แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 292 แอบฟัง
ตอนที่ 292 แอบฟัง
แม่เฒ่าหวังหลีกเลี่ยงไม่ตอบคำถามของฟางจั๋วหราน ใบหน้ายังคงปรากฏรอยยิ้ม “ยายมาที่นี่ก็เพื่อเตือนเธอว่าวันพรุ่งนี้เป็นวันครบรอบที่คุณตาจากไป ยายอยากไปเยี่ยมหลุมฝังศพของคุณตาในวันพรุ่งนี้ สมัยที่เขายังมีชีวิตอยู่ เขาเคยเลี้ยงดูเธอเป็นอย่างดี ดังนั้นเธอเองก็ควรไปไหว้หลุมฝังศพของเขาด้วย”
“ไม่มีปัญหาครับ” ฟางจั๋วหรานตอบตกลงอย่างง่ายดาย
แม่เฒ่าหวังลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ในที่สุดวันนี้นางหลอกล่อฟางจั๋วหรานได้สำเร็จ แผนการที่วางไว้คงสำเร็จไม่ไกลเกินเอื้อม
ถ้าฟางจั๋วหรานไม่ยอมตกลงไปไหว้หลุมศพสามีผู้ล่วงลับของนางแต่โดยดี แผนการของนางคงไม่มีทางสำเร็จ การเตรียมการก่อนหน้านี้คงไร้ประโยชน์
ในขณะที่แม่เฒ่าหวังกำลังนึกโล่งอกโล่งใจอยู่นั้น ฟางจั๋วหรานก็พูดต่อ
“แต่คุณยายหวังครับ คุณอย่าเอาแต่ใช้คำแทนตัวเองว่ายายได้ไหม? เราสองคนตัดความสัมพันธ์ฉันยายหลานกันไปแล้วนะครับ บรรดาคุณป้าเพื่อนบ้านต่างก็รู้เรื่องนี้กันทั้งนั้น”
แม่เฒ่าหวังแสร้งทำเป็นหูทวนลม หันไปย้ำว่า “พรุ่งนี้เธอต้องมาให้ได้นะ” ว่าแล้วก็หมุนตัวเดินจากไปทันที
แม่เฒ่าหวังกลัวว่าหากอยู่ต่อ ฟางจั๋วหรานอาจทำให้นางได้รับความอับอายไปมากกว่านี้
ตราบใดที่ฟางจั๋วหรานยอมมาตามนัดในวันพรุ่งนี้ เขาจะกลายเป็นเต่าในไห(1)ของตนในที่สุด
ความโกรธที่นางได้รับในวันนี้ พรุ่งนี้นางจะทำให้เขาต้องชดใช้คืนเป็นสองเท่า!
ผู้เฒ่าหวังตายจากไปหลายปีแล้ว สมาชิกครอบครัวตระกูลหวังต่างก็มารวมตัวกันเพื่อเคารพหลุมฝังศพของเขาในวันครบรอบการเสียชีวิตของเขาช่วงสามปีแรก แต่หลังจากเข้าปีที่สี่ หลายคนก็ไม่กลับมารวมตัวเพื่อเคารพหลุมศพเขาอีกต่อไป
จู่ ๆ แม่เฒ่าหวังก็นัดหมายให้ทุกคนไปเยี่ยมหลุมฝังศพของผู้เฒ่าหวัง สิ่งนี้ทำให้ฟางจั๋วหรานรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่าง
หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ตัดสินใจโทรศัพท์ไปที่โรงงานของฟางจั๋วเยวี่ย
ผู้รับสายสอบถามตัวตนของเขา หลังจากนั้นก็ต่อสายโทรหาฟางจั๋วเยวี่ยอย่างรวดเร็ว
ทันทีที่ฟางจั๋วเยวี่ยรับสาย เขาก็ถาม “พี่ชาย โทรหาฉันมีอะไรหรือเปล่า?”
ฟางจั๋วหรานถาม “วันอาทิตย์ที่จะถึงนี้ คุณยายของนายนัดให้พวกเราไปเยี่ยมหลุมฝังศพของคุณตา นายจะไปไหม?”
ฟางจั๋วเยวี่ยปฏิเสธโดยไม่ลังเล “ไม่ไปล่ะ กลัวจะตายเพราะความร้อนซะก่อน หลุมฝังศพที่นั่นแดดร้อนจนตับแตก”
ฟางจั๋วเยวี่ยค่อนข้างแตกต่างกับฟางจั๋วหราน ถึงแม้แม่เฒ่าหวังจะเป็นยายแท้ ๆ ของเขา แต่ฟางจั๋วเยวี่ยไม่ได้สนิทสนมกับนางเท่าไรนัก
นอกจากนี้ นางยังไม่มีบุญคุณในการเลี้ยงดูเขามากขนาดนั้น บางทีเขาก็ยอมฟังคำของแม่เฒ่าหวังแต่โดยดี แต่บางทีก็ไม่ยอมเชื่อฟังเสียดื้อ ๆ
ข้อนี้คือสิ่งที่แตกต่างจากฟางจั๋วหราน เนื่องจากบุญคุณที่อีกฝ่ายอุตส่าห์เลี้ยงดู ทำให้ความสัมพันธ์มีความแน่นแฟ้นมากกว่า จึงไม่เอื้ออำนวยให้สามารถตัดสินใจได้อย่างอิสระเหมือนเขา
แต่ตอนนี้ทุกอย่างเปลี่ยนไปแล้ว พี่ชายของเขาตัดความสัมพันธ์ฉันยายหลานกับอีกฝ่ายแล้วเรียบร้อย ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องเกรงใจอีกต่อไป
“ฉันว่านายควรไป” ฟางจั๋วหรานพยายามโน้มน้าวเขาหลังจากเงียบไปครู่หนึ่ง
“ทำไม?” ฟางจั๋วเยวี่ยถามอย่างงงงวย
“เพราะว่า… ฉันกลัวว่าอาจมีใครพยายามวางแผนลอบกัดฉันน่ะสิ”
ฟางจั๋วเยวี่ยแค่นเสียงเย็นชาผ่านทางโทรศัพท์ “ใครในตระกูลหวังมันกล้าลอบกัดพี่ ถามฉันก่อนเถอะว่าเห็นด้วยไหม!”
ฟางจั๋วหรานที่อยู่ปลายสายกระตุกยิ้มทันที
ตราบใดที่มีฟางจั๋วเยวี่ยอยู่ใกล้ ๆ ไม่ว่าใครอยากลอบกัดเขาก็คงทำได้ไม่ง่ายนัก
พี่น้องรวมใจเป็นหนึ่ง กระทั่งทองก็สะบั้นขาดได้
ชั่วพริบตาเดียวก็ถึงเวลาเลิกงาน ฟางจั๋วหรานถอดเสื้อกาวน์ออกแล้วเดินออกจากห้องพักแพทย์ ก็เห็นว่าหนิวลี่ลี่ยืนรออยู่ด้านนอก
แต่เขาไม่ได้ให้ความสนใจอีกฝ่าย ยังคงก้าวต่อไปข้างหน้า
หนิวลี่ลี่รีบเดินตามเขาไปทันที พูดอย่างไม่พอใจว่า “คุณหมอฟาง ทำไมคุณเห็นฉันแล้วไม่ยอมทักทายกันเลยล่ะคะ?”
ฟางจั๋วหรานเหลือบมองหล่อนด้วยความแปลกใจ “ทำไมผมต้องทักทายคุณด้วย?”
หนิวลี่ลี่สะอึกไปชั่วขณะ “ก็เรารู้จักกันแล้วนี่คะ”
ฟางจั๋วหรานถามกลับ “รู้จักกันแล้วจำเป็นต้องทักทายกันด้วยเหรอ? นี่มันตรรกะแบบไหนกัน?”
หนิวลี่ลี่พูดไม่ออก ดังนั้นจึงต้องเปลี่ยนเรื่องคุย “คุณพอมีเวลาว่างหรือเปล่าคะ พอดีฉันอยากสัมภาษณ์คุณสักครู่”
ฟางจั๋วหรานหยุดเดิน “คุณเป็นนักข่าวเหรอ?”
“อื้ม ฉันเป็นผู้สื่อข่าวจากฉู่เป้าค่ะ” หนิวลี่ลี่ยืดอกด้วยความภาคภูมิใจ
ยุคสมัยนี้ อาชีพผู้สื่อข่าวเป็นอาชีพที่มีเกียรติ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการที่หล่อนเป็นผู้สื่อข่าวในสังกัดฉู่เป้า
ควรรู้ก่อนว่าฉู่เป้าไม่ได้เป็นแค่สำนักหนังสือพิมพ์ประจำท้องถิ่นเท่านั้น แต่ยังเป็นหนังสือพิมพ์ที่มียอดจำหน่ายสูงที่สุดในมณฑลอีกด้วย
ฟางจั๋วหรานถามกลับอย่างเฉยเมย “คุณอยากสัมภาษณ์เรื่องอะไร?”
“เรื่องที่คุณช่วยชีวิตคุณปู่ของฉันไว้”
“คุณแวะไปขอสัมภาษณ์จากเจ้าของร้านอาหารอ้ายฉินไห่ได้ ตอนนี้ผมยังไม่ว่าง” หลังจากฟางจั๋วหรานพูดจบแล้ว เขาก็เร่งฝีเท้าจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งหนิวลี่ลี่เอาไว้ข้างหลัง
เช้าวันรุ่งขึ้น ฟางจั๋วเยวี่ยติดตามพ่อแม่ของเขาไปที่บ้านของแม่เฒ่าหวัง
หวังเหวินฟางรู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง
ตอนแรกหล่อนกลัวว่าลูกชายจอมขวางโลกของตัวเองจะไม่ยอมมาเสียอีก
ถึงเขาจะมาก็ไม่ได้ส่งผลกระทบอะไรกับแผนการที่พวกหล่อนวางไว้ อย่างน้อยเขาก็ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับเรื่องนี้
แม่ของหล่อนต่างหากที่เป็นคนดูแลสถานการณ์โดยรวม
ห้องโถงในบ้านของแม่เฒ่าหวังซึ่งถูกใช้เป็นห้องนั่งเล่นเต็มไปด้วยผู้คนมากกว่าสิบ
นอกเหนือจากครอบครัวของหวังหรงแล้ว ยังมีลูกหลานและญาติ ๆ ตระกูลหวังอีกหลายราย
ฟางจั๋วเยวี่ยแอบขมวดคิ้วทันที
นี่แค่วันครบรอบวันตายเท่านั้นเอง ไม่ใช่งานศพเสียหน่อย ทำไมยายของเขาถึงเชิญญาติมากันมากมายขนาดนี้?
จนกระทั่งแม่เฒ่าหวังเห็นฟางจั๋วเยวี่ย ใบหน้าเหี่ยวย่นของหญิงชราจึงเบ่งบานอย่างมีความสุขราวกับดอกเบญจมาศ
เขาเป็นหลานชายแท้ ๆ ของนาง ถึงแม้ว่าความสนิทสนมที่มีต่อเขาจะไม่เท่ากับหวังเฉียงที่เป็นหลานชายอีกคนหนึ่ง แต่นางกลับชอบเขามากกว่า
แม่เฒ่าหวังถามไถ่สารทุกข์สุกดิบกับฟางจั๋วเยวี่ยอย่างตื่นเต้น แต่เขากลับไม่ใส่ใจตอบคำถามเท่าไรนัก
หวังเหวินฟางตำหนิเขา “ทำไมถึงได้ทำท่าทางอึดอัดนักล่ะ? คุยกับคุณยายให้มันดี ๆ หน่อยไม่ได้รึไง?”
พอฟางจั๋วเยวี่ยถูกดุต่อหน้าคนอื่น ใบหน้าของเขาก็ดำคล้ำราวกับก้นหม้อ แสดงท่าทางเพิกเฉยต่อคนอื่นมากขึ้นเรื่อย ๆ ก่อนจะจิบชาด้วยสีหน้าบูดบึ้ง
แม่เฒ่าหวังโบกมือห้ามหวังเหวินฟางพลางพูดว่า “จั๋วเยวี่ยไม่ได้มาที่นี่บ่อย ๆ อย่าตำหนิเขานักเลย”
หวังเหวินฟางได้ยินแบบนั้นก็หันไปถลึงตาใส่ลูกชายทันที “ดูซิว่าคุณยายใจดีกับแกแค่ไหน!”
ฟางจั๋วเยวี่ยถูกตำหนิอย่างต่อเนื่อง เขาจึงเบนสายตามองไปทางประตูลานบ้านด้วยความเหนื่อยหน่าย หันหลังให้ผู้เป็นแม่ทันที
ทันใดนั้นเขาเหลือบไปเห็นหวังหรงเดินตามลุงและป้าสะใภ้ของเขาเข้ามาในบ้าน ในมือหอบถุงผลไม้กับแตงโมลูกใหญ่ สีหน้าของพวกเขาเต็มไปด้วยรอยยิ้ม
ฟางจั๋วเยวี่ยเริ่มระแวดระวังมากขึ้นเรื่อย ๆ
ในวันครบรอบการเสียชีวิตของคุณตา แม้แต่ญาติห่าง ๆ ของแม่หวังหรงต่างก็มาที่นี่ด้วย ต่อให้บอกว่าไม่มีอะไรผิดปกติเขาคงไม่เชื่อเด็ดขาด
ภายนอกเขาอาจทำเป็นไม่สนใจ แต่ความจริงแล้วเขาพยายามสังเกตทุกคนในห้องอย่างลับ ๆ
เขาบังเอิญเห็นว่าหวังหรงแอบขยิบตาให้กับลูกพี่ลูกน้องห่าง ๆ ของหล่อนที่ชื่อหลูจ้าวซิ่ง หลังจากนั้นพวกเขาทั้งสองก็ทยอยเดินออกจากห้องนั่งเล่นไปทีละคนโดยอาศัยจังหวะที่ไม่มีใครสนใจ
เขารีบวางถ้วยชาในมือลง เดินออกจากห้องนั่งเล่น แอบตามพวกเขาไปอย่างเงียบเชียบ
หวังหรงเดินเข้าไปในห้องนอนก่อน หลูจ้าวซิ่งหันมองซ้ายขวา พอไม่เห็นใครเดินตามมาก็ก้าวตามหวังหรงเข้าไปในห้องนอนของหล่อนอย่างรวดเร็ว
ฟางจั๋วเยวี่ยที่แอบหลบอยู่หลังพุ่มดอกไม้รู้สึกสงสัย เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนทำท่าทางลับ ๆ ล่อ ๆ แบบนั้น
เขาค่อย ๆ ย่องเข้าไปใกล้ด้วยฝีเท้าที่เงียบที่สุด พยายามแอบมองเข้าไปในห้องผ่านทางหน้าต่าง
ช่วงกลางวันแสก ๆ แบบนี้ หน้าต่างห้องนอนของหวังหรงถูกบังไว้ด้วยม่านอีกชั้นหนึ่ง ทำให้เขามองไม่เห็นอะไรเลย
ฟางจั๋วเยวี่ยคิดกับตัวเองอยู่พักหนึ่ง จากนั้นก็ใช้ประโยชน์จากต้นแปะก๊วยของข้างบ้าน ออกแรงปีนสองสามครั้งอย่างคล่องแคล่วก็ขึ้นไปบนหลังคาได้สำเร็จ ทำให้มองลอดผ่านช่องรับแสงขนาดเล็กได้อย่างสะดวก
ระหว่างนั้นเขาหยิบกล้องขนาดเท่าฝ่ามือพร้อมกับเครื่องบันทึกเทปที่หยิบยืมมาจากฟางจั๋วหรานก่อนหน้านี้ จัดการกดบันทึกทันที
ภายในห้อง หลูจ้าวซิ่งหยิบขวดเล็ก ๆ ออกมาแล้วยื่นให้กับหวังหรง “ฉันเอายาที่เธอขอมาให้แล้ว ตามท้องตลาดทั่วไปไม่มียาตัวนี้ขายหรอกนะ ฉันหาสารต่าง ๆ มาผสมกันหลายครั้งกว่าจะใช้ได้ โชคดีที่ฉันเป็นครูสอนวิชาเคมีชั้นมัธยมปลาย ถ้าไปถามคนอื่นคงไม่มีใครยอมทำให้เธอแน่!”
“ขอบคุณมากนะพี่ชาย!”
หวังหรงพูดขอบคุณด้วยน้ำเสียงอ่อนหวาน เปิดฝาขวดแล้วดมอย่างระมัดระวัง
หลูจ้าวซิ่งพูดเสริมจากด้านข้าง “ไม่ต้องกลัว มันไม่มีสีไม่มีกลิ่น ลูกพี่ลูกน้องของเธอไม่มีทางจับได้แน่”
หวังหรงปิดฝาขวดลงตามเดิม “รอให้เรื่องนี้สำเร็จด้วยดี ฉันจะขอบคุณพี่อีกครั้ง”
หลูจ้าวซิ่งระงับความเศร้าสร้อยในใจพลางพูดว่า “ไม่จำเป็นต้องขอบคุณฉันหรอก ขอแค่เธอมีความสุขก็พอแล้ว”
หวังหรงรู้ว่าเขาคิดกับตัวเองเกินพี่น้อง
ถึงแม้จะรู้จุดประสงค์ว่าหล่อนขอยาตัวนี้ไปทำไม แต่เขาก็ยังยอมช่วยเหลือ แถมยังอวยพรให้หล่อนสมปรารถนาอย่างใจกว้าง หล่อนจึงรู้สึกสะเทือนใจเล็กน้อย พูดเบา ๆ ว่า “ฉันต้องมีความสุขมากแน่ จะไม่ทำให้พี่ต้องผิดหวัง”
หลูจ้าวซิ่งเหมือนนึกอะไรขึ้นได้ ถามว่า “เธอเตรียมธูปหญ้าหอมไว้เยอะหรือเปล่า? ถ้าจุดน้อยเกินไป ลำพังแค่ยาที่ฉันให้คงไม่เพียงพอจะทำให้เขาตอบสนองหรอก แต่อย่าให้ใครสังเกตถึงความผิดปกติเชียวนะ ไม่อย่างนั้นเป้าหมายคงบรรลุไม่ได้ง่าย ๆ”
หวังหรงพยักหน้า “ฉันเตรียมไว้แล้ว”
หล่อนกำขวดยาในมือเอาไว้แน่น
ตราบใดที่ฟางจั๋วหรานเผลอกินอาหารที่ผสมยาในขวดนี้เข้าไป ประกอบกับสูดดมกลิ่นจากธูปหญ้าหอม ต่อให้เขามีปีกก็ไม่สามารถบินหนีไปจากเงื้อมมือของหล่อนได้
พอคิดถึงตรงนี้ หวังหรงก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมาอย่างหมายมาด
ขณะนั้นเอง เสียงหวังเหวินฟางที่กำลังเรียกหาฟางจั๋วเยวี่ยก็ดังมาจากนอกห้อง
หวังหรงรีบผลักประตูห้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก ถามอย่างร้อนใจ “พี่รองหายตัวไปเหรอคะ ตั้งแต่เมื่อไหร่?”
“เมื่อกี้นี้เอง” หวังเหวินฟางแสดงท่าทางกระวนกระวายใจอย่างเห็นได้ชัด
หวังหรงอดไม่ได้ที่จะกระวนกระวายใจตาม ถ้าฟางจั๋วเยวี่ยไม่มาแอบฟังหล่อนก็แล้วไป
แต่ถ้าเป็นอย่างที่หล่อนกลัวล่ะ?
แผนการที่คุณย่าของหล่อนอุตส่าห์เตรียมการอย่างยากลำบากจะไม่ถูกเขาเปิดโปงหรอกเหรอ?
ขณะที่สองน้าหลานกำลังตกใจ พวกหล่อนก็เห็นฟางจั๋วเยวี่ยเดินเข้ามาพร้อมกับฟางจั๋วหรานจากนอกตัวบ้าน
ในที่สุดสองน้าหลานจึงถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
………………………………………………………………………………………………………………
(1)เต่าในไห อุปมาว่า อยู่ในการควบคุมโดยไม่สามารถหลบหนีได้
สารจากผู้แปล
เดาว่าจั๋วเยวี่ยน่าจะเอาเรื่องที่เห็นไปบอกพี่หมอเรียบร้อยแล้วแหละค่ะ เหลือแค่ซ้อนแผนตลบหลังเท่านั้นแหละยัยหรง ไม่ต้องกลัว แผนแตกตั้งแต่มีจั๋วเยวี่ยมาแล้วแหละ
ไหหม่า(海馬)