แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 295 แอบอ้างขอแทรกคิว
ตอนที่ 295 แอบอ้างขอแทรกคิว
ฟางจั๋วเยวี่ยเดินไปทางห้องอาหารอย่างไม่รีบร้อน เห็นว่าฟางจั๋วหรานไม่อยู่ที่นี่แล้ว
มุมปากเขายกขึ้นเล็กน้อย “เยี่ยมไปเลย!”
เขาเดินกลับมาแล้วบอกกับทุกคนว่า “พี่ชายผมกลับไปแล้ว”
แม่เฒ่าหวังยืนอึ้งไปพักใหญ่ ๆ ก่อนจะพูดว่า “ทุกคนหยุดแตกตื่นกันได้แล้ว รีบส่งตัวจ้าวซิ่งไปโรงพยาบาลเร็ว!”
ถ้าไม่รีบพาตัวส่งโรงพยาบาล เกรงว่าเขาคงตายเพราะเสียเลือดมากเกินไป ถ้าเป็นอย่างนั้น เรื่องทุกอย่างจะยิ่งวุ่นวายเข้าไปใหญ่
หวังเหวินฟางหันไปขอความช่วยเหลือจากฟางจั๋วเยวี่ย
ฟางจั๋วเยวี่ยปฏิเสธเสียงเรียบ “คนตระกูลหวังอยู่กันเยอะแยะ ทำไมมาพึ่งพาผมแค่คนเดียวล่ะ? ผมไม่ช่วยหรอก!”
ท้ายที่สุด หวังเหวินฟางที่โกรธแทบตายก็ได้แต่มองลูกชายเดินจากไปเพราะทำอะไรไม่ได้
ญาติตระกูลหวังเหล่านั้นเห็นว่าหลานชายของแม่เฒ่าหวังปฏิเสธไม่ยอมช่วยเหลือลูกชายของตัวเอง ก็อดคิดไม่ได้ว่าตัวเองช่วยอีกฝ่ายให้ได้อะไรขึ้นมา?
พอเกิดเรื่อง อีกฝ่ายแทบจะทาจาระบีที่พื้นรองเท้าแล้ววิ่งหนี
ตอนนี้พวกเขากำลังนึกเสียใจว่าทำไมตัวเองถึงหิวเงินถึงขนาดนี้
พวกเขาได้รับค่าจ้างแค่สิบหยวน แต่กลับยอมมาที่นี่ เพื่อเป็นสักขีพยานในการลงเอยระหว่างหวังหรงกับฟางจั๋วหราน!
กลับกลายเป็นว่าคนที่เกือบลงเอยกันไม่ใช่หวังหรงกับฟางจั๋วหราน แต่เป็นหวังหรงกับหลูจ้าวซิ่ง
เรื่องนั้นช่างเถอะ ตอนนี้หลูจ้าวซิ่งได้รับบาดเจ็บสาหัส ยังไม่รู้ว่าอาการร้ายแรงแค่ไหน เกิดลูกชายของพวกเขาได้รับอันตรายถึงแก่ชีวิต สาเหตุก็เป็นเพราะคนเหล่านี้
ตอนนี้ภายในบ้านเหลือแค่ครอบครัวของหลูจ้าวซิ่ง หวังเหวินฟางกับสามี แม่เฒ่าหวัง และครอบครัวของหวังหรง
ฟางเว่ยกั๋วกลัวว่าแม่เฒ่าหวังอาจขอให้เขาช่วยพาตัวหลูจ้าวซิ่งไปส่งโรงพยาบาล
เพราะถ้าระหว่างนั้นเขาบังเอิญเจอคนรู้จัก แล้วอีกฝ่ายถามไถ่ถึงต้นสายปลายเหตุ เขาไม่รู้ว่าควรตอบคำถามอย่างไรดี ในฐานะที่เป็นถึงหัวหน้าองค์กรรัฐวิสาหกิจขนาดใหญ่ เขาไม่เสียหน้าแย่หรือ?
เขารีบออกตัวทันที “ผมยังมีธุระที่ต้องจัดการ” ว่าแล้วก็ปลีกตัวจากไปอย่างไม่แยแส
สุดท้าย พ่อหรงและแม่หรงก็ต้องเป็นคนพาตัวหลูจ้าวซิ่งไปส่งโรงพยาบาลผู่จี้ที่อยู่ใกล้ที่สุด
หวังเหวินฟางเองก็อยากหนีเอาตัวรอดแทบตาย แต่แม่หรงกลับไม่ยอมปล่อยให้หล่อนลอยตัว
การส่งตัวหลูจ้าวซิ่งเข้าโรงพยาบาลแบบนี้ แน่นอนว่าต้องเสียค่าใช้จ่ายจำนวนมาก
หวังเหวินฟางเป็นคนเดียวที่มีเงินพอจ่าย แม่หรงจะปล่อยหล่อนไปได้อย่างไร?
แม่หลูและลูกสาวที่เดินตามมาข้างหลังร้องไห้เสียงดังลั่น ทำให้การส่งตัวไปโรงพยาบาลดูเหมือนเป็นการส่งศพเสียมากกว่า เพื่อนบ้านก็รีบวิ่งออกมาดูโดยไม่คำนึงถึงสภาพอากาศที่ร้อนจัด เพราะอยากรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่
พอเห็นร่างคนนอนเหยียดยาวอยู่หน้าประตู ตอนแรกพวกเขานึกว่าคนที่ได้รับบาดเจ็บคือคุณยายหวัง
ถึงแม้ปกติแม่เฒ่าหวังจะมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงดี แต่นางก็เป็นหญิงสูงอายุคนหนึ่ง จึงไม่แปลกหากจะล้มป่วยลงอย่างกะทันหัน
แต่พอมองเข้าไปใกล้ ๆ พวกเขาพบว่าคนที่นอนอยู่ไม่ใช่แม่เฒ่าหวัง แต่เป็นชายหนุ่มคนหนึ่งที่บริเวณศีรษะและใบหน้าชุ่มโชกไปด้วยเลือด ทุกคนจึงประหลาดใจไปตาม ๆ กัน
เพื่อนบ้านบางคนหันไปถามหวังเหวินฟางว่าเกิดอะไรขึ้น แต่หวังเหวินฟางแกล้งทำเป็นรีบร้อนจนไม่ได้ยินคำถามของบรรดาเพื่อนบ้าน จึงไม่มีใครได้รับคำตอบ
หล่อนแอบก่นด่าแม่หลูในใจไม่ได้
เกิดเรื่องอื้อฉาวขึ้นในบ้านแทนที่จะอยู่เงียบ ๆ เข้าไว้ ผู้หญิงคนนี้ก็ช่างกระไร กลับนำลูกสาวแหกปากร้องไห้เสียงดังซะอย่างนั้น กลัวว่าคนอื่นจะไม่รู้หรืออย่างไรกัน!
ทันทีที่พวกเขามาถึงโรงพยาบาล คนกลุ่มนี้ก็ร้องตะโกนให้ทีมแพทย์รีบส่งตัวหลูจ้าวซิ่งเข้าห้องฉุกเฉิน
เผอิญว่าก่อนหน้านี้ บนทางหลวงเกิดอุบัติเหตุร้ายแรงทางจราจรขึ้น ทำให้แผนกฉุกเฉินแน่นขนัดไปด้วยผู้ป่วยที่รอรับการรักษา
แม่หลูเดินนำสามีกับพ่อหรงเข็นเตียงของหลูจ้าวซิ่งเข้าไปข้างใน พยายามแทรกคิวคนอื่นอย่างไร้มารยาท ทำให้บรรดาผู้บาดเจ็บและญาติ ๆ ของพวกเขาที่ต่อแถวอย่างเป็นระเบียบไม่พอใจมาก จนเกิดการทะเลาะเบาะแว้งรุนแรงระหว่างทั้งสองฝ่าย
แม่หรงอยากให้หลูจ้าวซิ่งเข้าห้องฉุกเฉินโดยเร็วที่สุด เพราะถ้าเกิดอะไรร้ายแรงขึ้นกับเขา ครอบครัวของหลูจ้าวซิ่งคงไม่มีทางปล่อยพวกเขาไปแน่
หล่อนเท้าสะเอววางอำนาจ พูดเสียงดังลั่น “พวกคุณรู้ไหมว่าศาสตราจารย์ฟางจั๋วหรานที่เป็นหมอของโรงพยาบาลผู่จี้คือใคร เขาเป็นหลานชายคนโตของฉัน! ฉันขอแทรกคิวแล้วจะเป็นไรไป? ในเมื่อฉันมีสิทธิพิเศษเพียงพอ!”
ทันทีที่หล่อนพูดแบบนั้น ความขัดแย้งตรงหน้าห้องฉุกเฉินก็ยิ่งทวีความรุนแรงขึ้น จากที่ทั้งสองฝ่ายแค่ด่าทอกันไปมา ตอนนี้ถึงขั้นออกแรงผลักกัน
หลังจากฟางจั๋วหรานปลีกตัวออกมาจากบ้านของแม่เฒ่าหวัง เขาก็กลับไปที่หอสมุดของมหาวิทยาลัยการแพทย์ผู่จี้เพื่ออ่านหนังสือ
กระทั่งไม่นานมานี้ ทางโรงพยาบาลโทรมาแจ้งว่าเกิดอุบัติเหตุทางจราจรหลายขนาน บรรดาผู้บาดเจ็บต่างมีอาการย่ำแย่ ต้องได้รับการรักษาโดยด่วน
แต่แผนกฉุกเฉินกลับมีทีมแพทย์ไม่เพียงพอ ดังนั้นจึงขอความช่วยเหลือจากเขาอีกแรงหนึ่ง
ฟางจั๋วหรานรีบเข้าไปช่วยแผนกฉุกเฉินทันทีโดยไม่อิดออด
ทันทีที่แม่หรงเหลือบไปเห็นเขาก็ตื่นเต้นราวกับเจอพระมาโปรด ตะโกนเรียกเขาทันที “จั๋วหราน จ้าวซิ่งลูกพี่ลูกน้องของเธอได้รับบาดเจ็บ ช่วยลัดคิวให้เขาได้เข้าห้องฉุกเฉินเร็วเข้า!”
จากนั้นหล่อนก็หันไปตอกหน้าผู้ป่วยและญาติ ๆ ของเขาที่กำลังโต้เถียงกับหล่อนอยู่ด้วยความภาคภูมิใจ “คุณหมอฟางหลานชายของฉันอยู่ที่นี่แล้ว!”
ทุกคนหันมองไปทางฟางจั๋วหรานพลางส่งสายตาไม่พอใจ
ฟางจั๋วหรานถามแม่หรงด้วยน้ำเสียงเย็นชาห่างเหิน “เราเกี่ยวข้องกันตั้งแต่เมื่อไหร่? หยุดอ้างว่าผมเป็นญาติของคุณเสียที”
ทันทีที่ผู้บาดเจ็บและญาติ ๆ ของพวกเขาที่กำลังต่อแถวได้ยินแบบนั้น ทุกคนต่างก็จ้องมองไปทางแม่หรงด้วยสายตาเหยียดหยาม พากันด่าทอหล่อนด้วยสารพัดถ้อยคำน่าเกลียดเท่าที่จะสรรหามาได้
“ฉันก็นึกว่าหล่อนมีสิทธิพิเศษจริง ๆ ซะอีก ที่แท้ก็เป็นแค่เรื่องโกหก ยังมีหน้ามาแทรกคิวพวกเรา!”
“หล่อนไม่มีสิทธิ์พิเศษอะไรทั้งนั้น แต่ดันอวดอ้างเหมือนเป็นเรื่องจริง หล่อนยืนยันว่าคุณหมอฟางเป็นหลานชาย แต่เขากลับปฏิเสธซึ่งหน้า โดนตบหน้าขนาดนี้รู้สึกเจ็บบ้างไหม!”
“คงไม่เจ็บหรอก ก็หล่อนหน้าหนาซะปานนั้น”
แม่หรงได้ยินคำพูดเสียดสีรุนแรงเหล่านั้นก็อับอายจนหน้าแดงก่ำ ยังคงตำหนิฟางจั๋วหราน “เด็กคนนี้ แม้แต่ป้าของตัวเองก็จำไม่ได้แล้วเหรอ!”
ใบหน้าของฟางจั๋วหรานมืดมนลง “อย่าพูดจาพล่อย ๆ อีก! ผมจะพูดย้ำอีกครั้ง ว่าผมไม่มีความสัมพันธ์เกี่ยวข้องกับคุณเลยแม้แต่น้อย!”
แม่หรงไม่ยอมแพ้ หันไปลากหวังเหวินฟางที่แทบอยากหายตัวไปจากตรงนี้ “แม่ของเธออยู่ที่นี่ทั้งคน กล้าดียังไงถึงปฏิเสธว่าฉันไม่ใช่ป้า!”
ฟางจั๋วหรานดูถูก “หล่อนไม่ใช่แม่ผม!”
แม่หรงจ้องเขม็ง “หล่อนจะไม่ใช่แม่ได้ยังไง แม่เลี้ยงก็เป็นแม่เหมือนกัน!”
ฟางจั๋วหรานแค่นเสียงหัวเราะหึ “แม่เลี้ยงก็เป็นแม่เหมือนกัน? ผมสมควรเรียกผู้หญิงที่มาแย่งพ่อไปจากแม่ว่าแม่เหรอ?”
บรรดาผู้บาดเจ็บและญาติ ๆ ที่ได้รับชมละครคุณธรรมเชิงครอบครัวในเวอร์ชันสมจริง เริ่มปะติดปะต่อเรื่องทั้งหมดได้หลังจากเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด
ที่แท้แม่เลี้ยงของคุณหมอฟางก็เป็นมือที่สามที่ทำให้ครอบครัวร้าวฉานนี่เอง ไม่น่าแปลกใจเลยว่าทำไมเขาถึงได้ดูรังเกียจครอบครัวฝ่ายแม่เลี้ยงนักหนา
เสียงวิพากษ์วิจารณ์เริ่มหนาหู
“ฉันเคยเห็นคนไร้ยางอายมาเยอะ แต่ไม่เคยเห็นใครไร้ยางอายขนาดนี้มาก่อน ที่แท้คุณป้าคนนี้ก็เป็นมือที่สามของครอบครัวคนอื่นนี่เอง มิน่าล่ะถึงได้ทำตัวต่ำ ๆ กันทั้งครอบครัวแบบนี้!”
“ผู้หญิงคนนั้นเคยแย่งผู้ชายมาจากภรรยาของเขา แสดงว่าญาติของหล่อนก็ไม่ต่างกัน ไหนเลยจะมีความละอายอยู่ในจิตสำนึก!”
พอได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์เหล่านั้น หวังเหวินฟางก็แทบอยากแทรกแผ่นดินหนี
ตอนที่แม่หรงพยายามเอาชนะคนอื่น ๆ โดยแอบอ้างชื่อของฟางจั๋วหราน หล่อนนึกอยู่แล้วว่าท้ายที่สุดต้องเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นแน่
ดังนั้นจึงพยายามทำตัวให้ลีบแบนที่สุดเหมือนไม่มีตัวตน เพราะกลัวว่าจะถูกสังคมตราหน้าจนได้รับความอับอาย
ถึงอย่างนั้นก็ยังโดนพี่สะใภ้ลากออกไปจนถูกสาธารณชนรุมประจาน
ฟางจั๋วหรานเรียกนางพยาบาลคนหนึ่งมาตำหนิด้วยน้ำเสียงเข้มงวด “คนนอกเข้ามาสร้างปัญหาถึงที่แบบนี้ ทำไมยังไม่โทรเรียกรปภ.มาระงับเหตุอีก!”
นางพยาบาลคนนั้นรีบโทรหารปภ.ของทางโรงพยาบาลทันที
ฟางจั๋วหรานเลิกสนใจหวังเหวินฟางและพี่สะใภ้ของหล่อน เดินเข้าไปในห้องฉุกเฉินแล้วเริ่มทำการรักษาผู้ป่วยที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสหลายราย ทั้งยังทำการผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะ แทบไม่มีเวลาพักหายใจ
ผ่านมาเกือบสามถึงสี่ชั่วโมงนับตั้งแต่หลูจ้าวซิ่งถูกพาตัวส่งโรงพยาบาล ท้องฟ้าข้างนอกมืดค่ำแล้ว
หลูจ้าวซิ่งได้รับการเย็บแผลเรียบร้อย แต่ยังต้องนอนพักอยู่ที่แผนกผู้ป่วยในเป็นเวลาสองถึงสามวันเพื่อเฝ้าสังเกตอาการ
พอหวังเหวินฟางปลีกตัวออกมาจากวอร์ดผู้ป่วยได้ หล่อนก็ตรงเข้าไปหาฟางจั๋วหราน ตะคอกด้วยน้ำเสียงเย็นชา “อย่าคิดว่าการที่ตัวเองเพิกเฉยต่อความเป็นตายของเขาแล้วพวกเราจะไม่มีทางเลือก อย่างน้อยหมอคนอื่นก็เต็มใจเย็บแผลให้จ้าวซิ่ง!”
ฟางจั๋วหรานไม่สนใจหล่อน เดินผ่านหน้าหล่อนไป และเข้าไปในห้องพักแพทย์
พอเห็นหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่งวางอยู่บนโต๊ะของตัวเอง ก็นึกว่าเพื่อนร่วมวิชาชีพคนอื่นหยิบมาอ่านแล้วโยนไว้บนโต๊ะของเขา
ขณะที่กำลังจะเก็บมันเข้าชั้นวาง พยาบาลอีกคนผ่านมาเห็นเข้าก็พูดว่า
“คุณหมอฟางคะ หนิวลี่ลี่หลานสาวของคุณหนิวเอาหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นมาวางไว้บนโต๊ะของคุณเป็นพิเศษ ยังบอกด้วยว่าบทความที่หล่อนเขียนเกี่ยวกับคุณถูกตีพิมพ์เรียบร้อยแล้ว เลยอยากให้คุณอ่านค่ะ”
ฟางจั๋วหรานเพิ่งสังเกตว่ากรอบบทความบนหน้าหนังสือพิมพ์ถูกทำเครื่องหมายไว้
บทความดังกล่าวลงนามผู้เขียนโดยหนิวลี่ลี่
เขากวาดสายตาอ่านคร่าว ๆ เห็นว่าบทความนั้นเขียนเกี่ยวกับเหตุการณ์ในร้านอ้ายฉินไห่ที่เขาช่วยชีวิตคุณปู่ของเธอเอาไว้
หนิวลี่ลี่ยกย่องว่าเขาเป็นหมอที่มีจรรยาบรรณสูงส่ง แถมยังมีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม สามารถรักษาชีวิตผู้ป่วยไว้มากมาย
ทุกบรรทัดเป็นความจริงทั้งหมด
ฟางจั๋วหรานวางหนังสือพิมพ์ลงบนชั้นวางอย่างใจเย็น ขณะที่กำลังจะอ่านเวชระเบียน หนิวลี่ลี่ก็ต่อสายโทรเข้ามา
ประโยคแรกที่หล่อนถามคือ “คุณหมอฟางคะ ได้อ่านบทความที่ฉันเขียนเกี่ยวกับคุณแล้วหรือยัง?”
“อ่านแล้ว” น้ำเสียงของฟางจั๋วหรานช่างราบเรียบ
“คุณมีความเห็นยังไงบ้างคะ?”
ฟางจั๋วหรานขมวดคิ้วเมื่อรู้ว่าหนิวลี่ลี่พยายามจะต่อบทสนทนากับเขาประโยคแล้วประโยคเล่า “ขอโทษด้วย ผมยังไม่มีเวลาคุย”
พูดจบแล้ว เขาไม่รอให้หนิวลี่ลี่ตอบกลับ เป็นฝ่ายวางสายใส่หล่อนอย่างไร้เยื่อใย
อีกด้านหนึ่งของโทรศัพท์ หนิวลี่ลี่รู้สึกผิดหวังมาก
แต่ต่อให้ฟางจั๋วหรานพยายามตีตัวออกห่างจากหล่อนสักกี่พันลี้ เธอก็ยิ่งอยากพิชิตใจเขามากขึ้นเท่านั้น
……………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
รักษาตามคิวนะจ๊ะ มาทำเป็นเบ่งขอลัดคิวไม่ได้เด้อ
มีผีเสื้อมาตอมพี่หมออีกคนหนึ่งแล้ว พี่หมอ…เขา…มี…แฟน…แล้ว…ย่ะ
ไหหม่า(海馬)