แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 273 เฮ่อเชิ่งมาเยี่ยม
ตอนที่ 273 เฮ่อเชิ่งมาเยี่ยม
หลินม่ายขนแตงโมลูกใหญ่ 6 ลูกหนักมากกว่า 10 กิโลกรัมมาจากตลาดสด ขอให้ลูกน้องของเฉินเฟิงเอามันมาส่งที่ร้านฝั่งตรงข้ามแบ่งให้กับพนักงานที่ร้าน และผู้จัดการทำกำลังฝึกพนักงานอยู่
ในตอนนี้พนักงานขายถุงน่องหน้าร้านคนที่เจิ้งซวี่ตงแนะนำมาก็ทำงานได้ดี
พวกเขาทำงานอย่างรอบคอบและกระตือรือร้น มีความสามารถในการพูดคุยกับลูกค้า ถุงน่องขายดีมาก แสดงให้เห็นถึงวิสัยทัศน์ของผู้จัดการได้ดี
เมื่อทั้งหมดมาถึงที่ตึก หลินม่ายก็ทักทายทุกคนและแจกจ่ายแตงโมให้
ระหว่างที่กินแตงโมก็คุยกับเจิ้งซวี่ตงเกี่ยวกับการจัดการพนักงาน และยังถามถึงความคืบหน้าเรื่องการตกแต่งอาคารด้วย
นายช่างจางอธิบายว่า “ชั้นหนึ่งกับชั้นสองปรับปรุงใหม่หมดแล้ว เหลือชั้นสามกับห้องใต้หลังคาเท่านั้นที่ยังไม่เสร็จดี แต่อีกไม่กี่วันก็จะเรียบร้อย”
หลังกินแตงโมกันเรียบร้อย หลินม่ายก็ไปสำรวจที่สวนด้านหลัง ห้องใต้ดิน ชั้นหนึ่งชั้นสอง และพบว่ายังไม่มีบันไดเชื่อมจากชั้นสองขึ้นไปด้านบน
เธอประหลาดใจเล็กน้อย จึงถามว่า “ยังไม่มีบันไดขึ้นไปแล้วคุณขึ้นไปยังไงคะ? ต้องมีวิชาตัวเบาหรือเปล่าเนี่ย”
นายช่างหัวเราะกับมุกตลกของเธอ “ฉันทำบันไดแยกต่างหากจากสวนขึ้นไป ทำให้ส่วนร้านค้ากับส่วนที่อยู่อาศัยไม่เชื่อมกันมากเกินไป”
หลินม่ายตามเขาไปที่สวนหลังบ้าน และพบว่ามีบันไดแยกอยู่ที่มุมหนึ่ง
ด้วยการออกแบบอย่างชาญฉลาดของนายช่างจาง ทำให้บันไดถูกซ่อนไว้ในส่วนอเนกประสงค์อย่างสวยงามและใช้พื้นที่อย่างคุ้มค่า
มีประตูเหล็กดัดอีกหนึ่งบานกั้นทางขึ้นบันไดเอาไว้
หลินม่ายเดินประตูเหล็กขึ้นไปที่บันไดแล้วเริ่มสำรวจชั้นสาม
เธอวางแผนให้ชั้นสามมี 5 ห้องนอน สองห้องนั่งเล่น และห้องครัวกับห้องน้ำอย่างละหนึ่ง
ทั้งห้าห้องมีพื้นที่ใช้สอยไม่น้อย เช่นเดียวกับห้องนั่งเล่นและห้องครัว
ข้อเสียคือห้องนั่งเล่นและห้องกินข้าวอยู่ตรงกลางชั้น จึงไม่ได้รับแสงธรรมชาติมากเท่าที่ควร แต่ก็สามารถเปิดไฟเพิ่มได้เมื่อแสงไม่เพียงพอ
สำรวจชั้นสามเรียบร้อยก็ขึ้นไปที่ห้องใต้หลังคาเพื่อดูความเรียบร้อย
ห้องใต้หลังคามีความสูงไม่มาก ประมาณสองเมตร ภายในโล่งว่างไม่ได้กั้นพื้นที่และมีเสาเพียงไม่กี่ต้น
นายช่างจางแนะนำจากด้านข้าง “ไม่ได้กั้นห้องที่ชั้นนี้ จะได้เอาไว้เป็นที่เก็บของได้”
หลินม่ายค้นพบว่าเธอได้นายช่างที่รอบคอบมากมาออกแบบบ้านให้
ห้องใต้หลังคาพื้นที่ประมาณสองร้อยกว่าตารางเมตรมีความเหมาะสมมากสำหรับเก็บของ แม้จะไม่มีของอะไรให้เก็บมากนัก แต่ก็ยังเผื่อเป็นที่เล่นของโต้วโต้วได้ด้วย
เห็นทีต้องเพิ่มค่าแรงให้นายช่างอีกสักหน่อยแล้ว
หลังจากสำรวจบ้านเรียบร้อย หลินม่ายก็กลับมาที่ร้าน และเห็นว่าร้านของหวังหรงซึ่งเงียบเหงามานานดูเหมือนจะเริ่มมีคนมาซื้อซาลาเปาจำนวนไม่น้อย
วังเสี่ยวลี่กวักมือเรียกเถ้าแก่เนี้ย หลินม่ายจึงเดินเข้าไปหา
พนักงานสาวกระซิบกระซาบ “อย่าไปสนใจเลยค่ะ เขาขายถูกกว่าเราเลยมีคนมาซื้อเยอะขึ้น”
หลินม่ายอดคิดไม่ได้ว่าทำไมเจ้าของร้านนี้ถึงชอบใช้วิธีเดิม ๆ แบบที่ป้าหูเคยทำ
การต่อสู้ด้วยการตัดราคาเป็นการต่อสู้ที่โหดร้ายมาก และสามารถทำได้เมื่อมีเงินทุนมั่นคงเท่านั้น
ไม่อย่างนั้นถ้าไม่ชนะคู่แข่งก็จะเจ๊งเองเสียก่อน เหมือนอย่างที่ป้าหูเคยเป็นมาแล้ว
เจ้าของร้านคนนี้ก็จะเอาอย่างป้าหูอย่างนั้นเหรอ?
แต่ถ้าอยากตายก็ปล่อยเขาไป เธอไม่ได้จะสนใจอยู่แล้ว
หลินม่ายสนใจเพียงเรื่องร้านของตัวเองและถามว่า “เขาลดราคาแล้วยอดขายเราเป็นยังไงบ้าง”
วังเสี่ยวลี่รายงานไปตามจริง “ก็มีผลบ้างค่ะ แต่ไม่มากมายอะไร เพราะยังไงอาหารเราก็รสชาติดีกว่า หากินร้านอื่นแทนไม่ได้”
หลินม่ายยิ้ม “ไม่มีใครแทนกันได้ทั้งหมดหรอก ทั้งคนทั้งสิ่งของ”
วังเสี่ยวลี่หัวเราะเบา ๆ “ถ้าเขามาแทนที่เราไม่ได้ก็ไม่ต้องกังวลอะไรหรอกค่ะ ร้านเรายังขายของดีเหมือนเดิม แบบนี้อีกไม่นานคู่แข่งก็จะลดราคาแบบนี้ต่อไปไม่ไหวแล้วขาดทุนไปเอง”
เป็นไปตามปกติ
หลินม่ายกำลังจะขึ้นไปชั้นบน แต่เฮ่อเชิ่งเข้ามาเสียก่อน “ม่ายจื่ออย่าเพิ่งรีบขึ้นไป ฉันมีเรื่องอยากคุยด้วย”
หลินม่ายเอ่ยตอบ “ไปคุยกันข้างบนดีกว่า”
ชั้นล่างเนืองแน่นไปด้วยลูกค้า ไม่มีที่สำหรับนั่งคุยกันเลย จะให้พวกเขาสองคนยืนคุยกันได้อย่างไร?
หลินม่ายเดินไปมาที่ตลาดสดเป็นเวลานานทำให้รู้สึกเมื่อยขาไปหมดไม่อยากจะยืนคุยอีกต่อไป
เฮ่อเชิ่งตามเจ้าของร้านสาวขึ้นไปที่ชั้นบน ทั้งสองนั่งลงที่โซฟารับแขกในห้องนั่งเล่น
ชายหนุ่มหยิบเงินสองสามร้อยหยวนออกมาวางที่โต๊ะ แล้วเอ่ยอย่างตรงไปตรงมา “นี่เป็นค่าชดเชยและค่าเช่าล่วงหน้าที่เหลืออยู่ของเธอ ฉันต้องการร้านคืน”
หลินม่ายพยักหน้าแล้วคืนเงินให้เขาหนึ่งร้อยหยวน
เฮ่อเชิ่งถามอย่างประหลาดใจ “ทำไมให้คืนมาหนึ่งร้อยล่ะ”
“เป็นรางวัลที่ช่วยฉันจัดการกับป้าหูตอนนั้น”
“นี่มันเยอะไป” เฮ่อเชิ่งยิ้ม และรับไปเพียงห้าสิบหยวน “ห้าสิบก็พอ ที่เหลือเอาคืนไปเถอะ”
เมื่อเห็นว่าเขายืนยันแบบนั้น หลินม่ายจึงรับเงินห้าสิบหยวนนั้นคืนมา และเริ่มคุยเรื่องร้าน “เอาร้านคืนไปได้ตามที่ต้องการ แต่ฉันขอเวลาถึงสิ้นเดือนนี้ได้ไหม”
เฮ่อเชิ่งพยักหน้าตกลง “ได้สิ”
ตอนที่หลินม่ายไปส่งแขกที่หน้าร้าน เธอก็หันหน้าไปมองร้านของตู้กวงฮุยที่อยู่ข้าง ๆ แล้วเอ่ยว่า “ของพวกนี้คล้ายกับของที่เราขาย ถ้านายได้ร้านนี้ไปแล้ว ฉันว่าอย่าขายของกินแบบเดียวกันเลยจะดีกว่า ร้านติดกัน แข่งกันขายของที่เหมือน ๆ กันไปก็เสียเวลาแล้วยังเหนื่อยเปล่า”
เฮ่อเชิ่งรับคำอย่างนิ่ง ๆ แล้วจากไปโดยที่ไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
หลินม่ายกำลังจะหันหลังกลับเข้าไปในร้าน แต่เห็นเถาจืออวิ๋นเดินมาพร้อมกับเสื้อผ้ามากมายในรถจักรยาน
และมีฉีฉีนั่งอยู่ที่ด้านหน้าของจักรยานด้วย
ฉีฉีมักจะตามแม่ของเขามาและได้เจอกับหลินม่ายอยู่บ่อย ๆ เขาไม่ได้เงียบเหมือนเมื่อก่อน และส่งเสียงตะโกนอย่างมีความสุขมาแต่ไกล “คุณน้าหลิน!”
หลินม่ายตอบรับด้วยรอยยิ้มแล้วตรงเข้าไปอุ้มเขาขึ้นมา
โต้วโต้วที่พาอาหวงไปเล่นอยู่มุมหนึ่งกับกลุ่มเด็ก ๆ เมื่อได้ยินเสียงของฉีฉีทั้งเด็กหญิงและเจ้าหมาก็พากันตรงเข้ามา
เมื่อฉีฉีเห็นเธอ เขาก็ขยับตัวอยากจะลงจากอ้อมแขนของหลินม่ายเพื่อไปเล่นกับโต้วโต้ว
หลินม่ายปล่อยเด็กชายลง แล้วฝากให้โต้วโต้วช่วยดูแลฉีฉีให้ดี
โต้วโต้วตอบรับอย่างเชื่อฟังและพาฉีฉีไปเล่นกับเด็ก ๆ คนอื่นด้วย
หลินม่ายมองไปที่เสื้อผ้าจำนวนมากบนจักรยานแล้วถามอย่างประหลาดใจ “ช่วงนี้พี่ทำชุดเยอะขนาดนี้เลยเหรอเนี่ย!”
“ฉันทำตามที่เธอแนะนำ ไปขอพักงานโดยไม่รับค่าจ้างแล้วก็เอาเวลามาทำงานนี้ทั้งหมด ตอนนี้ทำเสื้อผ้าได้เยอะทุกวัน ไม่กี่วันก็ได้เยอะขนาดนี้แล้ว!”
ทั้งสองนำเสื้อผ้าเหล่านี้ไปกองไว้ที่ห้องนั่งเล่นชั้นสองของร้าน หลินม่ายนับเสื้อผ้าทั้งหมดแล้วมีอยู่ถึงเจ็ดสิบแปดสิบชิ้น
เสื้อผ้าเพียงแปดสิบชิ้นไม่พอขายสำหรับหนึ่งคืน ดังนั้นเธอจึงคิดว่าคงต้องไปกว่างโจวเพื่อซื้อมาเพิ่ม
เถาจืออวิ๋นยื่นถุงให้หลินม่าย “อันนี้ป้ายยี่ห้อหมื่นอันที่เธอขอ แต่ฉันใช้ไปแล้วเกินเจ็ดสิบอัน”
หลินม่ายหยิบป้ายพวกนั้นขึ้นมาดู ฝีมือการทำไม่เลวเลยทีเดียว
เธอคืนถุงป้ายร้านให้กับกับเถาจืออวิ๋น “พี่ยังต้องเตรียมเสื้อผ้าอยู่ เพราะงั้นอยู่กับพี่น่าจะมีประโยชน์มากกว่าอยู่กับฉัน”
เสื้อผ้าฝีมือเถาจืออวิ๋นไม่ได้ถูกนำไปขายที่ถนนเจียงฮั่น แต่เอาไปขายที่แผงเดียวกันกับถุงน่องที่หน้าตึกฝั่งตรงข้ามที่มีพนักงานสาวสองคนดูแลอยู่
เสื้อผ้าพวกนี้มีป้ายราคาติดไว้ชัดเจน ไม่จำเป็นต้องให้พนักงานคุยกับลูกค้าเพื่อขายก็ได้
ไม่ทันห้าโมงเย็น เสื้อผ้าทุกชิ้นก็ขายหมด
ถึงจะหมดช้ากว่าการเอาไปขายที่ตลาดกลางคืน แต่มันสะดวกสบายกว่ามาก เพราะฉะนั้นต่อให้ช้าลงก็ไม่เป็นไร
สองวันต่อมา แม้ร้านอาหารของตู้กวงฮุยจะขายของในราคาถูกแล้วก็ยังขายไม่ได้มาสามวันติด ร้านกลับมาเงียบเหงาอีกครั้ง
วังเสี่ยวลี่มาเล่าให้ฟังว่าอาหารของพวกเขาถูกก็จริง แต่ก็มีขนาดเล็ก แถมไส้ยังน้อย ซื้อกินแล้วไม่คุ้มค่าอยู่ดี
ลูกค้าจึงลองซื้อครั้งเดียวแล้วก็ไม่กลับมาอีก ยอดขายของพวกเขาจึงดิ่งลงเหวอีกครั้ง
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
ร้านยัยหรงจะรอดหรือจะร่วงกันนะ สภาพย่ำแย่เหมือนคนไข้อาการหนักเลย
ไหหม่า(海馬)