แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 508 ถึงจิ่วเจียงแล้ว
ตอนที่ 508 ถึงจิ่วเจียงแล้ว
พอคนกลุ่มใหญ่มาถึงสถานีรถไฟ ขบวนรถไฟที่มุ่งหน้าไปยังจิ่วเจียงก็เคลื่อนเข้ามาจอดเทียบท่าชานชาลาแล้ว
หลินม่ายกำลังจะเดินนำฟางจั๋วเยวี่ยกับสหายน้องชายทั้งสี่ของเฉินเฟิงไปที่ห้องจำหน่ายตั๋วในสถานี ตั้งใจว่าถ้าจ่ายค่าตั๋วเสร็จแล้วจะได้ขึ้นรถไฟตามปกติ แต่ฟางจั๋วหรานหยุดพวกเขาไว้ก่อน
จากนั้นเขาก็พาคนทั้งหมดตรงไปที่พนักงานควบคุมรถไฟ ยัดซองอั่งเปาสีแดงให้กับเจ้าพนักงานรถไฟคนหนึ่ง ขอร้องให้เขาช่วยดูแลหลินม่ายและคณะเดินทางของเธอด้วยรอยยิ้ม
เจ้าพนักงานรถไฟตอบกลับว่าฟางจั๋วหรานสุภาพเกินไป ในฐานะคนกันเองแล้วไม่จำเป็นต้องยื่นซองแดงให้เขาเลย
ภายนอกเขาดูเหมือนเป็นคนซื่อสัตย์ แสร้งทำเป็นปฏิเสธสองสามครั้ง ในที่สุดก็ยอมรับอั่งเปาไว้โดยดี
เขายืนยันกับฟางจั๋วหรานพร้อมเผยรอยยิ้มบนใบหน้า รับรองเป็นมั่นเป็นเหมาะว่าจะส่งหลินม่ายและคณะเดินทางของเธอไปยังจุดหมายปลายทางอย่างปลอดภัย
ฟางจั๋วหรานเฝ้ามองเจ้าพนักงานรถไฟจัดให้หลินม่ายและคณะเดินทางของเธอไปพักอยู่ในตู้นอนของพนักงานต้อนรับเป็นการส่วนตัว
ตราบใดที่พวกเขาอยู่ในตู้นอนดังกล่าว จะไม่มีปัญหาด้านความปลอดภัยใด ๆ ทั้งสิ้น
ต่อให้โจรหรือมิจฉาชีพคนไหนก็ไม่กล้ากระทำความผิดในตู้นอนของพนักงานต้อนรับบนรถไฟแน่
อย่างไรก็ตาม หลินม่ายและคณะใช้เวลาเดินทางโดยรถไฟแค่สามชั่วโมงครึ่งกว่าจะไปถึงจุดหมายปลายทาง ที่นั่งพิเศษของพวกเขาจึงไม่ส่งผลกระทบต่อพนักงานต้อนรับบนรถไฟมากนัก
ก่อนที่ฟางจั๋วหรานจะจากไป เขาไม่ลืมกำชับให้หลินม่ายโทรกลับหาเขาทุกวันเพื่อรายงานความปลอดภัยของตัวเอง
การเดินทางไกลของเธอในครั้งนี้แตกต่างไปจากทุกครั้ง เพราะเธอพกเงินสดติดตัวไปด้วยนับแสน ถึงจะมีบอดี้การ์ดหลายคนที่เฉินเฟิงจัดหามาให้ เขาก็ยังไม่วางใจอยู่ดี
หลินม่ายตอบรับด้วยรอยยิ้ม
เมื่อฟางจั๋วหรานหันหลังกลับ เขาก็นึกถึงอะไรบางอย่างขึ้นมาได้
เขาหยิบกระดาษโน้ตออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วยื่นให้หลินม่าย “คุณปู่บอกว่า ถ้าคุณเข้าไปถึงเมืองหลวงแล้ว แต่ไม่สามารถประสานงานกับทาง CCTV ได้ ให้คุณไปหาคนคนหนึ่งตามชื่อที่ระบุในกระดาษโน้ต เขาคนนี้เป็นอดีตสหายร่วมรบและเป็นเพื่อนสนิทของคุณปู่ สามารถช่วยให้คุณเข้าไปภายในสถานี CCTV เพื่อหารือเกี่ยวกับการออกอากาศโฆษณาได้”
เห็นได้ชัดว่ากระดาษโน้ตแผ่นนี้เบามาก แต่หลินม่ายกลับถือมันไว้ในมือราวกับว่ามันเป็นวัตถุที่มีน้ำหนักมากถึงหนึ่งพันชั่ง
คุณปู่ฟางไม่เคยใช้เส้นสายของตัวเองต่อให้ลูก ๆ ของเขาเรียงหน้ากันเข้ามาอ้อนวอน แต่ตอนนี้เขากลับให้เธอเป็นข้อยกเว้น
หลังจากที่ฟางจั๋วหรานจากไป หลินม่ายถึงได้เข้าใจว่าทำไมฟางจั๋วหรานจึงยืนกรานว่าจะมาส่งพวกเธอที่สถานีรถไฟด้วยตัวเอง
ที่แท้เขาก็ใช้เส้นสายของตัวเอง เพื่อจัดหาที่นั่งที่ดีที่สุดบนรถไฟสำหรับเธอและคณะเดินทางนั่นเอง
แต่สิ่งที่หลินม่ายไม่รู้ก็คือ ฟางจั๋วหรานต้องติดต่อกับใครหลายคนเพื่อให้อีกฝ่ายช่วยอำนวยความสะดวกให้เธอและคนอื่น ๆ ได้รับการดูแลเป็นพิเศษบนรถไฟ
ถึงแม้เขาจะมีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ทำให้ผู้ใหญ่หลายคนปฏิบัติต่อเขาเป็นอย่างดี กระทั่งมีเส้นสายการติดต่อที่กว้างขวางก็ตาม แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะมีอำนาจมากจนสามารถเรียกลมและฝนได้
ตัวอย่างเช่น เขาแทบไม่รู้จักใครเลยที่ทำงานเกี่ยวกับระบบการเดินรถไฟ
ถ้าเขาต้องการให้หลินม่ายและคนอื่น ๆ ได้รับการดูแลเป็นพิเศษในระหว่างการเดินทาง เขาก็ต้องขอความช่วยเหลือจากใครสักคน
ถึงอย่างนั้นเขากลับไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องยากที่จะขอความช่วยเหลือเพื่อให้คนรักของตัวเองปลอดภัย
การเดินทางสามชั่วโมงครึ่งผ่านไปในชั่วพริบตา
ระหว่างนั้นหลินม่ายจดจ่ออยู่กับการอ่านหนังสือเรียนเป็นพิเศษ
สิ่งนี้ทำให้สหายน้องชายของเฉินเฟิงและฟางจั๋วเยวี่ยไม่กล้าแม้แต่จะพูดคุยกัน เพราะกลัวว่าเสียงของพวกเขาอาจส่งผลกระทบต่อการเรียนของเธอ
เมื่อรู้สึกเบื่อหน่าย ห้าทหารเสือจึงต้องนอนเอนหลังอยู่กันคนละมุมเพื่อฆ่าเวลา
ตอนแรกพวกเขาแค่อยากนอนเล่น แต่เมื่ออยู่ท่ามกลางเสียงรถไฟที่ดังเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ในที่สุดพวกเขาทั้งห้าคนก็ผล็อยหลับไป
สิ่งที่แตกต่างก็คือฟางจั๋วเยวี่ยนอนหลับไปจริง ๆ บางครั้งเมื่อพนักงานต้อนรับเข้ามาหยิบของบางอย่าง เขาแทบไม่ตอบสนองเลยด้วยซ้ำ
ไม่เหมือนกับสหายน้องชายทั้งสี่คนของเฉินเฟิง พวกเขาตื่นตัวไวราวกับนกฮูก เมื่อมีอะไรเฉียดผ่าน พวกเขามักจะลืมตาโพลงขึ้นทันทีด้วยความระแวดระวัง
ทันทีที่รถไฟมาถึงสถานีปลายทาง หลินม่ายก็เก็บหนังสือเรียนเข้าที่ แล้วปลุกฟางจั๋วเยวี่ยให้ตื่นขึ้น
ฟางจั๋วเยวี่ยเดินตามกลุ่มคนลงจากรถไฟด้วยความงุนงง บนศีรษะมีเส้นผมชี้โด่เด่อยู่สองกระจุก
กฎหมายและระเบียบข้อบังคับของสถานีรถไฟจิ่วเจียงดีกว่าสถานีรถไฟกว่างโจวมาก
ถึงจะมีพวกนายหน้าโรงแรมคอยตะโกนเรียกลูกค้า แต่พวกเขาก็ปรี่เข้ามารบกวนอยู่แค่แปบเดียว เมื่ออีกฝ่ายปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาก็ยอมแพ้แต่โดยดี
ที่นี่ไม่มีใครกล้าเดินเข้ามาประกบผู้คนอย่างโจ๋งครึ่มเหมือนกับสถานีรถไฟกว่างโจว
หลินม่ายและคณะเดินทางของเธอทรงพลังพอสมควร ยิ่งเมื่อมีเหล่าสหายน้องชายของเฉินเฟิงที่ต่างคนต่างเป็นชายอกสามศอกอยู่ร่วมกลุ่ม อีกทั้งหน้าตาของพวกเขาก็ดูดุร้ายมาก
พวกนายหน้าโรงแรมแทบไม่กล้าปรี่เข้ามาก่อกวนพวกเขาด้วยซ้ำ พวกเขาทั้งหมดเอาแต่ซ่อนตัวอยู่ในมุมห่างไกล กลัวพี่หนานและคนอื่น ๆ จะเป็นฝ่ายปล้นพวกเขาเสียเอง
ดังนั้นคนกลุ่มใหญ่จึงเดินออกมาจากสถานีรถไฟอย่างราบรื่น
เมื่อใบหน้าของฟางจั๋วเยวี่ยถูกสายลมฤดูใบไม้ร่วงที่เย็นสบายพัดผ่าน ความง่วงงุนของเขาก็สร่างเป็นปลิดทิ้ง หันไปพูดกับหลินม่ายด้วยอารมณ์ฉุนเฉียว “พี่สะใภ้ ผมหิวแล้ว”
สหายน้องชายทั้งสี่ของเฉินเฟิงจ้องเขม็งมองเขาพร้อมกันด้วยสายตาดูถูกเหยียดหยาม
ผู้ชายคนนี้ช่างไม่มีความเป็นชายเอาเสียเลย ถึงได้ร้องขออาหารจากหญิงสาวที่อายุน้อยกว่า
หัวหน้าหลินยังไม่ทันร้องบอกว่าตัวเองหิวด้วยซ้ำ เขากลับเรียกร้องหาอาหารเสียแล้ว!
ทุกคนต่างคันไม้คันมือกันมาก อยากกดผู้ชายคนนี้ลงกับพื้นแล้วทุบตีเขาเสียจริง ๆ
หลินม่ายเหล่ตามองฟางจั๋วเยวี่ยจากด้านข้าง “รอจนกว่าพวกเราจะไปถึงโรงแรมซะก่อน หลังจากนั้นค่อยหาอะไรกินกัน”
ฟางจั๋วเยวี่ยจึงติดตามหลินม่ายและคนอื่น ๆ ไปยังโรงแรมซึ่งทีมงานในกองถ่ายเรื่อง ‘มนต์รักภูเขาหลูซาน’ พักอยู่ด้วยความกระสับกระส่าย
การถ่ายทำภาพยนตร์ในยุคนี้ใช้ทุนสร้างจากสาธารณะ ทางสตูดิโอภาพยนตร์จัดสรรเงินจำนวนมากอย่างรัดกุม ดังนั้นทีมงานจึงคำนวณค่าใช้จ่ายต่าง ๆ อย่างระมัดระวัง
เป็นผลให้ทีมงานกองถ่าย ‘มนต์รักภูเขาหลูซาน’ ไม่กล้าเข้าพักในโรงแรมหรู โรงแรมที่พวกเขาพักอยู่ในปัจจุบันจึงค่อนข้างธรรมดามาก
ตอนที่หลินม่ายเดินเข้าไปเช็กอิน เธอสอบถามจากพนักงานแผนกต้อนรับว่าทีมงานของกองถ่าย ‘มนต์รักภูเขาหลูซาน’ พักอยู่ที่โรงแรมนี้ด้วยหรือเปล่า
เธอกลัวว่าเหตุการณ์บางอาจแตกต่างไปหลังจากที่เธอเกิดใหม่ ดังนั้นจึงต้องตรวจสอบให้แน่ใจเสียก่อน
พนักงานแผนกต้อนรับเห็นว่าหลินม่ายหน้าตาดี แต่งตัวมีรสนิยม แถมยังมีบอดี้การ์ดหลายคนคอยติดตามอยู่ข้างหลังไม่ห่าง
เธอคิดว่าอีกฝ่ายอาจเป็นคนใหญ่คนโตสักคนที่เธอไม่รู้จัก หรือเป็นลูกสาวของคนใหญ่คนโตพวกนั้นก็ได้ จึงมีทัศนคติในการบริการที่ดีเป็นพิเศษ
ตอบกลับหลินม่ายไปตามตรงว่าทีมงานของกองถ่าย ‘มนต์รักภูเขาหลูซาน’ พักอยู่ในโรงแรมแห่งนี้จริง ๆ
หลินม่ายจึงยัดโบว์ผูกผมสวย ๆ ให้กับพนักงานแผนกต้อนรับสาว แล้วขอหมายเลขห้องซึ่งจางอวี้และผู้กำกับหวงพักอยู่
ทัศนคติการบริการของพนักงานต้อนรับสาวหลังจากได้รับของขวัญยิ่งดีขึ้นกว่าเดิม หล่อนยินดีบอกหมายเลขห้องของจางอวี้และผู้กำกับหวงโดยไม่ต้องคิดนาน
หลังจากนั้นคณะเดินทางก็เดินเข้าไปที่ห้องอาหารเพื่อรับประทานอาหารเย็น
หลินม่ายสั่งเมนูที่มีชื่อเสียงของจิ่วเจียงมาหลายรายการ ไม่ว่าจะเป็นหัวปลาทะเลสาบผอ(1) ไก่หินหลูซาน(2) ปลาตุ๋นกากเหล้า และสตูว์เป็ดขาวของเสี่ยวเฉียว(3)
ฟางจั๋วเยวี่ยมีความสุขมากเมื่อได้กินอาหารมื้อใหญ่
หลังจากกินดื่มเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลินม่ายก็ปลีกตัวไปที่ห้องพักของผู้กำกับหวงพร้อมกับเสื้อผ้าใหม่เอี่ยมของ Unique หลายชุด และเครื่องประดับจากไป๋เหอ
ทันทีที่เธอเดินขึ้นมาถึงชั้นที่ผู้กำกับหวงพักอยู่ เธอก็ได้ยินเสียงคำรามที่ฟังแล้วชวนให้รู้สึกอึดอัดของผู้กำกับหวง
หลินม่ายจดจำเสียงของผู้กำกับหวงได้ทันที เพราะเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา เธอได้โทรศัพท์ไปหาเขาเพราะอยากเชิญให้จางอวี้มาถ่ายโฆษณาให้กับ Unique
แต่ยังไม่ทันที่เธอจะพูดจบ ผู้กำกับหวงก็ปฏิเสธเธออย่างเย็นชา โดยให้เหตุผลว่าการถ่ายทำโฆษณาของจางอวี้อาจส่งผลกระทบต่อกระบวนการถ่ายทำภาพยนตร์
หลินม่ายจึงตัดสินใจตามกองถ่ายของพวกเขามาถึงจิ่วเจียง เพราะต้องการสร้างความประทับใจต่อผู้กำกับหวงด้วยความจริงใจต่อเขา เผื่อท้ายที่สุดเขาจะยอมอนุญาตให้จางอวี้สละเวลามาถ่ายทำโฆษณาให้เธอ
เสียงแหบแห้งของผู้กำกับหวง เป็นเสียงที่ยากจะลืมหลังจากพูดคุยกันเพียงครั้งเดียว นั่นคือเหตุผลว่าทำไมหลินม่ายถึงจำเสียงของเขาได้ทันที
หลินม่ายอดคิดกับตัวเองไม่ได้ว่าเธอมาผิดจังหวะหรือเปล่า มาในเวลาที่ผู้กำกับหวงกำลังอารมณ์เสียอยู่พอดี
ฝีเท้าของเธอเชื่องช้าลง ก้าวไปข้างหน้าอย่างช้า ๆ พลางมองผ่านประตูห้องของผู้กำกับหวงที่เปิดกว้างค้างไว้
ผู้กำกับหวงอยู่ในห้องสวีท
ห้องนั่งเล่นเล็ก ๆ ภายในห้องสวีทเต็มไปด้วยทีมงานจำนวนมาก
มีทั้งนักแสดง รวมถึงบรรดาทีมงานเบื้องหลัง
พนักงานหลายคนที่เพิ่งโดนผู้กำกับหวงตำหนิต่างก้มหน้างุดเหมือนลูกนกกระทา ไม่กล้าพูดอะไรออกมาสักคำ
นักแสดงหลายคนรวมถึงจางอวี้ยืนอยู่ด้านข้างโดยที่ไม่พูดอะไรเลยเช่นกัน บรรยากาศในห้องน่าหดหู่เกินบรรยาย
หลินม่ายเหลือบมองไปทางจางอวี้อย่างลับ ๆ เห็นว่าตัวจริงของอีกฝ่ายสวยกว่าในจอเสียอีก นอกจากหน้าสวยแล้ว ผิวพรรณยังขาวเปล่งปลั่ง
จางอวี้ก็รู้สึกได้เช่นกันว่ามีคนกำลังแอบมองตัวเองอยู่ จึงหันมองไปทางหลินม่าย ทันใดนั้นความประหลาดใจก็ฉายอยู่ในแววตาของหล่อนอย่างชัดเจน
สิ่งที่น่าตื่นตาไม่ใช่แค่ความสวยของผู้หญิงคนนี้เท่านั้น
เพราะผู้หญิงคนนี้สวยกว่าหล่อนไม่รู้ตั้งกี่เท่า!
ที่น่าทึ่งยิ่งกว่าคือเสื้อผ้าที่อีกฝ่ายสวมใส่
วันนี้หลินม่ายสวมเสื้อเชิ้ตแขนสามส่วนสีเบจ ตกแต่งด้วยลูกไม้สไตล์วินเทจ รับกันกับกระโปรงยีนตัวยาวที่มีลูกเล่นผ่าข้าง
ผมยาวสีดำสนิทจัดระเบียบไว้ด้วยกิ๊บติดผมสวยประณีตสองตัว ชุดดูทันสมัยกว่าดาราฮ่องกงและไต้หวันเสียอีก นี่ทำให้หล่อนแอบรู้สึกอิจฉาไม่ได้
หลินม่ายส่งยิ้มให้จางอวี้อย่างเป็นมิตร
จางอวี้ก็ส่งยิ้มกลับไปให้เธอเช่นเดียวกัน
หลินม่ายยืนอยู่ข้างนอกห้องและแอบฟังอยู่พักหนึ่ง จนพอเข้าใจคร่าว ๆ ว่าทำไมผู้กำกับหวงถึงได้อารมณ์เสียแบบนี้
‘มนต์รักภูเขาหลูซาน’ ของผู้กำกับหวงถือเป็นภาพยนตร์แฟชั่นเรื่องแรกในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์ของจีนแผ่นดินใหญ่ เขากำหนดให้นางเอกต้องเปลี่ยนชุดบ่อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
น่าเสียดายที่เครื่องแต่งกายซึ่งฝ่ายฉากจัดหามาให้ล้วนไม่สามารถสะท้อนตัวตนของนางเอกในฐานะที่หล่อนเป็นชาวจีนโพ้นทะเลได้เลย ผู้กำกับหวงจึงโกรธเพราะเหตุนี้
หลังจากรอให้ผู้กำกับหวงระบายอารมณ์จนหมดคำจะพูดแล้ว หัวหน้าทีมฉากภาคสนามก็อธิบายด้วยเสียงพึมพำ “เสื้อผ้าที่ผลิตจากโรงงานตัดเสื้อของรัฐส่วนใหญ่ก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้นแหละค่ะ ฉันอุตส่าห์ไปอ้อนวอนให้คุณปู่ช่วยยืมพวกมันมาจากคุณย่าอีกที”
ผู้กำกับหวงเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะออกคำสั่ง “เอาเงินกองกลางไปซื้อเสื้อผ้าที่ทันสมัยที่สุดจากฮ่องกง ไต้หวัน หรือบริษัทต่างชาติก็ได้”
หัวหน้าฝ่ายฉากตกใจ โต้แย้งด้วยเสียงกระซิบ “แต่เงินทุนสำหรับกองกลางแทบจะไม่เพียงพอแล้วนะคะ ถ้าคุณเบิกเงินไปซื้อเสื้อผ้าอีกหลายสิบชุด ทุนสร้างก็จะยิ่งลดน้อยลงไปอีก…”
หลินม่ายรู้ดีว่าในสมัยนี้ยังไม่มีองค์กรไหนให้การสนับสนุนทุนสร้างภาพยนตร์อย่างเป็นทางการ
ทางสตูดิโอภาพยนตร์ต้องจัดสรรงบประมาณที่ได้รับกันเอง ถ้าค่าใช้จ่ายเกินงบประมาณ ทางเบื้องบนจะไม่มีการสมทบเงินทุนให้เพิ่มอีก
ผู้กำกับหวงเงียบไปอีกครั้ง
เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เริ่มเข้าทางตัวเอง หลินม่ายจึงถือวิสาสะเดินเข้าไปในห้องพร้อมกับเสื้อผ้าและเครื่องประดับในมือ ไปหยุดอยู่ด้านข้างผู้กำกับหวง
เธอโพล่งขึ้นด้วยท่าทางสุภาพที่สุดเท่าที่จะทำได้ “ผู้กำกับหวงคะ ถ้าฉันยินดีมอบเครื่องแต่งกายของนางเอกภาพยนตร์ให้ทีมงานของคุณฟรี ๆ คุณมีความคิดเห็นว่าอย่างไรบ้างคะ?”
………………………………………………………………………………………………………………………..
หัวปลาทะเลสาบผอ อาหารรสชาติเผ็ดเปรี้ยว นำหัวปลาไปหมักกับเครื่องปรุงแล้วนำไปนึ่งกับพริกกระเทียม เสิร์ฟโดยราดซอสร้อน ๆ บนหัวปลาอีกทีหนึ่ง
ไก่หินหลูซาน ถึงเรียกว่าไก่หิน แต่จริง ๆ แล้วมันคือกบหนามแดงที่อาศัยอยู่ตามโขดหินบนเขาหลูซาน สาเหตุที่เรียกไก่หินเพราะเนื้อสัมผัสนุ่มเหมือนสัตว์ปีก นำไปตุ๋นรวมกับเครื่องเทศต่าง ๆ จนกลายเป็นอาหารรสเลิศ
สตูว์เป็ดขาวของเสี่ยวเฉียว มีต้นกำเนิดมาจากเสี่ยวเฉียว ภรรยาของโจวอวี้ผู้ว่าราชการเมืองอู๋ตะวันออก นำเป็ดขาวไปตุ๋นกับถั่งเช่าแล้วปรุงรสซุปจนเข้มข้น กลายเป็นอาหารบำรุงกำลัง
สารจากผู้แปล
พี่หมอสุดจะทุ่มเทเพื่อม่ายจื่ออะ พ่อยอดมนุษย์ พ่อยอดดวงใจ
เข้าทางม่ายจื่อแล้วล่ะสิ ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวเลย
ไหหม่า(海馬)