แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 35 ค้าขายอย่างสงบ
ตอนที่ 35 ค้าขายอย่างสงบ
หลินม่ายไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับความขัดแย้งในคืนนั้นของสองแม่ลูกเถียหนิว
เช้าตรู่วันต่อมา เธอก็เตรียมทุกอย่างไว้พร้อมตั้งแต่หกโมงเช้า ลากรถเข็นไปตั้งแผงขายที่ท่าเรือ และเห็นร้านค้ามากมายพากันเปิดแผงขายอาหารเช้า
มีทั้งปาท่องโก๋ ทั้งก๋วยเตี๋ยว และยังมีบะหมี่แห้งรสเผ็ดซึ่งเป็นอาหารเช้าขึ้นชื่อของเจียงเฉิงอีกไม่น้อยด้วย
แผงขายอาหารเหล่านี้ไม่เพียงแต่เปิดขายอยู่นอกหมู่บ้าน ในหมู่บ้านซานหยางก็ยังมี
แม้ยุคสมัยนี้การเป็นเจ้าของร้านจะเป็นอาชีพน่าอาย แต่ถ้าเป็นร้านแผงลอยหาบเร่ที่ไม่มีใบอนุญาตคงโดนดูถูกมากกว่านี้
มีเพียงชาวเมืองที่มีทะเบียนบ้านในเมืองเท่านั้นที่ตระหนักในเรื่องนี้ ส่วนชาวบ้านในหมู่บ้านชานเมืองที่มีทะเบียนบ้านของเกษตรกรจะไม่มีความคิดนี้
พวกเขาสร้างกิจการขึ้นมาโดยไร้ซึ่งความละอายใจ ในสายตาของพวกเขา การหาเงินเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่งกว่า
ไม่ต้องอมทุกข์ห่วงแต่ชื่อเสียงเหมือนกับพวกชาวเมืองที่มีทะเบียนบ้านในเมือง เพราะเหตุนี้ถึงได้อยู่กันอย่างสงบสุข
ชาวบ้านในหมู่บ้านซานหยางเห็นหลินม่ายก็ส่งยิ้มทักทาย พวกนอกหมู่บ้านที่ไม่รู้จักมักจี่กับเธอต่างพากันเพิกเฉย
หลินม่ายส่งยิ้มกลับให้พวกชาวบ้านเหล่านั้น
เธอไม่ได้อยากจะแข่งขันในอาชีพเดียวกัน ตราบใดที่ไม่ใช่การแข่งขันที่น่ารังเกียจก็ย่อมรับได้
เดิมทีการทำธุรกิจมักจะเกิดการแข่งขันในอาชีพเดียวกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้อยู่แล้ว
แค่ทุกคนต่างฝ่ายต่างบริหารกิจการของตัวเองอย่างสงบสุข
แม้ว่าจะมีการเปิดร้านขายอาหารเช้าใหม่ ๆ ขึ้นมากมาย แต่ยังไม่ได้สร้างผลกระทบต่อหลินม่ายในตอนนี้มากมายนัก
เพราะเธอขายของให้แก่ผู้โดยสารเหล่านี้ได้มากกว่าสี่สิบคนต่อเรือข้ามฟากหนึ่งรอบ ซึ่งเรือข้ามฟากแต่ละรอบจะบรรทุกผู้โดยสารหลายร้อยคน เมืองที่ใหญ่ขนาดนี้เธอคงขายคนเดียวไม่ได้
อีกอย่างเธอยังขายขนมฉาวเมี่ยนวอเพียงเจ้าเดียวในท่าเรือ คนที่ชอบกินขนมเมี่ยนวอก็มักจะมาหาซื้อกินร้านของเธอ กิจการของเธอจึงไปได้ไม่เลวนัก
เวลาประมาณเจ็ดโมงครึ่ง ในตอนที่แม่เถียหนิวนำมันเทศหั่นเต๋าสำหรับทอดขนมฉาวเมี่ยนวอมาส่งให้เธอนั้น หล่อนได้เห็นแผงขายอาหารเช้ามากมายจากที่ไกล ๆ แล้วอดร้อนใจไม่ได้
รีบตรงไปดูส่วนผสมสำหรับขนมฉาวเมี่ยนวอในถังของหลินม่าย ก็เห็นว่าใช้ไปเยอะแล้ว จึงวางใจ แล้วบ่นอุบอิบเสียงเบาว่า “คนพวกนี้จริง ๆ เลย เห็นคนอื่นหาเงินดีหน่อยก็อิจฉาตาร้อน เปิดแผงขายตาม”
หลินม่ายไม่ตอบนาง
เธอขายจนถึงแปดโมงกว่าเหมือนเมื่อวาน ขายเสร็จตามที่วางแผนไว้
หลินม่ายรีบกลับมากินอาหารเช้าที่บ้าน แล้วออกไปตั้งแผงขายเกาลัดต่อกับเถียหนิว
เถียหนิวคั่วเกาลัดเสร็จตั้งแต่ตอนเช้า บางส่วนยังร้อนกรุ่นอยู่ กลิ่นหอมของเกาลัดคั่วค่อย ๆ ลอยตลบอบอวลไปทั่วอากาศจนตั้งแผงขาย ก็เริ่มมีคนมุงเข้ามาซื้อ
ลูกค้าคนหนึ่งมาซื้อเกาลัดไปครึ่งชั่ง หลินม่ายจึงรีบเอ่ยว่า “นับตั้งแต่วันนี้ไปจะมีการจับฉลากรางวัลนะคะ ซื้อเกาลัดสามชั่งขึ้นไปจะได้เข้าร่วมการจับรางวัล….”
เธอยังพูดไม่จบ ก็มีลูกค้าถามต่อว่า “รางวัลเป็นอะไร?”
หลินม่ายยิ้ม “ร้านเล็ก ๆ ของเราจะมีรางวัลอะไรล่ะคะ จับรางวัลได้ก็มีแค่ได้กินเกาลัดสามชั่งฟรีเท่านั้น”
แล้วก็มีคนถามอีกว่า “แล้วมีโอกาสชนะรางวัลเท่าไหร่?”
“ร้อยละสิบ”
โอกาสชนะในการจับรางวัลนี้ค่อนข้างสูงมาก อีกทั้งผู้ที่จับรางวัลไม่ได้ก็ไม่ได้รับความเสียหายแต่อย่างใด
ไม่แหมือนกับสลากกินแบ่ง ถ้าไม่ได้รางวัล ก็ไม่ได้แม้แต่ต้นทุนในการซื้อฉลากกินแบ่งคืนมา
ต้นทุนเหล่านั้นมีให้กับลูกค้าที่ซื้อเกาลัดครึ่งชั่งไปจนถึงหนึ่งชั่ง โดยส่วนใหญ่เกิดการเปลี่ยนใจ หลวมตัวมาซื้อเกาลัดสามชั่งกันทั้งนั้น
ถึงอย่างไรเกาลัดสามชั่งก็จ่ายไม่กี่เหมา จับรางวัลได้ก็เท่ากับกินฟรี
หลินม่ายดำเนินการอย่างลับ ๆ เมื่อมีคนจับรางวัลได้ หลินม่ายรักษาคำพูด แล้วให้ลูกค้าผู้โชคดีคนนั้นกินฟรี
ซึ่งเรื่องนี้ได้สร้างความลังเลใจให้แก่ลูกค้ามาซื้อเกาลัดแค่ครึ่งชั่งถึงหนึ่งชั่งไม่น้อย สุดท้ายก็เปลี่ยนใจซื้อเกาลัดสามชั่งกันทั้งหมด สถานการณ์ดำเนินไปด้วยดีอย่างที่หลินม่ายคิดไว้
เกาลัดที่เถียหนิวคั่วไว้ตั้งแต่ที่บ้านถูกขายหมดเกลี้ยงในเวลาหนึ่งชั่วโมง
หลินม่ายอยากรีบขายเกาลัด แม้แต่เวลาจะคั่วก็ไม่มี ลำพังเถียหนิวคั่วคนเดียวคงไม่พอ
หลินม่ายจึงเจียดเวลา วิ่งกลับหมู่บ้าน เสียเงินห้าหยวนจ้างชายฉกรรจ์คนหนึ่งมาคั่วเกาลัดให้เธอ แบบนี้ยังพอคั่วได้ทัน
หนึ่งวันผ่านไป ทั้งสามคนเหนื่อยสายตัวแทบขาด ขายเกาลัดไปได้ทั้งสิ้นหนึ่งพันสองร้อยชั่ง
หลินม่ายถอนหายใจด้วยความโล่งอก เกาลัดในบ้านมีไม่ถึงหกร้อยชั่งแล้ว พรุ่งนี้ก็น่าจะขายหมด
แม้จะชวนชายฉกรรจ์คนนั้นมาช่วยชั่วคราวและให้ค่าตอบแทนวันละห้าหยวน แต่ยามจ่ายค่าจ้างหลินม่ายกลับให้เพิ่มไปอีกหนึ่งหยวน
ประการแรกคือวันนี้ทุกคนเหนื่อยกันมาก ประการที่สองให้เพิ่มคนละหนึ่งหยวน เจ้าตัวจะได้รู้สึกว่าเธอใจกว้าง
ชายฉกรรจ์คนนั้นเบิกบานใจ ไม่วายลืมถามว่าพรุ่งนี้หลินม่ายอยากให้เขาช่วยอีกไหม
หลินม่ายส่ายหน้าด้วยรอยยิ้ม “เกาลัดมีเหลือไม่เยอะแล้ว พรุ่งนี้เลยไม่มีอะไรต้องทำมากมาย”
ก่อนจะแนะนำเขาว่า “นายมาตั้งแผงคั่วธัญพืชจับรางวัลเหมือนฉันก็ได้ ดีกว่าทำงานรับจ้างอีกนะ?”
ชายฉกรรจ์คนนั้นหัวเราะอย่างซื่อตรงหลายครั้ง “ฉันค้าขายไม่ได้หรอก ฉันมันคนชอบใช้แรงงาน”
หลินม่ายและเถียหนิวกลับบ้านด้วยความเหนื่อยล้า ก่อนที่เด็กหญิงตัวน้อยคู่หนึ่งจะพากันเดินออกมาเหมือนนกนางแอ่นโผบิน
โต้วโต้วพูดกับหลินม่ายกระตือรือร้น “คุณแม่ คุณย่าหลี่ทำอาหารมื้อค่ำเสร็จแล้ว”
หลินม่ายเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “จริงรึ”
หลังจากล้างมือกับก๊อกน้ำในลานกว้างแล้วก็ตรงเข้าบ้าน กระทั่งเห็นอาหารมากกว่าวันปกติวางเรียงราย มีอาหารผัดสี่อย่างและต้มหนึ่งอย่าง ซึ่งปกติมีอาหารแค่สามอย่าง
เดินมาถึงโต๊ะจึงเห็นว่าเป็นเนื้อผัดพริกแห้งและหัวไชเท้าจานใหญ่
แต่เมื่อเห็นเนื้อจานนั้น หลินม่ายก็รู้สึกท้อใจ
ในจานนั้นมีแค่เนื้อแดงไม่กี่ชิ้น ไม่รู้ว่าจะเพียงพอต่อปากใครบ้าง
นอกเหนือจากนี้ ก็ยังมีต้มจืดเต้าหู้หนึ่งชาม ขึ้นฉ่ายผัดไข่หนึ่งจาน ผัดผักกาดขาวหนึ่งจานและผัดเปรี้ยวหวานอีกหนึ่งจาน
ซึ่งขึ้นฉ่ายผัดไข่จานนั้นคงใช้ไข่แค่หนึ่งฟอง ในความเป็นจริงแทบไม่เห็นไข่ไก่ด้วยซ้ำ
แม่เถียหนิวเอ่ยกับหลินม่ายด้วยรอยยิ้ม “เธอพอใจกับอาหารค่ำมื้อนี้แล้วสินะ”
หลินม่ายยิ้มอย่างจนปัญญา “คุณป้าคงลำบากแย่”
ไม่ได้แสดงออกว่าพอใจเลยสักนิด
ในเมื่อเปลี่ยนความคิดในการบริโภคของแม่เถียหนิวไม่ได้ เธอก็ไม่เปลี่ยนอีก
ถึงอย่างไรเมื่อขายเกาลัดหมด ทุกคนก็ต้องแยกย้าย ทนต่อไปอีกหน่อยจะเป็นไรไป
แม่เถียหนิวไม่ได้ยินคำชมก็ท้อใจ รู้สึกว่าหลินม่ายเอาใจยาก
เนื้อแดงไม่กี่ชิ้น โต้วโต้วและนิวนิวยังไม่พอกินด้วยซ้ำ ผู้ใหญ่ทั้งสามคนต่างเข้าใจ จึงไม่มีใครกล้าจับตะเกียบคีบกิน
หลังจากกินไปไม่กี่คำ เถียหนิวก็เอ่ยด้วยความกังวลว่า “ม่ายจื่อ เกาลัดทีเหลืออยู่พรุ่งนี้ขายไม่เท่าไหร่ก็หมดแล้ว ถ้าขายหมดแล้ว เราจะขายอะไรต่อ?”
หลินม่ายเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “แล้วพวกป้า ๆ ไม่กลับไปเตรียมของสำหรับวันปีใหม่เหรอ?”
แม่เถียหนิวรีบเอ่ย “มีพี่สาวเขาช่วยเตรียมการแล้ว เราไม่ต้องรีบกลับ”
เจตนารมณ์ในคำพูดคือ อยากทำอะไรก็ได้ก่อนปีใหม่
กว่าจึงวันที่สามสิบยังเหลือเวลาอีกเจ็ดแปดวัน ในเมื่อสองแม่ลูกเถียหนิวยังอยากอยู่ทำ อีกสองสามวันนี้หลินม่ายก็จะไม่ขับไล่พวกเขา
“ขายเกาลัดหมดแล้ว ก็ขายมันเทศทอดต่อ”
มีมันเทศเหลืออยู่อีกเยอะพอดี ต่อให้ขายวันละหนึ่งร้อยชั่ง การจะขายถึงวันที่สามสิบต้องมีปริมาณอย่างน้อยหนึ่งพันชั่ง
ในเมื่อรับปากคุณย่าฟางไปแล้ว อย่างไรก็ต้องพาโต้วโต้วกลับไปฉลองปีใหม่กับคุณย่าและคุณปู่ฟางให้ได้
ช่วงฉลองปีใหม่เธอจะไม่อยู่ขายมันเทศ ในเมืองเจียงเฉิงมีสภาพอากาศชื้นแฉะ หากขายมันเทศเหล่านี้ไม่หมดก่อนปีใหม่ เกรงว่าถ้ากลับมาขายหลังปีใหม่คงเน่าไปเกินครึ่ง เสียหายไปมหาศาล
แต่ถ้าจะทอดมันเทศขาย สองสามวันก็น่าจะขายหมด
อีกอย่างการขายมันเทศทอดในเมืองเจียงเฉิงก็สร้างกำไรได้มหาศาล มันเทศชั่งละห้าเฟินถูกทอดขายในราคาชั่งละสองเหมา กำไรที่ได้ไม่น้อยไปกว่าขนมฉาวเมี่ยนวอเลย
สองแม่ลูกเถียหนิวเห็นว่ายังได้ทำงานต่อจึงวางใจ
พวกเขาตั้งใจจะหาเงินกับหลินม่ายให้ได้มากที่สุดก่อนวันปีใหม่ เพื่อเฉลิมฉลองได้อย่างเต็มที่
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ทนเอานะม่ายจื่อ อีกไม่กี่วันก็ได้แยกย้ายจากงูพิษพวกนี้แล้ว
ไหหม่า(海馬)