แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 599 ปรากฏตัวทันเวลา
ตอนที่ 599 ปรากฏตัวทันเวลา
ผลลัพท์เมื่อท่อนไม้กับเหล็กเส้นปะทะนั้นคือ ท่อนไม้หักเป็นสองส่วน แต่เหล็กเส้นยังอยู่ดี
ทว่าการปะทะครั้งนี้ก็ขัดขวางไม่ให้เหล็กเส้นในมือของหม่าเทาหวดมาถึงตัวหลินม่ายได้สำเร็จ
หม่าเทาตะลึงไปเล็กน้อย ก่อนจะเงื้อเหล็กเส้นขึ้นมาอีกครั้งในทันที หวดเข้าใส่หลินม่ายด้วยสีหน้าดุร้าย ท่าทางราวกับหากไม่สังหารเธอให้ตายจะไม่รามือ
แต่น่าเสียดายที่ฟางจั๋วหรานไม่ให้โอกาสนั้นกับเขา ฝ่าเท้าลอยทะยานมา เตะเขาจนกระเด็นออกไปหลายเมตรและล้มลงบนพื้นอย่างแรง จะลุกขึ้นมาก็ลุกไม่ไหว
หลินม่ายพูดขึ้นอย่างประหลาดใจระคนดีใจ “จั๋วหราน คืนนี้คุณอยู่เวรกลางคืนไม่ใช่เหรอ ทำไมจู่ๆ ถึงมาปรากฏตัวได้กันคะ?”
ฟางจั๋วหรานเดินเข้ามา ลูบศีรษะเธอโดยไม่ทันตั้งตัว “โชคดีที่ผมปรากฏตัวได้ทันเวลา ไม่อย่างนั้นคุณคงซวยหนักแน่ๆ”
จากนั้น เขาก็เริ่มพูดเทศนาอย่างจริงจังอย่างกับคุณพ่อแก่ๆ อย่างนั้น “ผมพูดไปไม่รู้กี่ครั้งแล้ว ว่าออกจากบ้านอยู่ข้างนอกต้องใส่ใจเรื่องความปลอดภัยให้ดี โดยเฉพาะตอนกลางคืน แต่คุณก็ไม่ฟัง คืนนี้เกือบจะเป็นเรื่องแล้วไหมล่ะ”
หลินม่ายเอ่ยโต้แย้ง “ฉันไม่ได้ไม่ใส่ใจความปลอดภัยนะ หลักๆ คือฉันเมาแล้ว ขับรถไม่ได้ จึงเดินเท้ากลับบ้าน ดังนั้นถึงได้เจอกับอันตราย ถ้าฉันขับรถได้ คุณคิดว่าเจ้าสวะนั่นจะสามารถทำร้ายฉันได้แม้แต่น้อยไหม?”
ฟางจั๋วหรานจิ้มใบหน้าเล็กขาวนุ่มของเธออย่างไม่คำจะพูดเต็มที “เจ้าเป็ดตายยังปากแข็งอีก”
หลินม่ายเลียนแบบเสียงเป็ดร้องก้าบๆ อย่างซุกซน เย้าหยอกฟางจั๋วหรานเสียจนไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
เขาหันหน้าไปพูดกับกลุ่มชายหญิงสามสี่คนที่ยืนชะเง้อชะแง้อยู่ที่ปากทางตรอก “สหาย ช่วยไปเป็นพยานที่โรงพักให้ผมหน่อยได้ไหม?”
ทันใดนั้น เขาก็ขยับราวกับกระต่ายหลุดจากกรง เดินเข้าไปอย่างรวดเร็วจนไม่ทันได้ตั้งตัว ถีบหม่าเทาที่คิดจะแอบดอดหนีไปล้มลงกับพื้น แล้วพูดกับหนุ่มสาววัยรุ่นสามสี่คนนั้นต่อ “เป็นพยานว่าผู้ชายคนนี้ดักทำร้ายคนอื่นน่ะครับ”
ถึงไม่มีพยานก็แล้วไป แต่ในเมื่อมีพยานบุคคลอยู่ เช่นนั้นไม่ว่าอย่างไรก็ต้องขอให้พยานบุคคลไปเป็นพยานที่สถานีตำรวจให้ได้ ไม่อย่างนั้นเกรงว่าจะตัดสินโทษของหม่าเทาไม่ได้
ในเมื่อเจ้าหมอนี่ชอบกินข้าวคุกขนาดนั้น ก็ต้องสนองให้เขาสักหน่อย
หนุ่มสาววัยรุ่นเหล่านั้นล้วนเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย ซึ่งมาท่องเที่ยวเจียงเฉิงในวันแรงงานพอดี
นักศึกษานั้นมีความรู้สึกรักความยุติธรรมที่สุด ทั้งสามสี่คนหันไปปรึกษาหารือกันเล็กน้อย แล้วตกลงจะไปเป็นพยานที่สถานีตำรวจด้วยกันกับฟางจั๋วหราน
พวกเขาเพียงแต่มาเที่ยวที่เมืองเจียงเฉิง อีกสองวันก็ไปแล้ว
ถึงจะเป็นพยานให้ ก็ไม่ต้องกังวลว่าหม่าเทาจะมาแก้แค้น
ทุกคนคุมตัวหม่าเทามาถึงสถานีตำรวจ หลินม่ายถึงได้รู้ว่า ฟางจั๋วหรานไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นมาโดยบังเอิญ
แต่เพราะเขาเป็นห่วงเธอว่าจะกลับมาอย่างไม่ปลอดภัย จึงจงใจจ้างคนมาแกล้งวิ่งอยู่ที่ประตูโรงแรมหนึ่งชั่วโมง อยากจะเห็นเธอขับรถกลับบ้านด้วยตาตัวเอง
ไม่นึกว่าสิ่งที่ได้เห็นนั้นคือ เธอเดินโซซัดโซเซกลับไปที่บ้าน
เขาไม่ได้ปรากฏตัวออกไป เพราะกลัวหลินม่ายจะไล่เขากลับโรงพยาบาล
สิ่งที่หลินม่ายไม่เต็มใจที่สุดก็คือไปหน่วงเหนี่ยวการงานของเขา
เขาจึงเลือกที่จะแอบตามอยู่ข้างหลังเธอ และคุ้มกันเธอกลับบ้าน
ถึงอย่างไรวิลล่าก็ไม่ได้ห่างจากโรงแรมไกลนัก ระยะทางยี่สิบกว่านาที คุ้มกันเธอกลับบ้านแล้วค่อยกลับโรงพยาบาลก็ไม่ได้หน่วงเหนี่ยวการงานอะไรนัก
แต่คิดไม่ถึงว่า จะได้ช่วยหลินม่ายเอาไว้อย่างคาดไม่ถึงในที่สุด
เมื่อออกมาจากสถานีตำรวจแล้ว หลินม่ายก็ให้ฟางจั๋วหรานรีบกลับไปที่โรงพยาบาล
เสียเวลาอยู่ที่สถานีตำรวจตั้งนาน เวลาก็ผ่านไปชั่วโมงหนึ่งแล้ว
ฟางจั๋วหรานกลับจับมือเล็กของเธอขึ้นมาและพูด “ไม่เป็นไร วันนี้ไม่มีผู้ป่วยอาการหนักพิเศษ ไปสายหน่อยก็ไม่เป็นอะไร ไม่อย่างนั้นแม้แต่ชั่วโมงเดียวผมคงไม่กล้าขอลาหรอก”
เมื่อนั้นหลินม่ายถึงยอมให้เขาไปส่งเธอกลับบ้าน
ทั้งสองเดินไปบนถนนใหญ่ที่คลาคล่ำด้วยแสงสี ซึ่งสามารถเห็นคู่รักหนุ่มสาวเดินจับมือกันเป็นคู่ๆ ได้ทั่วไป
ฟางจั๋วหรานบีบมือเล็กของเธอ “คุณสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสร็จแล้ว ก็น่าจะจัดงานแต่งของพวกเราได้แล้วนะ คุณอยากจัดงานแต่งแบบไหนเหรอ?”
“ฉันเหรอ อยากจัดงานแต่งงานกลางแจ้งน่ะ จัดที่ทะเลสาบตงหู ทิวทัศน์งดงามของภูเขาและทะเลสาบ แต่คิดก็น่าตื่นเต้นแล้ว”
ฟางจั๋วหรานอมยิ้มพยักหน้า “อย่างนั้นเราก็จัดงานแต่งกลางแจ้งกัน”
เขาถามอีกครั้ง “คุณอยากจัดงานแต่งเดือนไหนล่ะ?”
“แน่นอนว่าต้องเป็นเดือนตุลาคมน่ะสิ ในตอนนั้นสภาพอากาศก็เย็นสบายแล้ว ถ้าเร็วว่าเดือนนี้คงจะร้อนมาก”
ฟางจั๋วหรานคิดไว้ว่าเมื่อหลินม่ายสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสร็จ ก็จะสวมชุดแต่งงานให้เธอทันที
ส่วนเรื่องอากาศร้อนเกินไปนั้น ไม่ได้อยู่ในการพิจารณาของเขาเลย
ต่อให้ในวันแต่งงาน แขกเหรื่อทั้งหมดจะร้อนจนเป็นลมล้มพับ แต่ขอแค่เขาสามารถแต่งสาวน้อยเข้าบ้านได้แค่นั้นก็พอแล้ว
เขาอยากจะแต่งสาวน้อยคนนี้เข้าบ้านเร็วๆ
แต่เมื่อที่รักบอกว่า อยากจัดงานแต่งในเดือนตุลาคม อย่างนั้นก็ตามใจเธอแล้วกัน
ฟางจั๋วหรานมาส่งหลินม่ายจนถึงประตูวิลล่า มองเธอเข้าไปในบ้านแล้ว ถึงกลับไปที่โรงพยาบาลอย่างวางใจ
……
หม่าเทาต้องการแก้แค้นจนพยายามทำร้ายคนอื่นโดยเจตนา
เพราะมีพยานรู้เห็น ยืนยันว่าเป็นเรื่องจริง หลังจากเจ้าหน้าที่มอบตัวหม่าเทาให้กับศาล ศาลก็พิจารณาตัดสินโทษออกมาอย่างรวดเร็ว
ทำร้ายผู้อื่นโดยเจตนาในระหว่างการปราบปราม ความผิดก็หนักหนามากอยู่แล้ว นับประสาอะไรกับเรื่องอย่างการโจมตีแก้แค้น แม้ว่าจะไม่สำเร็จ แต่ศาลก็ตัดสินจำคุกหม่าเทาเป็นเวลาสามปี
หลินม่ายได้รับแจ้งจากศาลก็ดีใจมาก เธอพูดกับฟางจั๋วหราน “อย่างน้อยในสามปี หม่าเทาคงทำตัวเหมือนหมาบ้า กระโดดออกมากัดคนอื่นบ่อยๆ ไม่ได้อีกแล้วล่ะ”
ฟางจั๋วหรานหัวเราะโดยไม่ได้พูดอะไร
ถึงจะขังหม่าเถาไว้สามปี หลังผ่านไปสามปีแล้ว พอเขาถูกปล่อยตัวออกมา ก็เหมือนระเบิดที่ตั้งเวลาไว้ลูกหนึ่ง ไม่สู้รื้อเจ้าระเบิดเวลาลูกนี้ทิ้งให้สิ้นซากเสียดีกว่า
‘มนต์รักภูเขาหลูซาน’ เริ่มฉายที่โรงภาพยนตร์ใหญ่แต่ละแห่งในวันแรงงาน ความรักที่งดงาม จูบแรกในประวัติศาสตร์ภาพยนตร์จีน ฉากทิวทัศน์น่ารื่นรมย์ นักแสดงนำชายหญิงหล่อสวย……
โดยเฉพาะในรอบปฐมทัศน์ พิธีกรเน้นย้ำอยู่หลายครั้ง ว่าในภาพยนตร์เวลาไม่ถึง 90 นาที นางเอกเปลี่ยนเสื้อผ้าแฟชั่นไปแล้ว 43 ชุด เฉลี่ยแล้วเปลี่ยนลุคใหม่ทุกๆ สองนาที
อีกทั้งแบบชุดแฟชั่นต่างๆ ที่นางเอกใส่ในภาพนิ่งจากบทละคร ต่างดึงดูดผู้ชมได้อย่างลึกซึ้ง
ช่วงหนึ่ง ตั๋วสักใบก็แทบหาไม่ได้ อีกทั้งยังก่อให้เกิดกระแสความคลั่งไคล้ในแฟชั่นไปทั่วประเทศ
เด็กสาวที่ฐานะดี จะซื้อเสื้อผ้าแบบเดียวกันกับที่นางเอกเคยใส่ใน ‘มนต์รักภูเขาหลูซาน’ ที่แบรนด์เสื้อผ้าจิ่นซิ่วโดยตรง
ส่วนคนที่ไม่มีเงิน ก็จะเอาผ้า เอานิตยสารภาพยนตร์ และใช้รูปของจางอวี้ในภาพยนตร์ ‘มนต์รักภูเขาหลูซาน’ ไปให้ช่างตัดเย็บให้ตามนั้น
เสื้อผ้าจิ่นซิ่วได้ยืมกระแสนี้ของ ‘มนต์รักภูเขาหลูซาน’ จนเป็นที่นิยมขึ้นมาอีกครั้ง อีกทั้งยังทำกำไรได้มหาศาล
ไม่นานก็มาถึงวันที่ 7 กรกฎาคม ซึ่งเป็นวันสอบเข้ามหาวิทยาลัย อากาศร้อนเสียจนได้ยินเสียงบ่นไม่หยุด
การสอบเข้ามหาวิทยาลัยในประเทศจีนนั้นเป็นเรื่องใหญ่มาก ตั้งแต่เข้าเดือนมิถุนายน พวกคุณปู่คุณย่าฟางก็สร้างบรรยากาศการเรียนอันยอดเยี่ยมให้หลินม่าย เพื่อการพุ่งเข้าเส้นชัยโค้งสุดท้ายในการสอบ แม้แต่หอบหายใจก็ยังไม่กล้าทำเสียงดัง
แต่หลินม่ายกลับมีท่าทางเนิบนาบสบายๆ
สองเดือนสุดท้าย ไม่เพียงมีการสอบประจำเดือน นอกจากนั้นยังมีการสอบจำลองต่างๆ มากมาย อย่างน้อยในหนึ่งเดือนก็มีการสอบสำคัญสามครั้ง
ในการทิ้งระเบิดกระดาษข้อสอบครั้งแล้วครั้งเล่า คะแนนสอบของหลินม่ายก็ดีขึ้นเรื่อยๆ
ถึงจะไม่ได้มั่นใจเต็มสิบในการสอบมหาวิทยาลัยชิงหวาหรือมหาวิทยาลัยปักกิ่ง แต่การสอบเข้ามหาวิทยาลัยอู่ฮั่นนั้น เธอคว้าไว้ในกำมือแล้ว
ในยุคนี้ การสอบเข้ามหาวิทยาลัยมีทั้งหมดด้วยกันสามวัน
ทุกคนในบ้านก็มาส่งตัวเธอเข้าสอบทั้งสามวัน อานุภาพเกรียงไกรเสียจนทำให้เพื่อนนักเรียนของหลินม่ายพากันอิจฉา
ในยุคนี้ เด็กสาวในวัยนี้เหมือนกับหลินม่ายนั้นมีมากมาย
เด็กๆ เมื่อมีมากก็ไม่ได้ล้ำค่านัก ดังนั้นถึงการสอบเข้ามหาวิทยาลัยจะเป็นเรื่องใหญ่ แต่ก็แทบจะไม่มีผู้ปกครองมาส่งตัวเข้าสอบเลย
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการออกมาส่งกันทั้งครอบครัวอย่างหลินม่ายเลย
ทว่าคนที่เฝ้าการสอบมีเพียงฟางจั๋วหรานคนเดียว
เมืองเจียงเฉิงในเดือนกรกฎาคม ร้อนราวกับเตากลั่นยาอายุวัฒนะของปรมจารย์เต๋าเลยทีเดียว ฟางจั๋วหรานและหลินม่ายกลัวว่าคุณย่าฟางผู้อาวุโสทั้งสองและโต้วโต้วทั้งคนแก่เด็กเล็กเป็นลมแดดได้ง่าย ไม่ว่าจะพูดอย่างไรก็ไม่ยอมให้พวกเขามาเฝ้าการสอบด้วย
แม้จะบอกว่าในใจจะรู้ดีอยู่แล้ว แต่หลินม่ายก็ยังขอพรให้ตัวเองโชคดี และให้เถาจืออวิ๋นช่วยตัดชุดกี่เพ้าประยุกต์สีแดงสองสามชุดให้เธอใส่ไปสอบ
วันแรกของการสอบ เมื่อเธอปรากฏตัวในชุดกี่เพ้า เพื่อนนักเรียนที่สอบสนามเดียวกันก็ถูกเธอทำเอาตื่นตะลึง ชมว่าเธอรูปร่างดี สวมชุดกี่เพ้าแล้วสวยมากๆ
ทว่าพวกเขาไม่เข้าใจเลยว่า จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยอยู่แล้ว ทำไมเธอถึงยังมีอารมณ์แต่งเนื้อแต่งตัวอยู่อีก?
หลินม่ายยิ้มพลางส่ายหน้า “ไม่ใช่เพื่อประดับประดาตัวหรอก แต่เพื่อให้โชคดีเป็นมงคล กี่เพ้ากี่เพ้า ชักธงรบก็ชนะศึก” (1)
เพื่อนนักเรียกหญิงสองสามคนพูดหยอกล้อ “มิน่ากี่เพ้าของเธอถึงได้แหวกขึ้นสูงขนาดนี้ เธอต้องชนะศึกตั้งแต่ชักธงขึ้นแน่นอน”
ฟางจั๋วหรานที่ยืนอยู่อีกด้านหนึ่งก้มลงมองไปที่กี่เพ้าของหลินม่าย มันแหวกสูงไปหน่อยจริงๆ
รอสาวน้อยสอบเข้ามหาวิทยาลัยเสร็จ กี่เพ้าชุดนี้คงจะเก็บไว้ไม่ได้เสียแล้ว
วิชาภาษาและวรรณกรรมในช่วงเช้า ทุกคนออกมาจากสนามสอบด้วยอารมณ์ที่ยังนับว่าสงบนิ่ง ซึ่งยืนยันได้ว่ายังพอจะทำข้อสอบได้
………………………………………………………………………………………………………………………..
(1)ชุดกี่เพ้า หรือ ฉีเผา(旗袍) ในภาษาจีนประกอบด้วยคำว่า ฉี(旗)แปลว่าธง และเผา(袍)แปลว่าชุมคลุมยาว พ้องกับสำนวนว่า ชักธงรบชนะศึก(旗开得胜) ซึ่งอุปมาว่าประสบผลสำเร็จตั้งแต่เริ่มต้น
สารจากผู้แปล
พี่หมอช่างใส่ใจเหลือเกิน หาแฟนประเสริฐแบบนี้ได้ที่ไหนอีก
มีการมูก่อนสอบด้วยแฮะ
ไหหม่า(海馬)