แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 228 นักเลงบุกร้าน
ตอนที่ 228 นักเลงบุกร้าน
พอหลินม่ายกับคุณปู่ฟางกลับมาถึงบ้าน ก็เห็นว่าคุณปู่ฟางกลับมาถึงบ้านก่อนแล้ว
เขาบอกข่าวดีกับพวกเธอด้วยสีหน้ามีความสุข “ฉันโทรคุยกับเจ้าหลานไม่รักดีจั๋วหรานแล้ว เขาตกลงว่าจะหมั้นกับม่ายจื่อในวันชาติที่จะถึงนี้”
คุณย่าฟางตอบรับด้วยรอยยิ้มสดใส “ยังฉลาดไม่มีเปลี่ยน!”
ระหว่างมื้ออาหารกลางวัน หลินม่ายอยากบอกความจริงให้ผู้เฒ่าทั้งสองฟังหลายครั้ง ว่าเธอกับอู๋เสี่ยวเจี๋ยนไม่เคยมีความสัมพันธ์ฉันสามีภรรยา ดังนั้นเธอจึงยังคงบริสุทธิ์
แต่ทุกครั้งที่ประโยคเหล่านั้นตีตื้นขึ้นมาจนถึงริมฝีปาก เธอกลับกลืนมันลงคอไปเสียทุกครั้ง เนื่องจากไม่สามารถพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตัวเองได้ ถ้าพูดไปจะดูเหมือนเป็นการโกหกเปล่า ๆ จึงตัดสินใจไม่พูดมันออกไป
หลังจากกินเสร็จ พอล้างถ้วยชามเรียบร้อยแล้ว หลินม่ายก็ขอตัวกลับเมือง
คุณย่าฟางพูดด้วยรอยยิ้ม “อยู่ต่ออีกสักประเดี๋ยวสิ ฉันมีอะไรอยากจะให้เธอ”
หลังจากเดินเข้าไปในห้อง หญิงชราก็หยิบสร้อยข้อมือหยกแวววาวสดใสออกมา ก่อนจะเดินกลับออกไปข้างนอก
ถึงแม้หลินม่ายไม่มีความรู้เรื่องเครื่องประดับมากนัก แต่ก็พอคาดเดาได้ว่าสร้อยข้อมือหยกเส้นนี้จะต้องมีมูลค่าสูงลิบ
คุณย่าฟางเดินเข้าไปใกล้เธอ จากนั้นก็ทรุดตัวนั่งลง จับมือเธอไว้ แล้วสวมสร้อยข้อมือหยกเส้นนั้นให้กับเธอ
“นี่ไม่ใช่สร้อยข้อมือธรรมดา แต่ทำจากลูกปัดหยกชั้นดี ฉันกับคุณปู่ยกสมบัติอะไรให้คนอื่นก็ได้ทั้งนั้น ยกเว้นสร้อยข้อมือหยกเส้นนี้ เพราะมันคือมรดกที่ตกทอดต่อกันมาในตระกูลฟางของเรา จึงต้องมีการสืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น ถึงเวลาแล้วที่ฉันควรส่งต่อมันให้กับเธอ”
พอหลินม่ายได้ยินว่าสร้อยเส้นนี้ทำจากหยกชั้นดี เธอก็ไม่กล้ารับไว้ “คุณย่า อย่ารีบร้อนมอบสร้อยข้อมือเส้นนี้ให้ฉันเลยค่ะ รอให้ท่านมีอายุครบหนึ่งร้อยปีก่อนแล้วค่อยส่งต่อให้ฉันก็ยังไม่สาย”
เธอพยายามใช้กลวิธีถ่วงเวลา
คุณปู่ฟางโพล่งขึ้นมาจากด้านข้าง “คุณย่าอุตส่าห์มอบให้ เธอก็รับมันไว้เถอะ อย่าทำให้คุณย่าต้องเสียน้ำใจเลย”
หลินม่ายจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากน้อมรับไว้ จากนั้นก็ขับรถแทรกเตอร์กลับเข้าเมือง
ฟางเว่ยกั๋วกลับมาถึงบ้านในตอนเที่ยง
ขณะนั้น หวังเหวินฟางกินอาหารมื้อกลางวันเสร็จแล้วและกำลังจะออกไปทำงานต่อ พอเปิดประตูออกไปก็สวนเข้ากับฟางเว่ยกั๋วพอดี
เมื่อเห็นสีหน้าโกรธจัดของเขา หล่อนก็โพล่งถามออกไปทันที “พ่อแม่ของคุณไม่ยอมให้จั๋วหรานเลิกกับนังแพศ… เสี่ยวหลินเหรอคะ?”
คำว่า ‘นังแพศยา’ ถูกเปลี่ยนเป็น ‘เสี่ยวหลิน’ อย่างกะทันหัน “พวกท่านไม่ยอมให้จั๋วหรานเลิกขาดกับเสี่ยวหลินเหรอคะ?”
“อืม” ฟางเว่ยกั๋วเดินกระแทกส้นเท้าเข้าไปในห้องนั่งเล่น ทิ้งตัวนั่งลงบนโซฟา ก่อนจะพูดด้วยความโกรธเคือง “พวกท่านเอาแต่ต่อต้านผมน่ะสิไม่ว่า!”
หวังเหวินฟางแอบพ่นคำสบถในใจ “พวกคนแก่ตายยากเอ๊ย!”
จากนั้นก็พูดว่า “คุณคงยังไม่ได้กินข้าวกลางวันสินะ ฉันจะทำบะหมี่เนื้อฉีกให้คุณสักชาม”
พูดจบก็วางกระเป๋าในมือลง เดินเข้าไปในครัว ปรุงบะหมี่เนื้อฉีกชามใหญ่จนเสร็จในเวลาไม่นานนัก แล้วยกออกมาเสิร์ฟ
ฟางเว่ยกั๋วนั่งกินบะหมี่อยู่ที่โต๊ะอาหาร หวังเหวินฟางตามมานั่งอยู่ตรงข้ามกันกับเขาเพื่อเฝ้าดูเขากิน “แล้ว… การแต่งงานของจั๋วหรานกับเสี่ยวหลินจะยังเกิดขึ้นอยู่ไหมคะ?”
“ไม่มีทาง!” ฟางเว่ยกั๋วพูดหลังจากคีบบะหมี่เข้าปากไปสองคำ “ผมจะลองโทรหารัฐมนตรีซู เชิญให้ซูอวี้หยิงลูกสาวของเขามาเที่ยวที่เจียงเฉิง แล้วค่อยนัดหมายกับจั๋วหรานทีหลัง ซูอวี้หยิงทั้งโดดเด่นและสวยสง่าปานนั้น ผมไม่เชื่อหรอกว่าจั๋วหรานจะไม่ตกหลุมรักหล่อน”
หวังเหวินฟางนิ่งเงียบไปสองสามวินาที อ้างว่าจวนถึงเวลาเข้างานแล้ว ก่อนจะหยิบกระเป๋าแล้วขอตัวออกจากบ้านไป
ความจริงแล้วเธอไม่ได้ตรงไปที่ทำงาน แต่ตรงไปที่บ้านของแม่เฒ่าหวัง
เมื่อไม่นานมานี้ชื่อเสียงของนางถูกทำลายไม่เหลือชิ้นดี แม่เฒ่าหวังจึงไม่มีหน้าออกมาพบปะกับเพื่อนบ้านอีกต่อไป
ตลอดทั้งวันนางอยู่แต่ภายในลานบ้านของตัวเอง ใช้ชีวิตสันโดษราวตัดขาดจากโลกทั้งใบ ท่าทางสูญสิ้นซึ่งจิตวิญญาณและไร้ชีวิตชีวา
พอเห็นว่าลูกสาวมาเยี่ยมเยียนแทนที่จะไปเข้างาน จึงถามว่า “ทำไมถึงได้มาเอาป่านนี้? ช่วงบ่ายต้องกลับไปเข้างานไม่ใช่หรือ?”
หวังเหวินฟางวางแตงโมที่ซื้อมาจากร้านริมทางไว้บนโต๊ะ “ฉันเห็นว่าอากาศร้อนมาก ก็เลยแวะซื้อแตงโมมาให้แม่เพราะกลัวว่าแม่จะเป็นลมแดดไปซะก่อน”
แม่เฒ่าหวังพูดอย่างฉุนเฉียว “ถ้าอย่างนั้นเธอก็ควรมาส่งของให้ถูกเวลาหน่อย รอให้เลิกงานช่วงบ่ายก่อนแล้วค่อยแวะเอามาส่งให้ฉันไม่ได้เชียวรึ? รีบร้อนไปได้ ทำอย่างกับฉันรอกินไม่ได้อย่างนั้นแหละ”
หวังเหวินฟางพูดขึ้นอย่างอดไม่ได้ “แม่อย่าเพิ่งโกรธฉันเลยน่า แม่คะ ถ้าแม่ไม่รีบจับคู่ให้จั๋วหรานกับหรงหรงตั้งแต่ตอนนี้ จั๋วหรานจะไปคว้านังสารเลวที่ทำให้เสี่ยวเฉียงต้องติดคุกมาแต่งงานด้วยแล้วนะคะ!”
หล่อนไม่ใช่คนมองโลกในแง่ดีเหมือนฟางเว่ยกั๋ว หล่อนรู้ดีว่าต่อให้ฟางจั๋วหรานได้เจอหน้าซูอวี้หยิงเข้าจริง ๆ ฟางจั๋วหรานไม่มีทางตกหลุมรักหล่อนแน่
เป็นไปได้น้อยมากที่ฟางจั๋วหรานจะตกหลุมรักคนอื่นได้ง่าย ๆ เขากับหลินม่ายใช้ชีวิตคลุกคลีกันอยู่ตลอด แถมยังมีสองเฒ่าตระกูลฟางคอยให้การสนับสนุน สองคนนั้นแค่รอเวลาที่จะแต่งงานกันเท่านั้น
หล่อนต้องหาทางขัดขวางไม่ให้ทั้งสองแต่งงานกันได้
แม่เฒ่าหวังเงียบไปนาน ก่อนจะพูดเสียงแผ่ว “ฉันรู้แล้ว”
หวังเหวินฟางถามด้วยความกระวนกระวายใจ “แล้วแม่จะลงมือเมื่อไหร่?”
“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ปล่อยให้ล่าช้าแน่”
พอได้ยินสิ่งที่ผู้เป็นแม่พูด หวังเหวินฟางรู้ว่าต่อให้คาดคั้นมากกว่านี้ก็ไม่มีประโยชน์ จึงจำใจจากไป
แม่เฒ่าหวังเหม่อมองไปข้างหน้าด้วยสายตาว่างเปล่า
นางยังอยากดำเนินการตามแผนที่วางไว้ก่อนหน้านี้ แต่หลังจากฟางจั๋วหรานตัดความสัมพันธ์ฉันยายหลานกับตนไปเมื่อไม่นานมานี้ การทำตามแผนจึงไม่ใช่เรื่องง่ายอีกต่อไป
ที่สำคัญ แผนนี้สามารถงัดออกมาใช้ได้แค่ครั้งเดียว ถ้าทำไม่สำเร็จ จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น
ในอนาคตถ้าจะใช้แผนการเดิมมัดมือชกฟางจั๋วหราน คงทำไม่ได้อีกแล้ว!
หลินม่ายขับรถแทรกเตอร์กลับเข้าเมืองในเวลาประมาณสี่โมงเย็น
ทันทีที่โจวฉายอวิ๋นได้ยินเสียงรถแทรกเตอร์ เธอก็รีบวิ่งออกไปรอที่ลานหลังบ้านเพื่อเปิดประตูให้
หลินม่ายเห็นสีหน้าบูดบึ้งของพี่สาวเข้าก็พูดติดตลกว่า “เป็นอะไรไป? พี่ไม่อยากให้ฉันกลับมาเหรอ?”
โจวฉายอวิ๋นส่งสายตาค้อนขวับ “ไม่มีใครตลกกับเธอหรอกย่ะ เข้าไปดูสถานการณ์ในร้านตอนนี้สิ พวกนักเลงพากันมาสร้างปัญหาใหญ่โตเลยล่ะ”
หัวใจหลินม่ายกระตุก “มีใครบาดเจ็บหรือเปล่า?”
ต่อให้ร้านพังก็ไม่เป็นไร แต่พนักงานของเธอจะต้องปลอดภัยดี
โจวฉายอวิ๋นส่ายหน้า “ไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ แต่ร้านเราเปิดขายต่อไปไม่ได้”
หลินม่ายรีบขับรถแทรกเตอร์เข้าไปจอดในลาน แล้วเดินเข้าไปในร้านเพื่อดูว่าเกิดอะไรขึ้น
ภาพแรกที่เห็นคือโต๊ะทุกตัวในร้านมีนักเลงนั่งอยู่เต็มไปหมด นักเลงกลุ่มนี้สั่งของว่างที่มีราคาถูกที่สุดแค่โต๊ะละหนึ่งจาน แถมยังแย่งกันหยิบเข้าปากโดยที่ไม่ใช้ตะเกียบ
ลูกค้าหลายคนอยากเข้ามานั่งกินอาหาร แต่พอสังเกตเห็นว่าบรรยากาศในร้านผิดแปลกไปจากเดิม จึงหันหลังกลับแล้วเดินจากไป
ลูกค้าบางคนที่มีไหวพริบต่ำเกินกว่าจะรับรู้ถึงสถานการณ์ พอเห็นว่าคนเหล่านั้นครองหลุมแต่ไม่ยอมอุจจาระ(1) ก็บ่นเสียงดังขึ้นมาอย่างไม่พอใจ “ถ้าไม่กินอะไรก็ออกไปซะ เว้นที่ว่างไว้ให้คนอื่นเขานั่งบ้าง!”
ทันใดนั้น นักเลงหลายคนก็กรูเข้าไปรุมล้อมเขา ก่อนจะออกแรงผลักเขาออกไปด้วยท่าทางโหดเหี้ยม “ใครบอกว่าเราไม่กิน? ฮะ! ใครบอกว่าพวกเราไม่กิน?”
ลูกค้าผู้มีไหวพริบน้อยคนนั้นถึงได้ตระหนักว่าตัวเองไม่ควรเสวนากับคนพวกนี้ จึงรีบหลบหนีไป
สีหน้าของหลินม่ายเคร่งเครียดขึ้นมา ถามโจวฉายอวิ๋นว่า “นักเลงพวกนี้มาบุกร้านเราตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“หลังจากเธอออกไปได้ไม่นานก็แห่กันมาตั้งแต่เช้า”
หลินม่ายขมวดคิ้ว “วันนี้ยังไม่ได้ขายอาหารให้ใครเลยเหรอ?”
โจวฉายอวิ๋นพยักหน้า ทำหน้าบึ้งตึงไปพลาง “เพราะขายของไม่ออกนี่แหละ พวกเราถึงได้กังวลกันแทบตาย เราไม่สามารถรู้ได้เลยว่าวันพรุ่งนี้ไอ้พวกนักเลงจะยังมาสร้างปัญหาที่ร้านเราอยู่ไหม ถ้าวันพรุ่งนี้ยังเป็นแบบเดิม เราก็ขายของไม่ได้อยู่ดี ยิ่งถ้าวันต่อ ๆ ไปยังมาอีก เห็นทีเราคงต้องปิดกิจการแล้ว”
หลินม่ายถาม “พวกเขายึดร้านเรานานขนาดนี้ ไม่มีใครแจ้งตำรวจให้เข้ามาจัดการเลยเหรอ?”
โจวฉายอวิ๋นพูดด้วยสีหน้าเศร้าใจ “ใครว่าพวกเราไม่โทรแจ้งตำรวจล่ะ? แต่ก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดี ตำรวจเดินมายังไม่ทันถึงร้าน คนพวกนี้ก็วิ่งเตลิดไปคนละทางซะแล้ว พอตำรวจกลับไป พวกเขาก็ย้อนกลับมาอีก”
นั่นเป็นเพราะพวกเขาเอาผิดซึ่งหน้าไม่ได้
นักเลงพวกนี้บุกเข้ามาในร้านโดยที่ไม่ทำลายข้าวของหรือสร้างปัญหาอื่น ๆ แถมยังสั่งอาหารมานั่งกินอีกด้วย
ไม่ต้องพูดถึงว่าทำไมตำรวจถึงไม่ยอมจับกุม พวกเขาจะจับกุมได้อย่างไร? ในเมื่อคนเหล่านี้ไม่ได้กระทำผิดกฎหมาย อย่างมากก็แค่ตักเตือนและแนะนำข้อกฎหมายให้ฟังเท่านั้น
หลินม่ายเงียบไปสักพักก็ถามว่า “พี่ไปตามหาพ่อเฒ่าเฮ่อแล้วหรือยัง?”
โจวฉายอวิ๋นตกตะลึง “เธอสงสัยว่านักเลงพวกนี้ถูกไอ้สารเลวเฮ่อเชิ่งนั่นส่งมางั้นหรือ?”
หลินม่ายถามกลับ “ถ้าไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใครไปได้อีก?”
เธอไม่มีศัตรูที่อาศัยอยู่ในละแวกถนนเส้นนี้ ยกเว้นป้าหูแล้ว ก็มีแค่เฮ่อเชิ่งที่ถูกป้าหูยุยงปลุกปั่น
ถึงแม้ป้าหูจะอยากกำจัดเธอให้พ้นทางขนาดไหน แต่คงไม่ใจกล้าพอจะเชิญพวกนักเลงมาแน่
คนปกติที่ไหนบ้างอยากเอาตัวเองเข้าไปพัวพันกับพวกอันธพาล ขืนโดนจับขึ้นมาก็ใช่ว่าจะสลัดร่างแหหลุดได้ง่าย ๆ
ช่วงที่เจ้าหน้าที่รัฐออกปราบปรามอันธพาลอย่างเข้มงวด สิ่งที่คนกลัวที่สุดคือกลัวตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพวกนักเลง
มีแค่เฮ่อเชิ่งที่ทำตัวไม่สนกฎหมายบ้านเมือง นักเลงด้วยกันเท่านั้นที่จะเชิญนักเลงด้วยกันให้มาสร้างปัญหาได้
……………………………………………………………………………………………………………….
เป็นคำอุปมาถึงคนที่ยึดครองสถานที่แต่ไม่ยอมทำงาน, ไม่ยอมทำอะไรที่ควรจะทำ
สารจากผู้แปล
ย่ายอมรับเป็นหลานสะใภ้แล้วอะ ขนาดมอบสมบัติประจำตระกูลให้เลย
กีดกันพี่หมอเหลือเกินนน ขนาดพี่หมอตัดความสัมพันธ์ไปแล้วนะนั่น
ร้านของม่ายจื่อเจออุปสรรคอีกแล้ว เบื่อจริง
ไหหม่า(海馬)