันโดนตำหนิแน่!”
“ฉันก็กลัวเหมือนกัน” เพื่อนร่วมชั้นอีกคนก็มีท่าทางหวาดกลัว
เรื่องนี้ไม่สามารถตำหนิพวกเขาได้ เหตุผลหลักคือการสอบประจำเดือนนี้ยากอย่างน่าประหลาดใจ และหลายคนก็ทำข้อสอบได้ไม่ดี
อาจารย์เว่ยเหลือบมองนักเรียนของเขาและพูดเย้ยหยันว่า “พวกเธอรู้ตัวเองก็ดี!”
เมื่อนักเรียนได้ยินแบบนี้ พวกเขาก็ไม่กล้าแสดงความโกรธ ลดศีรษะลงและพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อลดความรู้สึกที่มี
อาจารย์เว่ยคนนี้สอนภาษาอังกฤษ
เขาตบกระดาษทดสอบประจำเดือน “แม้คราวนี้ข้อสอบภาษาอังกฤษจะยาก แต่ก็ไม่ยากเกินไปเพราะยังมีคนได้คะแนนเต็มในการสอบ”
เมื่อนักเรียนได้ยินเช่นนี้ พวกเขาทั้งหมดกระซิบ “ยากขนาดนี้ยังมีคนได้คะแนนเต็มอีกหรอ ยังเป็นคนอยู่หรือเปล่า!”
หลินม่ายกระตุกมุมปาก คิดในใจ ถ้าฉันไม่ใช่คน พวกเธอทุกคนก็ไม่ใช่คน!
เพราะสงสัยว่าเธอคือคนที่ได้คะแนนเต็ม
อาจารย์เว่ยรายงานคะแนนจากสูงไปต่ำ
“ว่านฮุ่ย 82”
ทันใดนั้นมีการไว้ทุกข์ในห้องเรียน
เพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งกล่าวว่า “หัวหน้าห้องใช้ภาษาอังกฤษได้ดีที่สุดในห้อง ถ้าหล่อนสอบได้คะแนนเท่านี้ ฉันก็คงสอบตกแน่นอน!”
“ฉันด้วย!” เพื่อนอีกคนขมวดคิ้ว
หลินม่ายเห็นหญิงสาวหน้าตาธรรมดาคนหนึ่งยืนขึ้นอย่างไร้ความรู้สึก และเดินไปที่แท่นเวทีเพื่อหยิบกระดาษคำตอบของตนเอง
หัวหน้าห้องทำได้ 82 คะแนน และคะแนนสอบที่รายงานหลังจากนี้ก็จะต่ำลงเรื่อยๆ สีหน้าของอาจารย์เว่ยก็แย่ลงเรื่อยๆเช่นกัน
หลังประกาศคะแนนเสร็จแล้ว มีนักเรียนเพียงครึ่งหนึ่งเท่านั้นที่สอบผ่านการทดสอบภาษาอังกฤษ
ทุกคนกระซิบกัน “ไม่ใช่บอกว่ามีนักเรียนสอบได้คะแนนเต็มหรือ ใครคือม้ามืดคนนั้น?”
“อาจจะไม่ใช่ห้องเรา หัวหน้าห้องของพวกเราเก่งภาษาอังกฤษที่สุด”
อาจารย์เว่ยตบที่แท่นเวที “ใครบอกว่าไม่มีคะแนนเต็มในห้องของเรา ยังมีนักเรียนคนไหนที่ยังไม่ได้รับรายงานคะแนนหรอ?”
จากนั้นนักเรียนก็จำได้ว่ามีหลินม่ายอีกคน
ทุกคนมองมาที่เธออย่างพร้อมเพรียง แววตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความไม่อยากเชื่อ
อาจารย์เว่ยเรียกชื่อหลินม่ายอย่างอบอุ่น “หลินม่าย 100 คะแนน”
หลินม่ายไม่แปลกใจ เธอไปที่แท่นเวทีเพื่อรับกระดาษคำตอบ เมื่อกลับมานั่งประจำที่ เธอก็บังเอิญเห็นว่านฮุ่ยมองเธออย่างมุ่งร้าย
เธอเม้มปากอย่างเหยียดหยาม
คนเก่งก็ไม่สู้คนขยัน เกลียดชังคนที่แกร่งกว่าตน โง่หรือเปล่า?
อาจารย์เว่ยมองไปรอบๆนักเรียนทุกคนอีกครั้ง “หลินม่ายไม่เพียงแต่ได้คะแนนเต็มในการทดสอบภาษาอังกฤษเท่านั้น แต่ยังทำได้ดีในวิชาอื่นๆด้วย คะแนนรวมทั้งหมดอยู่ลำดับที่ 15”
หลินม่ายไม่เหมือนพวกหล่อนที่สามารถมาเรียนได้ทุกวัน เธอยุ่งอยู่กับการหาเลี้ยงชีพ ดังนั้นจึงทำได้เพียงเรียนหนังสือด้วยตนเองเมื่อมีเวลา แต่เธอก็สามารถสอบได้คะแนนดีๆ
พวกหล่อนต้องทบทวนตัวเอง ว่าสภาพการเรียนดีขนาดนี้ กลับสอบสู้หลินม่ายไม่ได้
นักเรียนทุกคนถูกอาจารย์เว่ยตำหนิและก้มศีรษะลง
หลังจากจบคาบการเรียนตนเองในตอนเช้า หลินม่ายก็หยิบกระดาษทดสอบและออกจากห้องเรียน
ตั้งใจที่จะไปห้องทำงานเพื่อดูคำตอบที่ถูกต้อง และกลับบ้านไปดูว่าตนเองผิดตรงไหน
ว่านฮุ่ยตามมาจากด้านหลัง ไม่อายที่จะถาม “นักเรียนหลินม่าย เธอมีเคล็ดลับอะไรในการสอบคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี และภาษาอังกฤษให้ได้คะแนนสูงๆ เหรอ?”
สอบประจำเดือนคราวนี้วิชาที่ท่องจำอย่างภาษาจีนและการเมืองทำได้ไม่เลว โดยเฉพาะวิชาการเมืองเธอได้คะแนนเต็ม แต่วิชาคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี และภาษาอังกฤษล้วนไม่น่าพอใจ
“เคล็ดลับ?” หลินม่ายถามพูดอย่างจริงจัง “เคล็ดลับของฉันคือพรสวรรค์”
เธอไม่ได้โกหก เธอเป็นนักเรียนที่มีพรสวรรค์จริงๆ
เมื่อเห็นแผ่นหลังของหลินม่ายหายเข้าไปในห้องทำงาน ว่ายฮุ่ยก็กัดริมฝีปากด้วยความโกรธ
ไม่อยากบอกเคล็ดลับการเรียนก็ไม่เป็นไร แต่มาเหน็บแนมหัวเราะเยาะหล่อนที่เรียนไม่เก่ง ไม่เคยเห็นคนที่แย่ขนาดนี้มาก่อน!
หลินม่ายแค่อยากได้คำตอบที่ถูกต้องกลับไปเรียนเอง แต่อาจารย์ทุกคนมีความรับผิดชอบดีมาก
อาจารย์สอนวิชาคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีอธิบายข้อสอบที่เธอทำผิดทั้งหมด และถามว่าเข้าใจไหม เมื่อเห็นเธอพยักหน้า ”เข้าใจ” จึงปล่อยเธอไป
อาจารย์สอนภาษาจีนและการเมืองให้ประเด็นสำคัญแก่เธอ ครั้งนี้เธอได้อันดับที่ 15 ของคะแนนรวมทั้งหมด สองวิชานี้ฉุดคะแนนเธอลงมา
อาจารย์เว่ยให้กำลังใจเธอว่าอย่าทะนงตน และให้ตั้งใจต่อไป
ในที่สุดสายฝนที่ตกหนักเกือบครึ่งเดือนก็หยุดลง ดวงอาทิตย์ที่หายไปนานก็ลอยอยู่บนท้องฟ้า แสงแดดที่แผดจ้าทำให้ผู้คนลืมตาไม่ขึ้น
หลังจากกินอาหารเช้าเสร็จ หลินม่ายสวมหมวกกันแดดออกไปข้างนอก
ชุดเสื้อผ้ามือสองที่นำเข้ามาได้รับการฆ่าเชื้อและตกแต่งใหม่ทั้งหมด และเธอต้องการนำไปตาก
เนื่องจากฝนตกเป็นเวลานาน เธอจึงกลัวว่าจะมีกลิ่นอับ
หลินม่ายเพิ่งเดินมาถึงตึกฝั่งตรงข้ามของเธอ ซึ่งมีสามห้องเรียงกัน ชายวัยกลางคนสวมเสื้อกันหนาวมีรูเดินเข้ามาถาม “สหายน้อย เธอซื้อบ้านหลังนี้เหรอ?”
ใบหน้าของชายคนนั้นไม่เป็นมิตร หลินม่ายระมัดระวังตัว ดังนั้นเธอจึงเพิกเฉยต่อเขา
ชายคนนั้นยิ้มอย่างสมเพชตัวเอง “เป็นเพราะฉันดูจน เธอคิดว่าฉันเป็นคนไม่ดีเหรอ ฉันไม่ใช่หรอกนะ”
เข้าชี้ไปที่บ้านข้างๆ ที่มีเพียงห้องเดียว “ฉันเป็นเพื่อนบ้านของคุณ แซ่อวี๋ ชื่อเต็มอวี๋เจียจิ้น”
การแสดงออกของหลินม่ายผ่อนคลายลงเล็กน้อย “คุณมาหาฉันมีอะไรหรือเปล่า?”
อวี๋เจียจิ้นเผยรอยยิ้มบนใบหน้า พยายามอย่างดีที่สุดเพื่อให้ดูเป็นมิตร
“คืออย่างนี้ ฉันต้องการต่อเติมชั้นในบ้าน เกรงว่าจะกระทบกระเทือนคุณ เลยว่าบอกคุณเอาไว้ รบกวนคุณด้วย”
บ้านบนถนนทั้งสายนี้เป็นบ้านสองชั้นแบบตะวันตกติดๆกัน มีกำแพงกั้นตรงกลางระหว่างบ้านสองหลัง
หากใครต้องการต่อเติมเป็นชั้นๆ ย่อมกระทบกับเพื่อนบ้านแน่นอน
ดังนั้นคุณต้องทักทายเพื่อนบ้านและได้รับความยินยอมจากพวกเขาก่อนจึงจะสามารถต่อเติมได้
ถ้าคนอื่นไม่อนุญาตให้ต่อเติม คุณก็ต่อเติมไม่ได้
อวี๋เจียจิ้นบอกกับเจ้าของบ้านคนก่อนแล้ว
แต่เจ้าของบ้านคนเก่าไม่สนใจเขา เพราะต้องการขายบ้านเพื่อจะไปฮ่องกง
อวี๋เจียจิ้นไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากรอให้หลินม่ายซื้อบ้านและหารือกับเธอเกี่ยวกับการต่อเติม
หลินม่ายมองไปตรงชั้นสอง “ถ้าเพิ่มอีกหนึ่งชั้นฐานของอาคารจะรับไหวไหม?”
ถ้าฐานของอาคารรับไม่ไหว แล้วเธอลงนามไปแล้ว บ้านที่เธอเพิ่งซื้อก็จะกลายเป็นบ้านที่ทรุดโทรม
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เก่งไม่สู้ขยัน เอาเวลาอิจฉาไปอ่านหนังสือให้หนักกว่านี้เถอะ
ถือว่าเพื่อนบ้านดีนะเนี่ยที่มาแจ้งก่อนว่าจะทำอะไรกับบ้านตัวเองบ้างและจะเดือดร้อนบ้านคนอื่นยังไงบ้าง
ไหหม่า(海馬)