แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 63 อู๋เสี่ยวเจี๋ยนถูกจับ
ตอนที่ 63 อู๋เสี่ยวเจี๋ยนถูกจับ
ไม่นานก็ล่วงเข้าสู่วันที่เจ็ดของเดือนแรกตามปฏิทินจันทรคติ หลังกินอาหารเช้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว หลินม่ายก็พาโต้วโต้วไปที่ศาลแขวง เพื่อฟ้องร้องตระกูลอู๋ที่ใช้ความรุนแรงกับเธอ
ยุคสมัยนี้มีคดีความน้อยมาก คดีที่เกี่ยวกับความรุนแรงในครอบครัวก็มีน้อยเช่นเดียวกัน
เจ้าหน้าที่ที่ทำงานอยู่ในศาลแขวงจึงนั่งว่างอย่างเงียบเหงาจนเห็ดแทบงอกออกมาตามร่างกาย พอมีคนเข้ามายื่นฟ้อง จึงใช้เวลาไม่นานในการอนุมัติบังคับคดี และกำหนดวันขึ้นศาลอีกครั้งในวันที่สิบสองของเดือนเดียวกัน
หลินม่ายพึงพอใจกับการดำเนินงานที่รวดเร็วนี้
การฟ้องร้องต้องใช้เวลานานและมีขั้นตอนมากมาย ถึงแม้ว่าศาลจะกำหนดวันเริ่มพิจารณาคดีในวันที่สิบสองที่จะถึงนี้ก็จริง แต่ต้องใช้เวลาอย่างต่ำหนึ่งเดือนกว่าจะปิดคดีได้
หลินม่ายยังคิดวางแผนจะพาโต้วโต้วเข้าเมืองอีกครั้งเพื่อทำกิจการค้าขายเล็ก ๆ หลังจากผ่านพ้นช่วงเทศกาลโคมไฟไปแล้ว เธอจำเป็นต้องค้าขายเพื่อหาเงินไว้ใช้จ่ายประกอบการยื่นฟ้อง
ประเทศจีนเริ่มสนับสนุนอาชีพนักกฎหมายอย่างเป็นทางการในปี 1986 หมายความว่าในตอนนี้อาชีพทนายยังไม่แพร่หลาย
อย่างไรก็ตาม ประชาชนสามารถไว้วางใจให้ศาลช่วยดำเนินการเกี่ยวกับคดีได้ ทางศาลจะจัดหาเจ้าหน้าที่ผู้ชำนาญการมาช่วยเหลือเธอด้านคดีความ แต่ก็ต้องจ่ายค่าธรรมเนียมนิดหน่อย
สำหรับหลินม่ายแล้ว ค่าใช้จ่ายในยุคนี้ถือว่าแตกต่างกับค่าใช้จ่ายที่ใช้จ้างทนายสู้คดีในยุคสมัยปัจจุบันมาก
ตามระเบียบการแล้ว หลังจากจ่ายค่าธรรมเนียมให้ศาลไปแล้วสามสิบหยวน เธอก็เดินทางกลับบ้านพร้อมกับโต้วโต้วได้
คุณปู่ฟางเคยดำรงตำแหน่งเป็นเจ้าพนักงานราชการอาวุโส ส่วนคุณย่าฟางก็เป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของกรุงปักกิ่งที่เกษียณอายุราชการแล้วเช่นเดียวกัน แน่นอนว่าทั้งสองมีความรู้เรื่องระบบงานราชการอยู่บ้าง แต่เพราะไม่มีใครใกล้ตัวเคยยื่นฟ้องคดีมาก่อน จึงไม่ค่อยรู้ขั้นตอนการดำเนินงานเท่าไหร่นัก ต่างก็คิดว่าการตัดสินคดีจะเกิดขึ้นภายในวันนี้เลย
ทันทีที่หลินม่ายพาลูกสาวของเธอกลับมาถึงบ้าน สองสามีภรรยาอาวุโสก็แทบอดใจรอไม่ไหวที่จะถามไถ่เธอถึงคำพิพากษาของศาล
หลินม่ายตอบกลับยิ้ม ๆ “พวกเขาเพิ่งรับเรื่องฟ้องร้องวันนี้เองค่ะ ศาลนัดหมายให้ไปฟังการพิจารณาคดีในวันที่สิบสองเดือนนี้ ในส่วนของคดีคงต้องใช้เวลาอย่างน้อยหนึ่งเดือนถึงจะเป็นที่สิ้นสุด ผลการตัดสินไม่ประกาศเร็วขนาดนั้น”
ได้ยินแบบนี้ สองผู้ชราจึงตระหนักว่าการยื่นฟ้องคดีนั้นลำบากไม่น้อย
ชั่วพริบตาเดียว เวลาก็ผ่านไปจนถึงวันที่สิบ
สองแม่ลูกใช้เวลาอยู่ร่วมกับสองผู้เฒ่าตลอดช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา
หลังจากเทศกาลโคมไฟ หลินม่ายต้องเข้าไปในเมืองเพื่อค้าขายเช่นทุกครั้ง อาจไม่มีเวลาทำอาหารให้กับคุณปู่ฟางและคุณย่าฟางเหมือนที่ผ่านมา จึงพยายามใช้เวลาช่วงที่ยังว่างอยู่ทำอาหารอย่างสุดความสามารถ
อาหารทุกอย่างที่เธอทำเป็นเมนูที่เปื่อยนุ่มง่ายต่อการเคี้ยว เหมาะสำหรับเด็กและคนชรา
ช่วงบ่ายของวันที่สิบ หลินม่ายเข้าครัวเพื่อทำเค้กอย่างง่าย ๆ
บ้านของสองเฒ่าตระกูลฟางไม่มีเตาอบ ดังนั้นเธอจึงพลิกแพลงการทำเค้กจากการอบเป็นการนึ่งแทน ซึ่งใช้เวลานานและสิ้นเปลืองแรงงานกว่าวิธีปกติ
พอเค้กที่เพิ่งนึ่งเสร็จใหม่ ๆ ถูกยกออกจากเตา เจ้าหน้าที่จากสถานีตำรวจก็เข้ามาแจ้งหลินม่ายถึงผลการสอบสวนคดีฉ้อโกงการแต่งงาน
หลังจากที่พวกเขาลงพื้นที่ไปยังหมู่บ้านสกุลหวังและหมู่บ้านสกุลอู๋ ชาวบ้านเกือบทุกหลังคาเรือนของทั้งสองหมู่บ้าน ต่างยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่าหลินม่ายคือเหยื่อชิ้นโตของคดีฉ้อโกงการแต่งงาน แม้แต่เติ้งซิ่วจือที่เป็นพี่สะใภ้ของเธอก็ให้ความเห็นไม่ต่างจากคนอื่น ๆ
นอกจากนี้ อู๋เสี่ยวเจี๋ยนกลับเป็นฝ่ายยอมรับสารภาพผิดด้วยตัวเอง เขาให้การว่าคนที่วางแผนและจัดการเรื่องทั้งหมดในคดีฉ้อโกงการแต่งงานคือตัวเขาเองแค่คนเดียว ทางตำรวจจึงเข้าจับกุม แล้วพาตัวเขาเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมต่อไป
หลินม่ายตกตะลึง
เธอพอรู้อยู่บ้างว่าอู๋เสี่ยวเจี๋ยนรักและเทิดทูนหลินเพ่ยถึงขนาดไหน แต่คิดไม่ถึงเลยว่าเขาจะรักหล่อนมากถึงขั้นยอมรับโทษแทน และสารภาพว่าตัวเองต่างหากที่คือคนร้ายตัวจริง!
ในเมื่อเขาตัดสินใจแบบนั้นเองก็ช่วยอะไรไม่ได้ น่าเสียดายที่หลินเพ่ยรอดพ้นความผิดไปได้อีกครั้ง
หลินม่ายถามด้วยความกังวล “เขาถูกตัดสินจำคุกกี่ปีหรือคะ?”
เนื่องจากอู๋เสี่ยวเจี๋ยนยอมรับสารภาพผิดตั้งแต่แรก หลินม่ายคิดว่าเขาคงถูกศาลสั่งลดโทษและตัดสินให้จำคุกแค่ไม่กี่ปี แต่นั่นก็ทำให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าความรักที่เขามีต่อหลินเพ่ยนั้นลึกซึ้งแค่ไหน
ตำรวจที่มีรายงานผลสรุปของคดีถึงหน้าประตูบ้านนิ่งคิดครู่หนึ่ง ก่อนจะวิเคราะห์อย่างเป็นกลาง
“ถึงเขาจะทำผิดจริงที่หลอกให้คุณยอมแต่งงานด้วย แต่การกระทำของเขายังมีผลต่อการพิจารณาตัดสินโทษ ถ้าเขาไม่ยอมรับสารภาพ คงใช้เวลาในการไต่สวนข้อเท็จจริงกันนานกว่านี้ โทษก็ยิ่งหนักขึ้นเรื่อย ๆ แต่เนื่องจากเขายอมรับสารภาพผิด ไม่ว่ายังไงเขาก็ถูกตัดสินจำคุกอยู่ดี แต่อาจไม่นานหลายปีหรอกครับ มากสุดประมาณหนึ่งปีเท่านั้น”
พอรู้ว่าเขาถูกตัดสินจำคุกแน่ ถึงแม้แค่ปีเดียว แต่หลินม่ายก็พอใจมาก
หลังจากอู๋เสี่ยวเจี๋ยนถูกปล่อยตัวออกจากเรือนจำ ชีวิตของเขาก็จบเห่อยู่ดี สังคมในยุคสมัยนี้ค่อนข้างที่จะเลือกปฏิบัติต่อคนที่มีชนักติดหลังเป็นอดีตนักโทษอย่างรุนแรง
เมื่ออู๋เสี่ยวเจี๋ยนถูกตำรวจจับกุมตัวไป บ้านตระกูลอู๋ก็ตกเป็นขี้ปากของชาวบ้านอย่างสมบูรณ์ พอเห็นคนในบ้านตระกูลอู๋เดินผ่านมา ทุกคนก็พากันถอยออกห่าง เพราะกลัวว่าตัวเองจะพลอยดวงซวยตามไปด้วย
อู๋เสี่ยวเถาอายุสิบแปดปีเต็ม กำลังสวยสะพรั่งเต็มสาว คิ้วหนาตาโตได้รูป
แม่สื่อหลายคนทั้งจากในและนอกหมู่บ้านต่างแวะเวียนมาจีบเธอไม่ขาดสาย บรรดาลูกชายของอีกฝั่งหนึ่งล้วนเป็นทายาทของตระกูลที่พอมีฐานะในระดับหนึ่ง รูปร่างหน้าตาดีเหมาะสมกัน
ความจริงแล้วบ้านตระกูลอู๋มีลูกสาวหลายคน อีกทั้งอู๋จินกุ้ยก็ไม่ได้รักลูกชายมากไปกว่าลูกสาวอย่างคร่ำครึเหมือนครอบครัวอื่น ๆ
ดังนั้นพวกเขาจึงคัดเลือกครอบครัวของสามีในอนาคตให้กับลูกสาวคนโตอย่างระมัดระวัง ใครจะคิดว่าชีวิตแต่งงานที่ควรเป็นไปได้ด้วยดีของอู๋เสี่ยวเถากลับพังทลายไม่เหลือชิ้นดี!
ยังไม่ทันที่ครอบครัวของเธอจะเฟ้นหาลูกเขยที่เหมาะสมคู่ควรที่สุดให้กับลูกสาวคนโต อู๋เสี่ยวเถาก็มาถูกตำรวจจับตัวไปเสียก่อน บรรดาแม่สื่อทั้งหลายพากันถอนตัวในทันที ไม่ต้องการดองกับบ้านตระกูลอู๋อีกต่อไป
การแต่งงานของลูกสาวคนโตตระกูลอู๋จบสิ้นกันคราวนี้ อู๋เสี่ยวเถาโกรธแค้นมากจนนอนร้องไห้ทุกคืนอย่างน่าเวทนา
แต่นั่นยังไม่ใช่เรื่องที่ทำให้เหยาชุ่ยฮวาปวดหัวที่สุด
สิ่งที่ทำให้เหยาชุ่ยฮวาตื่นตระหนกมากกว่า คือการที่เจ้าหน้าที่จากศาลแขวงเดินทางมาที่หมู่บ้านของพวกเขา แล้วเริ่มสอบสวนว่าสองสามีภรรยาและอู๋เสี่ยวเจี๋ยนทำร้ายร่างกายหลินม่ายจริงหรือไม่
นับตั้งแต่เจ้าหน้าที่จากศาลแขวงเข้ามาสอบสวนพวกเขาถึงที่ เหยาชุ่ยฮวาและอู๋จินกุ้ยก็เริ่มสติแตก ด้วยกลัวว่าวันหนึ่งตัวเองจะถูกตำรวจจับกุมตัวไปในสภาพที่ไม่ต่างจากอู๋เสี่ยวเจี๋ยน
ความคับแค้นใจของเหยาชุ่ยฮวาเพิ่มพูนขึ้นเรื่อย ๆ
ถ้าไม่ใช่เพราะนางจิ้งจอกอย่างหลินเพ่ยมาหว่านเสน่ห์ให้ลูกชายคนโตของพวกเขาหลงรักอย่างหัวปักหัวปำ อู๋เสี่ยวเจี๋ยนคงไม่ต้องมารับสารภาพผิดในคดีฉ้อโกงการแต่งงานแทนหล่อน ตระกูลอู๋คงไม่ถูกหล่อนหลอกลวงเอาเงินค่าสินสอดไปจ่ายค่าเล่าเรียนและแต่งตัวสวยไปวัน ๆ
ถ้าไม่ใช่เพราะหล่อน หลินม่ายคงไม่ได้แต่งเข้าตระกูลอู๋ตั้งแต่แรก ถ้าพวกเขาไม่มีหลินม่ายให้ทุบตี ก็คงไม่ต้องมาตกอยู่ในความเสี่ยงที่จะติดคุกติดตะรางแบบนี้
ในเมื่อนางจิ้งจอกตัวนั้นคือต้นเหตุที่ทำให้ครอบครัวของนางต้องตกต่ำ งั้นก็อย่าหวังว่าหล่อนจะเชิดหน้าชูตามีชีวิตที่ดีต่อไปได้!
เช้าวันถัดมา หลังจากที่อู๋เสี่ยวเจี๋ยนถูกจับกุมตัวไป เหยาชุ่ยฮวารีบลากสามีของตัวเองตรงดิ่งไปที่หมู่บ้านสกุลหวังทันที เพื่อตามหาหลินเพ่ยมาชำระบัญชีให้ได้
โรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งแรกของอำเภออวิ๋นไหลเปิดการเรียนการสอนอย่างเป็นทางการในวันนี้ หลินเพ่ยจึงเดินทางเข้าเมืองด้วยรถโดยสารเข้าเมืองไปแล้วตั้งแต่ตอนบ่ายของเมื่อวาน
เหยาชุ่ยฮวาและสามีของนางไปถึงหมู่บ้านสกุลหวังด้วยอารมณ์เดือดดาลราวพายุ หวังทำลายบ้านสกุลหลินให้แหลกเละ แต่พบว่าที่บ้านมีหลินเจี้ยนกั๋วกับลูกชายของเขาอยู่ทั้งคู่
สองสามีภรรยาทำอะไรไม่ได้ จึงจำใจจากไปด้วยความโกรธเคือง แล้วเดินทางต่อไปที่โรงเรียนมัธยมศึกษาแห่งแรกของอำเภออวิ๋นไหล
ขณะนี้ เสียงกริ่งบอกสัญญาณเลิกชั้นดังไปทั่วทั้งโรงเรียน นักเรียนหลายคนวิ่งกรูออกจากห้องเรียน บ้างก็วิ่งไปที่สนามเด็กเล่น บ้างก็เล่นบาสเกตบอล บ้างก็อาศัยช่วงพักเพื่อเข้าห้องน้ำ
ไม่มีใครสังเกตเห็นสองสามีภรรยาวัยกลางคนสวมชุดชาวนาซอมซ่อเดินเข้ามาภายในโรงเรียนด้วยท่าทางโมโหร้าย ตรงขึ้นไปที่ชั้นสามของอาคารเรียนอย่างไม่รอช้า
พอพวกเขามาถึงชั้นสามของอาคารเรียน ก็ช่วยกันกวาดสายตามองไปทางกลุ่มนักเรียนที่เหลืออยู่ภายในห้องเรียนไม่กี่คนด้วยสีหน้ามืดมน ใช้เวลาไม่นานนักก็มองเห็นหลินเพ่ย
ดวงตาของพวกเขาสว่างวาบขึ้นทันใด รีบพุ่งตัวไปหาหลินเพ่ยแล้วลงมือเตะต่อยหล่อนทันที
ก่อนหน้านี้จินปอกำลังหาทางสลัดตัวเองให้หลุดจากหลินเพ่ย พอเขาเห็นแบบนั้นก็รีบถอยกรูดออกไปอยู่หลังห้อง
เขาอายุสิบเจ็ดปีแล้ว เคยเห็นคนไร้ยางอายมาก็มาก แต่ไม่เคยเห็นใครที่ทั้งหน้าหนาและไร้ยางอายเท่าหลินเพ่ยมาก่อน
ความลับน่ารังเกียจของหล่อนถูกเปิดโปงแล้วแท้ ๆ ความจริงหล่อนควรละอายใจจนไม่กล้ามาสู้หน้าเขาด้วยซ้ำ ใครจะคิดว่านอกจากหลินเพ่ยจะไม่ละอายใจแล้ว ยังกล้าเข้าหาเขาเพื่อพยายามอธิบาย และทำเป็นบีบน้ำตาอย่างน่าสงสาร!
ผู้หญิงเจ้าเล่ห์คนนี้คิดว่าเขาโง่จนหลอกได้ง่าย ๆ หรืออย่างไรกัน!
เมื่อจินปอเห็นหลินเพ่ยถูกผู้ใหญ่สองคนทุบตี นอกจากเขาจะไม่นึกเห็นใจสงสารแล้ว ยังรู้สึกโล่งใจเอามาก ๆ
เขาอยากตบหน้าหลินเพ่ยสักทีสองที แต่ก็มีความเป็นสุภาพบุรุษมากพอ จึงไม่กล้าทำแบบนั้น
แต่แล้วสวรรค์ก็ส่งตัวช่วยมาจัดการเรื่องนี้แทนเขาจนได้!
ทั้งสองยังคงลงไม้ลงมือกับหลินเพ่ยอย่างไม่ยั้งแรง พร้อมกันนั้นก็ด่าทอหล่อนไม่หยุดปาก
ไม่ว่าจะเป็นของเน่าเสียสารพัดอย่าง สิ่งปฏิกูลเน่าเหม็น หรือคำหยาบนับไม่ถ้วนเท่าที่จะสรรหามาได้ถูกพ่นออกมาอย่างดุเดือด เสียงนั้นดึงดูดนักเรียนคนอื่น ๆ ให้เข้ามามุงดูเหตุการณ์เป็นจำนวนมาก
ซึ่งต้นเสียงดังกล่าวก็ไม่ใช่ใครอื่น นอกจากเหยาชุ่ยฮวาและอู๋จินกุ้ย
จากการทำร้ายหลินเพ่ยอย่างทารุณและถ้อยคำที่พวกเขาสบถออกมา บรรดานักเรียนจับใจความอยู่พักหนึ่งก็เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
ที่แท้หลินเพ่ยก็สวมรอยเป็นน้องสาวที่ชื่อหลินม่าย แล้วเข้ามาเรียนที่นี่แทนน้องสาวของตัวเอง เพื่อที่หล่อนจะมีเงินจ่ายค่าเล่าเรียนและได้แต่งตัวสวย ๆ ได้กินอาหารดี ๆ หล่อนถึงกับขายน้องสาวของตัวเองให้ไปแต่งงานกับคนอื่นแล้วยึดเงินค่าสินสอดมาเป็นของตัวเอง แต่น้องสาวของหล่อนไม่ยอมตกเป็นเหยื่อ ถึงกับขึ้นโรงพักแจ้งความหล่อนในข้อหาฉ้อโกงการแต่งงาน
หลินเพ่ยไม่อยากติดคุก ก็เลยหว่านล้อมให้ลูกชายคนโตของคุณลุงคุณป้าสองคนนี้รับโทษแทนตัวเอง
เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น ทำให้พวกเขาพลอยติดร่างแหได้รับโทษทางกฎหมายไปด้วย ไม่น่าแปลกใจที่พวกเขาจะโกรธมากจนต้องระบายความแค้นด้วยการทุบตีหล่อนแบบนี้
หลินเพ่ยแค่คนเดียวทำให้ครอบครัวของพวกเขาต้องทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส พวกเขาคงเหลืออดจนทนนิ่งเฉยไม่ได้แล้วสินะ ถึงได้ตามมาเอาเรื่องหล่อนถึงที่โรงเรียน
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
นางงามล่มบ้านล่มเมืองจริงๆ นังเพ่ยเพ่ย ถึงคราวตัวเองล่มจมก็คราวนี้แหละ อย่าได้ไปหว่านเสน่ห์ใครจนทำให้ตระกูลเขาล่มจมอีกเลย
ไหหม่า(海馬)