แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 426 ผมชอบของหวานอย่างคุณ
ตอนที่ 426 ผมชอบของหวานอย่างคุณ
หลังจากล้างจานและจัดระเบียบห้องครัวกับห้องอาหารแล้ว หลินม่ายก็ขึ้นไปชั้นบนเพื่อดูว่าฟางจั๋วหรานนอนหลับจริงไหม
เธอกลัวว่าเขาจะอ่านหนังสือทุกครั้งที่มีเวลาว่าง
พอผลักประตูห้องของฟางจั๋วหรานเข้าไปเบา ๆ แล้วเดินไปที่เตียง ก็เห็นว่าฟางจั๋วหรานหลับตาพริ้ม หายใจอย่างสม่ำเสมอ คิดว่าเขาคงจะหลับไปแล้ว
เห็นแบบนั้นก็รู้สึกโล่งใจ จึงหมุนตัวตั้งท่าจะหันหลังกลับ
แต่แล้วมือเล็กกลับถูกมือใหญ่คว้าไปจับไว้
เมื่อหันขวับกลับมา ก็เห็นว่าฟางจั๋วหรานกำลังมองมาที่เธอด้วยสายตาราวกับมีเปลวไฟลุกโชนอยู่ภายใน
หลินม่ายเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ “คุณยังไม่หลับเหรอคะเนี่ย?”
ฟางจั๋วหรานทำหน้าจริงจัง “ผมนอนไม่หลับจนกว่าจะได้กินของหวาน”
หลินม่ายไม่เข้าใจ “ปกติคุณไม่ชอบกินของหวานนี่คะ? คิดยังไงถึงอยากกินของหวานขึ้นมา?”
ฟางจั๋วหรานยิ้มอย่างมีเลศนัย “ผมไม่ชอบของหวานอื่นก็จริง แต่สำหรับของหวานอย่างคุณแล้วกินแค่ไหนก็ไม่พอ”
จากนั้นเขาก็ใช้มืออันแข็งแกร่งฉุดร่างหลินม่ายให้ล้มลงไปบนเตียง
ก่อนจะพลิกตัวขึ้นมาทาบทับอยู่บนร่างเธอ ตามด้วยประกบจุมพิตอันเร่าร้อนลงไป…
หลินม่ายถึงกับอยู่ไม่สุขจนนิ้วเท้าหดเกร็ง แวบหนึ่งเกิดกลัวว่าฟางจั๋วหรานอาจข้ามเส้นตายเข้า ถ้าเลยเถิดไปจุดนั้นเธอก็อาจหยุดมันไม่ได้
โชคดีที่การควคุมอารมณ์ของฟางจั๋วหรานนั้นดีเยี่ยม จึงยังไม่ข้ามเส้นตายระหว่างพวกเขา
แต่หลินม่ายรู้ดีว่าสำหรับผู้ชายแบบเขาแล้ว การอดทนเป็นเรื่องยากลำบากไม่น้อย
ทั้งสองกอดและจูบกันอยู่เป็นเวลานาน จนกระทั่งฟางจั๋วหรานยอมปล่อยให้เธอไป
หลินม่ายลุกขึ้นจัดทรงผมกับเสื้อผ้าของตัวเองให้เรียบร้อยโดยหันหลังให้ฟางจั๋วหราน ถามเขาด้วยใบหน้าแดงระเรื่อ “ตอนนี้คุณคงนอนหลับสบายแล้วสินะคะ”
ฟางจั๋วหรานเปล่งเสียงตอบรับพลางยกยิ้มมุมปาก แล้วหลับตาลงด้วยความพึงพอใจ
หลินม่ายเดินออกจากห้องไปอย่างเงียบ ๆ พอลงไปชั้นล่างแล้วเห็นว่าคุณปู่ฟางกับคุณย่าฟางไม่อยู่ที่นั่น ก็เดาว่าพวกเขาอาจกลับเข้าห้องไปงีบหลับแล้ว
เธฮเข็นจักรยานออกจากประตูรั้ว ล็อกประตูให้เรียบร้อย แล้วจากไป
ก่อนกลับบ้าน เธอแวะไปที่ร้านเสื้อผ้าบนห้างสรรพสินค้าเจียงเฉิง
ตอนเที่ยงแบบนี้ กิจการของร้านค้าอื่น ๆ ค่อนข้างซบเซา บางร้านว่างโล่งไร้ผู้คน แต่กิจการร้านเสื้อผ้าของเธอกลับเฟื่องฟูเป็นอย่างมาก
ถึงแม้ลูกค้าบางส่วนจะแวะเวียนมาเพราะมีจุดประสงค์อยากได้ผ้าเช็ดหน้านำเข้า แต่กลไกการตลาดนี้ก็ช่วยเพิ่มความนิยมของร้าน และดึงดูดลูกค้าจริงได้เป็นจำนวนมาก
หวังหรงกับกวนหย่งหัวยืนอยู่ระหว่างราวแขวนผ้าภายในร้านเสื้อผ้าซีม่าน จ้องมองไปที่หลินม่ายอย่างไร้ความปรานี
กิจการของร้านเสื้อผ้าซีม่านเฟื่องฟูหลังจากเปิดตัวร้านได้แค่สองวันเท่านั้น หลังจากนั้นผู้บริหารของทางห้างสรรพสินค้าก็ได้ปรับเปลี่ยนที่ตั้งร้านเสื้อผ้า Unique ให้กลับมาอยู่ในทำเลดีเหมือนเดิม
หลินม่ายยังจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายเพิ่ม โดยแจกผ้าเช็ดหน้านำเข้าให้กับผู้ที่ซื้อสินค้าจากร้านของเธอ ทำให้ความนิยมของร้าน Unique ยิ่งพุ่งสูง
ลูกค้าจำนวนมากต่างหันไปเลือกซื้อเสื้อผ้าจากร้าน Unique ทำให้ยอดขายของร้านเสื้อผ้าซีม่านตกฮวบดิ่งลงเหว
เสื้อผ้ารูปแบบเดียวกัน แต่กลับไม่มีของแถม หนำซ้ำราคาขายยังสูงกว่าร้าน Unique มาก
แบบนี้ลูกค้าคนไหนจะอยากซื้อเสื้อผ้าจากร้านซีม่าน นอกซะจากสมองของพวกเขาจมน้ำเท่านั้นแหละ
ถึงอย่างนั้นก็ยังมีลูกค้าบางกลุ่มที่มีแรงจูงใจแรงกล้าที่จะซื้อเสื้อผ้าจากร้านซีม่าน เพราะคิดว่าเสื้อผ้าที่ผลิตจากฮ่องกงน่าจะดูดีกว่าเมื่อสวมใส่อยู่บนร่างกายตัวเอง ทว่าลูกค้าเหล่านี้ บอกเลยว่ามีน้อยนิด
เมื่อเห็นว่าใบหน้าของกวนหย่งหัวเริ่มดำคล้ำเหมือนก้นหม้อ หวังหรงก็เริ่มกังวลใจขึ้นมาบ้าง
ถ้ากิจการซบเซาแบบนี้ เขาจะยังซื้อบ้านให้พ่อแม่หล่อนอยู่ไหมนะ?
ทั้งสองเฝ้าสังเกตการณ์หลินม่ายและร้านเสื้อผ้า Unique ของเธออยู่พักหนึ่ง พอเห็นว่าเธอเดินออกไปแล้ว ก็จากไปเช่นเดียวกัน
กวนหย่งหัวพาหวังหรงไปกินข้าว
หลังจากอาหารทั้งหมดถูกยกมาเสิร์ฟ หวังหรงก็รินไวน์แดงแก้วหนึ่งให้กวนหย่งหัว พูดเบา ๆ ว่า “พี่กวนคะ เราคงต้องทำแบบร้าน Unique บ้างแล้ว ทั้งจัดโปรโมชัน หาพนักงานขายเก่ง ๆ คุณว่าแผนนี้พอจะใช้ได้หรือเปล่า?”
กวนหย่งหัวพยักหน้าอย่างเงียบ ๆ
ในใจเขารู้ดี ต่อให้จัดโปรโมชั่นหรือหาพนักงานขายเพิ่ม ก็ไม่ได้มีผลให้ยอดขายกระเตื้องมากขึ้น
ไม่ว่าอย่างไรก็ยังเสียเปรียบด้านราคา
เนื่องจากราคาวัสดุในการผลิตเสื้อผ้าที่เมืองชายฝั่งค่อนข้างสูง เขาจึงพยายามหาซื้อผ้าราคาถูกมากักตุนไว้
ด้วยวิธีนี้ ต้นทุนของเสื้อผ้าแต่ละตัวก็จะลดลง ทำให้พอมีความได้เปรียบด้านราคาบ้าง
แต่กว่าเขาจะคิดเรื่องนี้ขึ้นได้ เจ้าของกิจการผลิตเสื้อผ้าคนอื่น ๆ ก็คิดได้แล้วเหมือนกัน
ผลจากการที่ผู้ประกอบการหลายรายแห่ซื้อผ้าไปกักตุน ทำให้ราคาผ้าจากเมืองชายฝั่งยิ่งพุ่งสูงขึ้นไปอีก
โรงงานตัดเย็บเสื้อผ้าขนาดเล็กของเขา เมื่อเทียบกับโรงงานตัดเสื้ออื่น ๆ ที่อยู่ในฮ่องกงแล้ว เขาแทบไม่มีความสามารถที่จะเทียบเคียงคู่ค้ารายอื่นได้
ต่อให้เขาจะกว้านซื้อผ้าจากเมืองชายฝั่งไปกักตุน ก็ไม่ทันโรงงานอื่นของฮ่องกงอยู่ดี
ทันทีที่เขาค้านพบช่องทางใหม่ ก็รีบขยายกิจการมาที่ประเทศจีนทันที… แต่พอมากว้านซื้อผ้าในเจียงเฉิง ตัวเองกลับยังช้าไปก้าวหนึ่ง
เพียงไม่กี่วันหลังจากโรงงานสิ่งทอในเจียงเฉิงส่งมอบสินค้าที่หลินม่ายสั่งเรียบร้อยแล้ว พวกเขาก็ได้รับคำสั่งส่งตรงมาจากเบื้องบน
โรงงานสิ่งทอของรัฐทุกแห่งไม่ได้รับอนุญาตให้ขายวัสดุสำหรับตัดเย็บหรือผ้าให้กับองค์กรใด ๆ ทั้งสิ้น นอกเหนือจากโรงงานตัดเสื้อที่ดำเนินการโดยรัฐ
องค์กรที่ว่ายังรวมถึงกิจการที่ได้รับเงินทุนจากต่างประเทศ
ดังนั้นถึงกวนหย่งหัวจะเร่งรีบแค่ไหนก็ไม่ทันการณ์ ทำให้ไม่สามารถซื้อผ้าในราคาถูกเลยแม้แต่ชิ้นเดียว
เมืองชายฝั่งอย่างกว่างโจวและเสิ่นเจิ้นถือเป็นพื้นที่ทดลองสำหรับการปฏิรูปเศรษฐกิจและการเปิดประเทศ รัฐบาลยังอยู่ในขั้นตอนสังเกตการณ์ จึงยังไม่แทรกแซงราคาผ้าที่พุ่งสูง
อย่างไรก็ตาม พื้นที่อื่น ๆ ในประเทศยังอยู่ภายใต้แผนเศรษฐกิจแบบเดิม ราคาสินค้าอุปโภคบริโภคทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับการดำรงชีวิตของผู้คนจึงยังถูกควบคุมโดยรัฐ
เพื่อรักษาเสถียรภาพความเป็นอยู่ของผู้คนในเมืองตัวเอง ผู้บริหารของเจียงเฉิงจึงพยายามป้องกันไม่ให้ราคาผ้าสูงเกินพิกัด
นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมถึงได้มีนโยบายชั่วคราว ห้ามไม่ให้ผู้ประกอบการรายอื่นที่ไม่ใช่โรงงานตัดเสื้อของรัฐซื้อผ้าจากโรงงานสิ่งทอของรัฐ
แต่ตอนนี้นโยบายเริ่มไร้อำนาจเสียแล้ว ไม่สามารถควบคุมราคาได้อีกต่อไป
กวนหย่งหัวยังงุนงงไม่หาย ว่าทำไมราคาเสื้อผ้าที่ผลิตจากโรงงานของรัฐถึงได้ขยับราคาแพงขึ้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่เสื้อผ้าแบรนด์ Unique ขึ้นราคาไม่เท่าเสื้อผ้าพวกนั้น?
เป็นไปได้ไหมว่า Unique ยอมขาดทุนเพื่อทำกำไรไปพร้อม ๆ กัน?
หลังจากทั้งสองกินข้าวเสร็จ หวังหรงก็โพล่งขึ้นด้วยน้ำเสียงเข้าอกเข้าใจ “วันนี้งานคุณยุ่งพอแล้ว ยังไม่ต้องไปซื้อบ้านกันก็ได้ค่ะ”
สองวันที่แล้ว พวกเขาตระเวนหาบ้านส่วนตัวที่เหมาะสำหรับครอบครัวเดี่ยวแถวย่านใจกลางเมือง
ถึงแม้บ้านส่วนตัวประเภทนี้จะไม่หรูเท่ากับเรือนสี่ประสานของแม่เฒ่าหวัง แต่ก็ดีกว่าบ้านแบบเป็นห้องชุดในอาคารที่ต้องอาศัยอยู่ร่วมกับครอบครัวอื่นเป็นไหน ๆ
ไม่ต้องพูดถึงพื้นที่ขนาดใหญ่ พวกเขาต้องอาศัยอยู่ร่วมชายคาเดียวกันกับคนอื่น เสมือนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน
ถึงอย่างนั้นบ้านส่วนตัวที่ว่าก็มีราคาขายไม่ต่ำกว่าสองพันหยวน
ทั้งสองเจรจาตกลงกับเจ้าของบ้านเรียบร้อยแล้ว จึงนัดเซ็นสัญญาและจ่ายเงินซื้อบ้านกันในวันนี้
กวนหย่งหัวแอบแสยะยิ้มในใจหลังจากได้ยินคำพูดอ้อมค้อมของหวังหรง
เขามองออกทันทีว่าหล่อนกำลังเตือนเขาว่าอย่าลืมซื้อบ้านให้พ่อแม่ของหล่อน แต่ทำเป็นออกตัวเหมือนกับตัวเองเป็นผู้หญิงที่เข้าอกเข้าใจเขาดี
ถ้าหล่อนเป็นผู้หญิงเข้าใจง่ายจริง ๆ ก็ควรพูดออกมาตรง ๆ ตั้งแต่แรก
อย่างเช่น ตอนนี้กิจการร้านซีม่านของเขากำลังตกที่นั่งลำบาก ถ้าอย่างนั้นก็ยังไม่ต้องซื้อบ้าน รอจนกว่าร้านซีม่านจะกลับมาทำกำไรได้ค่อยว่ากัน
คนเจ้าเล่ห์ถึงอย่างไรก็เป็นคนเจ้าเล่ห์อยู่วันยังค่ำ
ต่อให้เขาไม่ได้เปิดตัวร้านเสื้อผ้าซีม่านในเจียงเฉิง แต่เงินที่ต้องใช้ในการซื้อบ้านนั้นมีมูลค่าแค่สองพันหยวนกว่า ๆ ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้เขาอยู่แล้ว
เขาไม่อยากให้แผนการที่ตัวเองวางไว้ต้องล่มเพียงเพราะมีตัวแปรเป็นเงินสองพันหยวน
เขาตอบกลับอย่างอ่อนโยน “จะไม่ซื้อบ้านได้ยังไงกัน? เราจะแต่งงานโดยที่ไม่มีบ้านไม่ได้ เพียงแต่ตอนนี้ผมค่อนข้างกลุ้มใจจนไม่อยากจัดการเรื่องนี้ด้วยตัวเอง คุณเอาเงินนี้ไปซื้อบ้านเองก็แล้วกันนะ ผมคงไปด้วยไม่ได้จริง ๆ หวังว่าที่รักของผมจะเข้าใจ”
พูดจบ เขาก็หยิบเงินจำนวนสามพันหยวนออกมาจากกระเป๋าสตางค์ แล้วยื่นให้หวังหรง
ตอนที่กวนหย่งหัวบอกว่าเขาเครียดจนไม่อยากทำเรื่องซื้อบ้านด้วยตัวเอง หวังหรงก็แอบใจแป้วว่าการซื้อบ้านคงเป็นหมันเสียแล้ว
ไม่น่าเชื่อว่าในขณะที่กวนหย่งหัวกำลังเครียดเรื่องงาน เขากลับหยิบเงินออกมาให้หล่อนเอาไปซื้อบ้านเอง แถมยังให้เงินเกินมาตั้งหนึ่งพัน!
หลังจากรับเงินมาแล้ว หล่อนก็ทำเสียงออดอ้อนและพูดจาอย่างใจกว้าง “ฉันเป็นว่าที่ภรรยาของคุณนะคะ ทำไมต้องโกรธแค่เพราะคุณไปซื้อบ้านกับฉันไม่ได้ล่ะ ในฐานะคู่หมั้น ขณะที่หน้าที่การงานของคุณมีปัญหา แต่ฉันกลับช่วยอะไรคุณไม่ได้เลย คุณรู้ไหมคะว่าฉันรู้สึกเศร้าเสียใจแค่ไหน?”
กวนหย่งหัวไม่ยอมหลงเชื่อการแสดงที่ปราศจากความจริงใจของหล่อน
เขาบอกหล่อนอยู่บ่อยครั้งว่าอาชีพของเขากำลังประสบปัญหา หล่อนตีหน้าเศร้าและทำเป็นเข้าใจ แต่กลับไม่เคยลดละที่จะเรียกร้องให้เขาซื้อสิ่งของราคาแพงต่าง ๆ
กวนหย่งหัวพยายามระงับอาการคลื่นไส้เอาไว้ ยังคงแสดงสีหน้าอ่อนโยน “ผมเข้าใจความรู้สึกของคุณ แต่ผมต้องขอตัวก่อน ซื้อบ้านเสร็จแล้วให้คุณรีบกลับไปที่บ้านคุณย่าทันที อย่าให้ผมต้องเป็นห่วง”
จากนั้น เขาก็โบกแท็กซี่แล้วปลีกตัวไปจากหล่อน
เขาสงสัยว่าแบรนด์ Unique อาจมีช่องทางการซื้อผ้าในราคาถูก ดังนั้นเขาต้องสืบหาความจริงให้ได้ แล้วค่อยจัดการเก็บคู่แข่ง
รอให้ร้าน Unique เสียเปรียบด้านราคาเมื่อไร ร้านซีม่านถึงจะพลิกกลับมาผงาดอีกครั้ง
หวังหรงมองตามกวนหย่งหัวที่ขึ้นแท็กซี่จากไป ก่อนจะเก็บเงินสามพันหยวนนั้นไว้แล้วเดินกลับบ้านอย่างมีความสุข
หล่อนไม่ได้ตรงไปซื้อบ้านทันที เพราะหล่อนรู้จักตัวเอง
หล่อนมีประสบการณ์ทางสังคมต่ำ
เจ้าของบ้านมีท่าทางหัวหมอออกปานนั้น แถมกวนหย่งหัวก็ยังไม่อยู่ หล่อนจึงกลัวว่าตัวเองจะไม่สามารถรับมือกับเรื่องต่าง ๆ ตามลำพังได้
ถ้าเกิดอะไรผิดพลาดขึ้นมา เงินสองพันกว่าหยวนคงสูญเปล่ากันคราวนี้
การซื้อบ้านถือเป็นเรื่องใหญ่ ต้องจัดการอย่างระมัดระวัง
หล่อนจึงตั้งใจว่าจะกลับบ้านก่อน แล้วขอให้พ่อแม่ออกมาซื้อบ้านเป็นเพื่อน
ถึงอย่างไรบ้านหลังนั้นก็ถือเป็นของขวัญของพ่อกับแม่ อย่างน้อยพวกเขาก็ควรมีส่วนร่วมในการซื้อบ้าน
เพื่อนบ้านในละแวกนั้นเห็นหวังหรง จึงทักทายด้วยน้ำเสียงแปลกแปร่ง “ออกไปช้อปปิ้งกับแฟนนักธุรกิจชาวฮ่องกงมาอีกแล้วเหรอจ๊ะ?”
“วันนี้ไม่ได้ไปช้อปปิ้งหรอกค่ะ” หวังหรงแสร้งทำหน้าบูดบึ้ง “พอดีแฟนฉันให้เงินสดมา เลยว่าจะชวนพ่อแม่ออกไปซื้อบ้านด้วยกันน่ะ”
ทันทีที่ได้ยินแบบนั้น ทุกคนต่างก็อิจฉาไปตาม ๆ กัน
หวังหรงเชิดคางขึ้นอย่างภูมิใจในตัวเอง ก้าวฉับ ๆ ไปที่ประตูลานบ้านของแม่เฒ่าหวัง ยังไม่ทันที่หล่อนจะเคาะประตู ก็ได้ยินเสียงตะโกนเรียกอันดุร้ายดังขึ้นจากด้านหลัง “นังสารเลว หยุดเดี๋ยวนี้นะ!”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
พี่หมอใจร้อนจริง ยังไม่ได้หมั้นกันเป็นทางการเลยนะ จะชิงสุกก่อนห่ามแล้วเหรอ
ใครมาหานังหรงกันนะ แล้วเงินสามพันหยวนนี่จะสูญเปล่าหรือเปล่า?
ไหหม่า(海馬)