แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 624 กินงานเลี้ยงในฮ่องกง
ตอนที่ 624 กินงานเลี้ยงในฮ่องกง
หลินม่ายกลัวว่าเถาจืออวิ๋นจะไม่ปลอดภัยหากขึ้นรถไฟคนเดียว แม้ว่ากฎระเบียบตอนนี้จะดีขึ้นมาก แต่หล่อนก็ไม่ใช่หลินม่ายและไม่มีความสามารถที่จะป้องกันตัวเองได้
หลินม่ายจึงให้เถาจืออวิ๋นโดยสารเครื่องบินกลับไปที่เจียงเฉิง
วันรุ่งขึ้น พวกเขาก็ส่งเถาจืออวิ๋นไปที่สนามบิน
ฟางจั๋วเยวี่ยแสดงความกังวลอย่างมากต่อเถาจืออวิ๋น แต่เถาจืออวิ๋นไม่ได้สนใจเขามากนัก
หลังจากเถาจืออวิ๋นถูกส่งกลับไปยังเจียงเฉิง หลินม่ายก็เดินทางไปฮ่องกงในวันเดียวกัน
ในช่วงปี 1980 ในชีวิตที่แล้ว หลินม่ายยังคงทำงานเป็นคนขายของริมถนนเล็ก ๆ ในเจียงเฉิงและต้องดิ้นรนอย่างหนัก แน่นอนว่าเธอไม่มีโอกาสได้เดินทางมาฮ่องกง
ฮ่องกงในทศวรรษที่ 1980 เต็มไปด้วยอาคารสูง เมื่อเทียบกับฮ่องกงในปัจจุบันแล้ว ช่องว่างระหว่างกว่างโจวและฮ่องกงก็ไม่ห่างไกลกันนัก
เนื่องจากฟางจั๋วหรานต้องเข้าร่วมการสัมมนาทางวิชาการ ทางโรงพยาบาลอี๋เหอจึงจัดที่พักให้เขา ขณะที่หลินม่ายและฟางจั๋วเยวี่ยต้องหาโรงแรมด้วยตัวเอง
อย่างไรก็ตาม การหาโรงแรมที่พักด้วยตัวเองจะดีกว่าสำหรับสามคน เพื่อพวกเขาจะได้อยู่ด้วยกันและดูแลซึ่งกันและกัน
พวกเขาจึงเลือกโรงแรมใกล้โรงพยาบาลอี๋เหอ
แผนกต้อนรับบอกพวกเขาว่า ตอนนี้เป็นฤดูการท่องเที่ยว ไม่มีห้องสแตนดาร์ดหลงเหลือ มีเพียงห้องเดี่ยวที่มีเตียงคู่และห้องซูพีเรียร์
ห้องเดี่ยวสองห้องก็เพียงพอแล้วสำหรับพวกเขา ห้องหนึ่งสำหรับฟางจั๋วหราน และอีกห้องสำหรับหลินม่าย
ดังนั้นฟางจั๋วหรานจึงจองห้องคู่ทั้งสองห้อง
เมื่อบริกรจัดห้อง เขาและหลินม่ายก็ถูกจัดให้อยู่ในห้องเดียวกันเป็นปกติ
ขณะที่หลินม่ายกำลังจะอธิบาย ฟางจั๋วเยวี่ยก็ดึงบริกรออกไปพร้อมกับขยิบตาและกล่าว “ฉันตัวใหญ่ ฉันต้องนอนบนเตียงคนเดียว”
ฟางจั๋วหรานมองไปยังหลินม่ายโดยแสร้งทำเป็นทำอะไรไม่ถูก “งั้นเรามาแชร์ห้องกันเถอะ”
เนื่องจากตอนนี้เป็นฤดูร้อน เธอต้องสวมใส่เสื้อผ้าบางเพื่อให้สบายตัว ด้วยกลัวว่าอาจเกิดเรื่องเกินเลย เธอจึงปฏิเสธเขาทันที
เธอลากกระเป๋าเดินทางของเขาไปยังห้องของฟางจั๋วเยวี่ย “คุณควรแชร์ห้องกับน้องชายของคุณ”
“ทำไมล่ะ? เราไม่เคยนอนด้วยกันมาก่อนเลยนะ” ฟางจั๋วหรานเยถามอย่างงุนงง
“หากตอนนี้ไม่ใช่ฤดูร้อน ฉันคงไม่รังเกียจที่จะนอนร่วมห้องกับคุณ”
หลังกล่าวเพียงไม่กี่คำ พวกเขาก็มาถึงห้องของฟางจั๋วเยวี่ย
หลินม่ายวางกระเป๋าเดินทางของฟางจั๋วหรานไว้ที่ประตูห้องของฟางจั๋วเยวี่ยและจากไป
แต่เมื่อเธอกลับมาที่ห้อง กระเป๋าของฟางจั๋วหรานก็ถูกฟางจั๋วเยวี่ยนำกลับมา แสดงชัดว่าไม่ยอมให้พี่ชายอยู่ร่วมด้วย
ฟางจั๋วเยวี่ยยังกล่าว “ฉันไม่อนุญาตให้ใครก็ตามมาอยู่ห้องเดียวกับฉัน”
ฟางจั๋วหรานมองไปที่หลินม่ายอย่างน่าสังเวช
หลินม่ายไม่ได้โง่ เธอรู้ว่าสองพี่น้องกำลังวางแผนจะทำอะไร
หากรู้ว่าไม่มีทางเลือกและฟางจั๋วหรานทำได้เพียงพึ่งพาเธอเท่านั้น หลินม่ายก็ทำได้เพียงยอมรับ
หลังจากเก็บสัมภาระก็เป็นเวลาห้าโมงเย็นแล้ว ทั้งสามคนก็ออกไปรับประทานอาหารเย็นด้วยกัน
ฟางจั๋วเยวี่ยรู้ว่าพี่ชายของเขาได้มอบทรัพย์สินของครอบครัวทั้งหมดให้กับหลินม่าย
แม้จะมีบางอย่างที่ยังไม่สามารถส่งมอบได้ชั่วคราวเช่น ทรัพย์สินขนาดใหญ่ที่ป้าของเขาทิ้งไว้ แต่ก็ยังถูกบริหารจัดการโดยหลินม่าย ดังนั้นจึงเป็นที่รู้กันว่าผู้รับผิดชอบจ่ายค่าอาหารคือหลินม่าย
เขากล่าวต่อหลินม่ายอย่างมีเลศนัย “พี่สะใภ้ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันมาฮ่องกง ช่วยพาฉันไปกินอาหารอร่อย ๆ ได้ไหม?”
หลินม่ายคิดว่าคงเป็นเรื่องน่ารังเกียจไม่น้อยหากเธอปฏิเสธ ดังนั้นจึงทำได้เพียงพยักหน้าเห็นด้วย
ฟางจั๋วหรานเคยมาฮ่องกงหลายครั้ง แน่นอนว่าเขารู้แหล่งอาหารมากกว่าทั้งสองคน
เขาชี้ไปที่ด้านหน้าพลางกล่าว “ข้างหน้ามีร้านอาหารจีนที่อร่อยมาก เราไปกินข้าวเย็นที่นั่นกันเถอะ”
ด้านหน้าที่ฟางจั๋วหรานกล่าวถึงอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย และหลินม่ายต้องการนั่งรถบัสไปที่นั่น
ฟางจั๋วเยวี่ยกำลังอึดอัดจนแทบจะระเบิด
ฮ่องกงในยุคนี้มีความเป็นตะวันตกมาก ผู้ชายต้องใส่สูทและสวมรองเท้าหนังเวลาออกไปข้างนอก และผู้หญิงไม่สามารถสวมใส่เสื้อผ้าที่ดูเหมือนชายเช่นยุคปัจจุบันได้
ตอนนี้ฟางจั๋วเยวี่ยอยู่ในชุดทางการ ยืนอยู่บนถนนในฮ่องกงในเดือนกรกฎาคม เขาจึงต้องการนั่งแท็กซี่และต่อต้านการขึ้นรถบัสอย่างเด็ดขาด
เศรษฐกิจของฮ่องกงพัฒนามากและค่าครองชีพก็ค่อนข้างสูง การนั่งแท็กซี่ไม่ได้มีราคาถูกสำหรับสามคน แต่หลินม่ายมาจากจีนแผ่นดินใหญ่ จึงไม่ต้องการนั่งแท็กซี่
เมื่อเห็นว่าฟางจั๋วหรานเริ่มทนต่ออากาศอันร้อนระอุไม่ไหว เธอก็รู้สึกเป็นทุกข์ จึงกัดฟันและเรียกรถแท็กซี่ทันที
ฟางจั๋วเยวี่ยมีความสุขมาก เขานั่งบนที่นั่งผู้โดยสาร หันหน้าหาหลินม่ายแล้วกล่าว “ขอบคุณพี่สะใภ้มาก”
หลินม่ายพูดอย่างตรงไปตรงมา “ฉันรู้สึกสงสารพี่ชายของนายจึงนั่งแท็กซี่ ฉันไม่ได้ทำเพื่อนาย”
ฟางจั๋วเยวี่ยปิดปากด้วยความผิดหวัง
ฟางจั๋วหรานมีความสุขจึงหยิบบ๊วยขึ้นมาหนึ่งคำแล้วกล่าวต่อหลินม่าย “ที่รัก อา~”
เมื่อเห็นพี่ชายและพี่สะใภ้ป้อนอาหารให้แก่กัน ฟางจั๋วเยวี่ยก็รู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างมาก และอดไม่ได้ที่จะนึกถึงเถาจืออวิ๋น
หากเขาและเถาจืออวิ๋นอยู่ด้วยกัน พวกเขาก็คงจะป้อนอาหารซึ่งกันและกันแบบนี้
ร้านอาหารจีนที่ฟางจั๋วหรานกล่าวถึงดูธรรมดามากเมื่อมองแวบแรก จนฟางจั๋วเยวี่ยเริ่มสงสัยว่าอาหารในร้านจะไม่อร่อยอย่างที่ฟางจั๋วหรานพูด
แต่ลักษณะภายนอกไม่อาจวัดรสชาติอาหารได้
บริกรนำเมนูมาให้ และทั้งสามก็รวมตัวสั่งอาหาร
บนโต๊ะแห่งนี้นั่งร่วมกันสามคน แต่มีเพียงฟางจั๋วเยวี่ยคนเดียวที่สั่ง
เขาพูดกับบริกร “ห่านย่างฮ่องเต้ หมูอบน้ำผึ้ง นกพิราบย่าง และซุปไก่ตุ๋นมะพร้าว ทั้งหมดสี่จาน ขอบคุณครับ”
หลินม่ายสูดหายใจเข้าลึกเมื่อเห็นราคาของอาหารเหล่านั้น
อาหารแต่ละจานมีราคามากกว่าหนึ่งร้อยดอลลาร์ฮ่องกง และอาหารสี่อย่างกับซุปหนึ่งชามมีราคามากกว่าสี่ร้อยดอลลาร์!
ทันทีที่บริกรออกไป หลินม่ายก็อดไม่ได้ที่จะกล่าว “สั่งอาหารราคาแพงขนาดนี้ จะทำให้ฉันล้มละลายหรือยังไง?”
ฟางจั๋วเยวี่ยหัวเราะพลางกล่าว “โอกาสที่จะได้เดินทางมาฮ่องกงมีไม่มากนัก ดังนั้นเราต้องได้ชิมอาหารอร่อย ๆ สิ”
“งั้นก็สั่งผัดผักกวางตุ้ง ผัดผักกาด ผัดฟักทอง และเผือกสิ ไม่ใช่สั่งอาหารราคาแพงระยับแบบนี้!”
ฟางจั๋วหรานเห็นว่าหลินม่ายกำลังไม่พอใจจึงคิดจะช่วยเธอสงบสติอารมณ์ ทันใดนั้นฟางจั๋วเยวี่ยก็แทรกขึ้น
“ดูคุณสิ ในฐานะผู้บริหารของบริษัทที่มีมูลค่าสุทธิเกือบสิบล้าน แต่กลับงกเงินเพียงเท่านี้เหรอ? คุณไม่ต้องใช้เงินของตัวเองด้วยซ้ำ!”
หลินม่ายเชิดหน้าขึ้นทัาที “เงินทุกหยวนของฉันเป็นเงินที่หามาอย่างยากลำบาก แน่นอนว่าฉันทนไม่ได้กับการใช้จ่ายสุรุ่ยสุร่ายแบบนี้!”
“งั้นคุณก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงินของตัวเอง แล้วผมจะใช้เงินที่พี่ชายผมหามาไม่ได้เลยเหรอ? คุณไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดา คุณไม่เพียงเป็นภรรยาของศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยทางการแพทย์ที่มีชื่อเสียงเท่านั้น แต่ยังเป็นภรรยาทายาทของบริษัทการค้าระหว่างประเทศที่มีชื่อเสียงในสหรัฐอเมริกาอีกด้วย”
หลินม่ายขัดจังหวะเขา “แต่พี่ชายของคุณและฉันยังไม่ได้แต่งงานกัน”
ฟางจั๋วหรานรินน้ำชาให้แก่เธอ “ยังไม่ใช่เร็ว ๆ นี้ แต่เราจะแต่งงานกันในเดือนตุลาคม”
ฟางจั๋วเยวี่ยโบกมือ “คุณไม่สามารถหนีจากพี่ชายผมได้ ดังนั้นจงยอมรับชะตากรรมของคุณซะ”
มุมปากของฟางจั๋วหรานยกขึ้น เขาชอบที่จะได้ยินคำพูดเหล่านี้
ฟางจั๋วเยวี่ยกล่าวต่อ “ครอบครัวของคุณร่ำรวยเงินทอง ร่ำรวยอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ มีเงินมากมายทำไมถึงยังหุงข้าวด้วยเตาถ่านแทนเตาแก๊ส?”
หลินม่ายจ้องมองเขาด้วยสายตางุนงง “บ้านเรามีเตาแก๊สอยู่แล้ว และไม่ได้หุงข้าวด้วยเตาถ่าน…”
ฟางจั๋วเยวี่ยกระแอมสองครั้ง “นั่นไม่ใช่ประเด็น ประเด็นคือหากคุณมีเงิน แล้วไม่ใช้ ก็จะตายไปโดยเปล่าประโยชน์ หากคุณไม่ยอมใช้เงินที่พี่ชายผมหามา คุณอาจไม่มีโอกาสให้ใช้ในวันต่อไป เกิดเป็นหญิงโหดเหี้ยมได้ แต่อย่ามากเกิน พูดง่าย ๆ คือต้องเหี้ยมแต่พอตัว เพราะหากหญิงไม่เหี้ยมโหดเลย ฐานะก็จะไม่มั่นคง!”
คำพูดเหล่านี้ดูเหมือนจะสมเหตุสมผลและหลินม่ายก็ตกอยู่ในห้วงความคิด
ฟางจั๋วหรานหันหลังให้ฟางจั๋วเยวี่ย “นายกำลังพูดถึงเรื่องไร้สาระอะไร?
ฟางจั๋วเยวี่ยไม่รู้ว่าพี่ชายของเขาเป็นคนโหดเหี้ยมจนถึงทุกวันนี้
บริกรนำอาหารสามอย่างของฟางจั๋วเยวี่ยและซุปหนึ่งอย่างมาที่โต๊ะ
หลินม่ายไม่เคยกินอาหารสี่จานนี้มาก่อน ดังนั้นเธอจึงชิมทีละจาน
ห่านย่างฮ่องเต้เนื้อนุ่มหอมถึงกระดูก เนื้อแน่นแต่ไม่มันเยิ้ม เสิร์ฟพร้อมน้ำจิ้มบ๊วยรสเปรี้ยวเป็นเอกลักษณ์
หมูอบน้ำผึ้งหอมหวานแต่ไม่เลี่ยน เข้มข้นและอร่อย แต่มีรสหวานนำซึ่งเป็นสิ่งที่หลินม่ายไม่ชอบมากนัก
นี่เป็นรสนิยมส่วนบุคคลและไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคุณภาพของอาหาร
ตราบใดที่ยังเป็นอาหารรสเลิศสำหรับคนอื่น ๆ หลินม่ายก็จะไม่ตัดสิน
อีกสองจานก็รสชาติดีเช่นกัน
แม้จะมีราคาแพง แต่ก็อร่อยมาก!
หลังกินดื่มจนอื่มหนำ พวกเขาก็เช็คเอาท์และออกเดินทาง
กระเป๋าเงินของฟางจั๋วเยวี่ยสะอาดกว่าใบหน้าของเขาแล้ว และคงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะจ่ายอะไรได้อีก
ฟางจั๋วหรานจงใจไม่จ่ายเงินด้วยตัวเองเพื่อแสดงว่าเขาเป็นผู้ชายที่มีภรรยาแล้ว
หลินม่ายหยิบกระเป๋าเงินออกมาเพื่อจ่ายค่าอาหาร และพึมพำอย่างช่วยไม่ได้ “สิ้นเปลืองจริง ๆ ค่าอาหารมื้อละสี่ห้าร้อยหยวน เราจะขึ้นรถเมล์กลับ ใครก็ตามที่ร้องเรียกการขึ้นแท็กซี่ ฉันจะบีบคอคนนั้น”
ฟางจั๋วหรานยิ้ม หลังจากได้ยินดังนั้นเขาก็หยิบกระเป๋าเงินออกมาและรีบไปชำระค่าอาหารก่อนเธอ
หลินม่ายและฟางจั๋วหรานเดินจับมือกันออกมาจากร้านอาหาร
หลินม่ายมองขนมในร้านอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะเบนสายตาไปยังร้านขายเสื้อผ้า
เธอจะไม่ยอมซื้อของที่ไม่จำเป็น ดังนั้นจึงทำได้เพียงยืนมอง
ฟางจั๋วหรานติดตามเธออย่างอดทนและบอกกับเธอว่าหากต้องการซื้ออะไรก็ให้ไปยังห้างสรรพสินค้าเพื่อซื้มาโดยไม่ต้องเสียดายเงิน
มันเจ็บปวดมากสำหรับฟางจั๋วเยวี่ยที่เดินตามหลังพวกเขาซึ่งเป็นคู่รัก และในที่สุดก็เดินกลับไปยังโรงแรมคนเดียว
หลินม่ายและฟางจั๋วหรานเดินเล่นกันจนถึงประมาณสี่ทุ่มก่อนจะกลับโรงแรม
ฟางจั๋วหรานถือถุงกระดาษและรองเท้าหรูหราหลายใบไว้ในมือ
สิ่งอำนวยความสะดวกของโรงแรมในฮ่องกงนั้นดีมาก
หลินม่ายอาบน้ำอย่างสบายตัวแล้วนอนบนเตียงอย่างสบายใจ
เมื่อฟางจั๋วหรานเข้านอน เธอก็นอนหนุนตักเขาอย่างสบายใจ
ขณะที่ฟางจั๋วหรานรู้สึกไม่ค่อยสบายตัวนัก เขาใช้เวลาอีกคืนไปกับความหวานชื่นและทรมาน
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ค่าอาหารโหดมาก กระเป๋าเบาเลยทีเดียว แต่ในเมื่อมาถึงที่แล้วก็ต้องกินให้คุ้มล่ะนะ
ไหหม่า(海馬)