แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 308 แม่ลูกถูกจับ
ตอนที่ 308 แม่ลูกถูกจับ
เหล่าคนกินแตงจำนวนไม่น้อยกรูเข้าไปดู จึงรู้ว่าวีรสตรีช่วยเหลือภัยพิบัติน้ำท่วมที่หนังสือพิมพ์และโทรทัศน์รายงานถึงเมื่อช่วงก่อนหน้านี้คือหลินม่าย ก็เกิดความเคารพนับถือขึ้นมา พอเป็นเช่นนั้นเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ยิ่งยืนอยู่ฝั่งของเธอ
ซุนกุ้ยเซียงเห็นฝูงชนต่างกล่าวโทษนางแล้วก็คิดว่าหากยังก่อปัญหาต่อไปคงไม่เกิดผลดีอะไรขึ้นมา ทั้งยังอาจถูกผู้คนที่แค้นเคืองจับไปส่งที่สถานีตำรวจอีกครั้ง นางจึงตะเกียกตะกายลุกขึ้นวิ่งหนีไป
ลูกน้องของเฉินเฟิงสองสามคนที่แอบปกป้องหลินม่ายอยู่ลับๆ รอจนซุนกุ้ยเซียงปลีกตัวออกมาจากฝูงชนที่มามุงดูแล้วก็กรูกันเข้าไปหานางทันที
พวกเขาแย่งกันพูดจนฟังไม่ได้ศัพท์ “คุณป้า เรื่องอะไรที่แก้ไขไม่ไหว เดี๋ยวพวกเราช่วยแก้ให้เอง ไปกันเถอะ เราไปหาที่ดีๆ คุยกัน!”
ซุนกุ้ยเซียงเห็นวัยรุ่นสองสามคนพูดจาเป็นมิตร และนึกไปว่าเป็นศัตรูของหลินม่าย จึงเดินจากไปพร้อมกับกลุ่มเด็กหนุ่มอย่างชื่นมื่น
นางเดินไปพลางพูด “ได้เลยๆ ถึงตอนนั้นพวกเธอต้องจัดการส่งนังสารเลวนั่นลงนรก ให้หล่อนมอบเงินกับบ้านมาให้ฉันให้หมด!”
เด็กหนุ่มสองสามคนนั้นมองหน้ากันแล้วยิ้ม เอ่ยอย่างมีเลศนัย “วางใจได้เลย! จะส่งลงนรกให้แน่นอน! ให้นังนั่นไม่กล้าแม้แต่จะคิดล้ำเส้นเลย!”
หลินเพ่ยที่แอบตามมาข้างหลังได้ยินเข้าก็เห็นท่าไม่สู้ดี พลันหมุนตัววิ่งไปในทิศตรงกันข้าม
แต่เพิ่งวิ่งไปถึงตรอกเล็กๆ เส้นหนึ่ง ก็มีอันธพาลสองคนมาขวางทางหล่อนเอาไว้
หล่อนตกใจจนหน้าซีดขาว รีบร้อนหมุนตัววิ่งหนี แต่คิดไม่ถึงว่าข้างหลังก็ยังมีอันธพาลอีกสองคน
หลินเพ่ยคุกเข่าลงดังตึง แล้วก้มศีรษะขอร้องอ้อนวอน “พี่ชาย พี่ชายทุกท่าน ปล่อยฉันไปเถอะนะ”
ด้านหลังของหล่อนมีอันธพาลคนหนึ่งเดินขึ้นไปข้างหน้า ก่อนสับสันมือลงบนหลังคอของหล่อน
หลินเพ่ยยังไม่ทันแม้แต่จะส่งเสียงร้องก็สองตาเหลือกขาว แล้วทรุดหมดสติลงไปทันที
ทันใดนั้นอันธพาลสองคนก็เดินขึ้นมาข้างหน้า เอากระสอบคลุมตัวหล่อนแล้วแบกไป
ไม่ถึงหนึ่งนาที คนกลุ่มนั้นก็หายตัวไปอย่างไร้ร่องรอย ราวกับว่าตรอกแห่งนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน
อันธพาลสามสี่คนนั้นแบกหลินเพ่ยมายังบ้านร้างทรุดโทรมที่เหมือนจะพังมิพังแหล่แห่งหนึ่ง ก่อนโยนกระสอบทิ้งลงกับพื้น แล้วพูดกับผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างบน “พี่เฟิง จับคนมาแล้วครับ”
ในตอนนั้นซุนกุ้ยเซียงที่ถูกพามาถึงก่อนก็สังเกตเห็นความผิดปกติบางอย่าง นางมองชายหนุ่มหน้าตาดีคนนั้นที่นั่งอยู่ข้างบนด้วยความสับสนและหวาดกลัว
เขากำลังมองมาทางนางด้วยรอยยิ้มร้ายกาจที่เหมือนจะยิ้มก็ไม่ยิ้ม จนพาให้รู้สึกอกสั่นขวัญหาย
ซุนกุ้นเซียงกระตุกมุมปาก เผยรอยยิ้มฝืดๆ ออกมา “น้องชายทั้งหลาย เรื่องของฉันไม่รบกวนพวกเธอแล้วล่ะ ฉัน… ฉันไปล่ะนะ…”
นางยังไม่ทันจะก้าวขา ลูกน้องคนหนึ่งก็คว้าผมเอาไว้ แล้วตบหน้านางอย่างรุนแรง “ใครเป็นน้องชายแกวะ? อีแก่ชั้นต่ำนี่!”
ซุนกุ้ยเซียงถูกตบจนร้องโหยหวนเหมือนผีสาง พลางขอร้องให้ยกโทษไม่หยุด “ฉันผิดไปแล้ว ปล่อยฉันไปเถอะ ได้โปรดปล่อยฉันไปเถอะ!”
ตอนที่หลินเพ่ยในกระสอบถูกโยนทิ้งลงพื้น ความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นก็ปลุกหล่อนจนตื่นขึ้นมา
ได้ยินทุกๆ สิ่งข้างนอกนั้นทั้งหมด หล่อนตกใจจนร่างสั่นเทิ้ม แล้วแกล้งตายต่อไป
เฉินเฟิงที่นั่งอยู่ข้างบนรอจนลูกน้องทุบตีใบหน้าของซุนกุ้ยเซียงจนบวมช้ำ ฟันหลุดร่วงลงมาหลายซี่ และดวงตาถูกตีจนปูดบวมลืมแทบไม่ขึ้น เมื่อนั้นถึงได้หยุดมือ แล้วเอ่ยขึ้นอย่างเกียจคร้าน
“ได้ยินว่าคุณอยากให้หลินม่ายตาย แล้วยังอยากจะยึดเอาทรัพย์สินของหล่อนมาอีกเหรอ?”
ในตอนนั้นซุนกุ้ยเซียงก็รู้ชัดเจนแจ้มแจ้งไปนานแล้ว ว่าคนพวกนี้ไม่เพียงแต่ไม่ใช่ศัตรูของหลินม่าย กลับยังเป็นพันธมิตรกับเธอด้วย
นางหวาดกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อ ก้มหัวขอร้องอ้อนวอน “ฉันพูดออกมาเพราะความโมโหชั่ววูบ นายท่านทั้งหลายได้โปรดอย่างถือเป็นจริงเป็นจังเลย!”
นางพูดพลางน้ำตาไหลพราก
“แต่ฉันอยากจะถือ!” เฉินเฟิงมองไปทางนางด้วยสายตาเย็นยะเยือก “คุณอยากให้หลินม่ายตาย แต่ผมอยากให้คุณรู้สึกเหมือนตายยังดีกว่าอยู่!”
เขากวักมือ ลูกน้องคนหนึ่งเดินเข้ามาทันที พลันตวัดแส้ที่จุ่มเหล้าเอาไว้แล้วฟาดใส่นาง
เมื่อแส้นั้นฟาดใส่ร่างของนางก็เรียกเลือดได้ทันที เหล้าที่อยู่บนแส้กระตุ้นให้เกิดรอยแผลเป็น ทั้งทำให้เจ็บปวดจนแทบไม่อยากมีชีวิตอยู่
ซุนกุ้ยเซียงกรีดร้องโหยหวนพร้อมกับคร่ำครวญด้วยความเจ็บปวด “ฉันเองก็เป็นผู้เสียหายเหมือนกันนะ เดิมทีฉันไม่เคยคิดจะมาหาหลินม่าย เป็นเพราะฉันหน้ามืดตามัว ถูกลูกสาวคนโตล่อให้มา พวกคุณได้โปรดปล่อยฉันไปเถอะ ถ้าจะมีเรื่องก็ไปมีกับลูกสาวคนโตของฉัน ฉันก็แค่ถูกหล่อนหลอกใช้เท่านั้นเอง!”
เฉินเฟิงทำสัญญาณให้หยุด แล้วให้คนเทหลินเพ่ยที่อยู่ในกระสอบออกมา
แม้แต่ตอนที่หลินเพ่ยถูกเทออกมา ศีรษะก็กระแทกกับพื้นคอนกรีต เจ็บจนตาลายไปหมด แต่หล่อนก็ฝืนทนไม่ส่งเสียงแล้วแกล้งตายต่อไป
เฉินเฟิงเบนสายตาไปที่หลินเพ่ย “นี่ใช่ลูกสาวคนโตของคุณหรือเปล่า?”
ซุนกุ้ยเซียงรีบร้อนพยักหน้า “ใช่ๆๆ หล่อนนั่นแหละ!”
เฉินเฟิงออกคำสั่งกับลูกน้อง “ทำให้นังนั่นตื่นขึ้นมา ฉันอยากเห็นพวกหล่อนสองแม่ลูกปะทะกันเอง ดูว่าใครเป็นตัวการกันแน่”
ลูกน้องคนนั้นเตะหลินเพ่ยอย่างแรง เมื่อเห็นหล่อนไร้ปฏิกิริยาตอบสนอง ก็โมโหขึ้นมาทันที “อยากแกล้งตายนักใช่ไหม?”
เขาชักมีดพกที่พกติดตัวออกมา แล้วแทงเข้าที่ต้นขาของหลินเพ่ย
หลินเพ่ยเจ็บจนสติแจ่มชัด หล่อนกรีดร้องโหยหวนราวกับไม่ใช่เสียงคน
ลูกน้องคนนั้นเช็ดคราบเลือดบนมีดพกที่แทงขาของหล่อน แล้วเอ่ยเย้ยหยัน “นี่คือค่าตอบแทนที่แกแกล้งตาย!”
เฉินเฟิงขมวดคิ้วถามหลินเพ่ย “ห้ามร้อง! ฉันจะถามเธอ ระหว่างเธอกับแม่ของเธอ ใครกันแน่ที่เป็นตัวการอยากจะคิดบัญชีหลินม่าย?”
สองแม่ลูกชี้ไปทางฝ่ายตรงข้ามพร้อมกัน “เธอ!”
ซุนกุ้ยเซียงโกรธจนตาแทบถลน “เป็นแกแท้ๆ นังตัวซวยที่มาเสี้ยมสอนยุยงฉัน ตอนนี้กลับใส่ความฉันเสียนี่! ฉันจะฉีกปากของแกให้ขาด!”
พูดจบนางก็กระโจนเข้าไปทำร้ายหลินเพ่ย ส่วนหลินเพ่ยก็สู้กลับเต็มกำลัง
สองแม่ลูกสู้กันตะลุมบอน ทั้งยังลงมืออย่างโหดเหี้ยม
ต้นขาของหลินเพ่ยถูกมีดแทง บวกกับที่ไม่เคยทำการเกษตรเลยตลอดทั้งปี ร่างกายจึงไม่มีเรี่ยวแรงนัก ไม่นานก็ถูกซุนกุ้ยเซียงกดขยี้ลงกับพื้น ทุบตีเสียจนไม่รู้ลูกผีลูกคน
เฉินเฟิงเห็นว่าพอสมควรแล้ว จึงให้ลูกน้องจับพวกหล่อนแยกออกจากกัน
แล้วลงแส้จุ่มเหล้าใส่พวกหล่อนคนละที
เขาเตือนพวกหล่อนทั้งสองอย่างเย็นชา “ครั้งนี้ผมแค่ให้บทเรียนพวกคุณเล็กๆ น้อยๆ ถ้าหากพวกคุณยังกล้ามาวุ่นวายกับหลินม่ายอีก ก็รอความตายได้เลย!”
พูดจบ เขาก็ลุกขึ้นแล้วเดินจากไป กลุ่มลูกน้องพวกนั้นก็รีบตามหลังเขาไปเช่นกัน
ลูกน้องคนหนึ่งที่เดินอยู่ข้างหลังสุดชี้หน้าสองแม่ลูกที่สภาพร่อแร่แล้วเอ่ยเหี้ยมเกรียม
“อย่าคิดจะไปแจ้งความ พี่น้องของเรามีอยู่มากมาย ถ้าพวกแกกล้าแจ้งตำรวจ เราจะสับพวกแกเป็นชิ้นๆ แล้วโยนลงแม่น้ำแยงซีให้ปลากิน!”
ไม่นาน ในบ้านร้างก็เหลืออยู่เพียงสองแม่ลูก
หลินเพ่ยเห็นซุนกุ้ยเซียงใช้สายตาที่คิดจะฆ่าคนมองมายังหล่อน ในใจก็เกิดหวาดกลัวขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ พลันตะเกียกตะกายลุกขึ้นวิ่งโซซัดโซเซไปที่ประตู
ในตอนนั้นเอง ฝ่าเท้าใหญ่หลายคู่ก็ปรากฏขึ้นที่ประตู ผู้ชายสามสี่คนขวางทางหนีของหล่อนเอาไว้
ผู้ชายหนึ่งในนั้นเอ่ยด้วยรอยยิ้มชั่วร้าย “เธออยากจะไปไหนอย่างนั้นเหรอ? พี่เฟิงของพวกเราบอกให้ต้อนรับแขกให้ดี ถ้าเธอจะไปแบบนี้ แล้วจะเอาหน้าของพี่เฟิงไปไว้ไหนกันล่ะ?”
พูดจบ ก็เดินเข้ามาใกล้หล่อนทีละก้าว
หลินเพ่ยตกใจกลัวจนก้าวถอยหลังไปเรื่อยๆ เอ่ยสำเนียงถิ่นออกมาด้วยความหวาดผวา “แก… พวกแกคิดจะทำอะไร?”
ลูกน้องคนหนึ่งแสดงสีหน้าเหยียดหยาม “เธอคิดว่าพวกเราจะวางแผนทำมิดีมิร้ายกับเธองั้นเหรอ? สารรูปอย่างเธอไม่คู่ควรหรอก! เธอนี่มันเพ้อเจ้อจริงๆ!”
หลินเพ่ยถูกทุบตีอีกครั้ง
เมื่อก่อนสมัยเรียนหนังสือ พวกผู้ชายมีใครบ้างไม่คิดว่าหล่อนบริสุทธิ์ไร้เดียงสา นุ่มนวลน่ารักดั่งดอกบัวท่ามกลางสายลมอ่อนโชย
ใครบ้างไม่เข้ามารายล้อมอยู่รอบตัวหล่อน เห็นหล่อนเป็นแสงสว่างในใจ แม้แต่ผู้หญิงเองก็ยังอิจฉาริษยา มีแค่ไม่กี่ครั้งที่เคยถูกรังเกียจแบบนี้!
ทว่านับตั้งแต่เข้ามาในเมืองครั้งนี้ ก็ถูกเหยียดหยามดูแคลนเช่นนี้หลายครั้งหลายคราแล้ว
ในใจของหลินเพ่ยนั้นหวังอยากให้ผู้ชายพวกนี้คิดมิดีมิร้ายกับหล่อน
ขอแค่ไม่ต้องเจ็บปวดทางกาย หล่อนสามารถปล่อยให้พวกเขาเล่นกับหล่อนตามต้องการ เพราะสำหรับหล่อนแล้วมันก็คือความเพลิดเพลิน
แต่พวกเขากลับไม่ได้หมายความในด้านนั้น ตอนนี้…ก็จะเฆี่ยนตีหล่อนอีกครั้งอย่างนั้นเหรอ?
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
คนอย่างสองแม่ลูกคู่นี้เจอมวยถูกคู่แล้วล่ะ คนอย่างพวกเธอมันต้องเจอคนโหดยิ่งกว่าถึงจะรู้สำนึก
ไหหม่า(海馬)