แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 667 ปิดประตูไม่ต้อนรับ
ตอนที่ 667 ปิดประตูไม่ต้อนรับ
อีกสามวัน องค์กรของพ่อไป๋ก็จะมายึดบ้านคืน
แม่ไป๋ก่อกวนพ่อไป๋โดยไร้เหตุผลได้ แต่หล่อนกลับไม่กล้าก่อความวุ่นวายกับคนขององค์กร
เพราะหล่อนรู้ว่าอีกฝ่ายไม่ยอมตนแน่ อีกทั้งตัวหล่อนก็ไม่อยากเสียหน้า
หล่อนตั้งใจจะออกไปกับไป๋ซวงอย่างเงียบ ๆ ในคืนนั้น เพื่อไปอยู่กับพ่อแม่ของหล่อน
พ่อแม่ของหล่อนเป็นนักแปลอาวุโส บ้านที่อาศัยอยู่ก็นับว่าดี เป็นบ้านที่มีสามห้องนอนกับหนึ่งห้องนั่งเล่น หล่อนและลูกสาวของเธอเข้าไปอยู่ที่นั่นได้พอดี
แม่และลูกสาวเก็บข้าวเก็บของ แต่ละคนเก็บเสื้อผ้า รองเท้า และถุงเท้าได้หลายถุงใหญ่
ทั้งสองคนปั่นจักรยานของตน คิดจะออกจากตรอกเสี่ยวหยางโดยไม่ให้ใครรู้
นึกไม่ถึงว่าทันทีที่ออกจากประตูมาก็ปะทะเข้ากับป้าโหยว
ป้าโหยวมองกระเป๋าน้อยใหญ่บนจักรยานแล้วถามด้วยความประหลาดใจ “พวกเธอจะย้ายบ้านหรือ?”
แม่ไป๋หน้าแดงก่ำ พยักหน้าด้วยความอับอาย
ป้าโหยวบอก “เร็ว ๆ นี้ตอนที่สามีของเธอย้ายออก ฉันถามเขาว่าเขาจะย้ายออกทำไม เขาบอกว่าเขาจะหย่ากับเธอ นี่เป็นเรื่องจริงรึ?”
แม่ไป๋เริ่มรำคาญ เดิมทีอยากจะไปเงียบ ๆ แต่กลับมาพบป้าโหยวที่ชอบซุบซิบนินทาเสียนี่
หล่อนยิ้มกระอักกระอ่วน แสดงท่าทางจนใจ
ป้าโหยวเหลือบมองไป๋ซวง ดึงเธอมาข้าง ๆ แล้วโน้มน้าวด้วยเสียงอ่อนนุ่ม “เธอจะทำแบบนี้ให้ลำบากไปทำไมกัน? ถ้าไป๋ซวงเป็นเด็กดี ไม่ว่าเธอจะทำเพื่อหล่อนเท่าไหร่มันก็คุ้ม แต่หล่อนรวมหัวกับพ่อแม่แท้ ๆ ของตัวเองปล้นบ้านเธอ เธอยังดีกับหล่อนขนาดนี้ นี่ไม่ใช่เรื่องของชาวนากับงูเห่าหรือ? เธอนี่นะ รีบให้ไป๋ซวงออกไปจากครอบครัวไป๋เถอะ สามีของเธอต้องกลับมาคืนดีกับเธอแน่นอน”
สีหน้าของแม่ไป๋ค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นเยียบเย็น ตอบกลับแค่หนึ่งประโยค “เรื่องนี้ฉันพิจารณาเองได้”
จากนั้นก็พาไป๋ซวงจากไป
ป้าโหยวมองตามหลังของหล่อนแล้วส่ายหัว “ถ้าเธอพิจารณาเองได้คงไม่เหลียวแลไป๋ซวงแล้ว คำแนะนำดี ๆ แบบนี้ไม่ควรพูดกับนังผีสมควรตายนั่นจริง ๆ”
แม่ไป๋พาไป๋ซวงมาถึงบ้านของพ่อแม่หล่อนแล้ว
ตอนที่คุณยายหลัวและคุณตาหลัวเห็นพวกหล่อนขนข้าวของทั้งหมดมาด้วย พวกเขาก็ถามขึ้นด้วยความแปลกใจ “พวกเธอจะทำอะไร? ทำไมถึงขนกระเป๋าเสื้อผ้าทั้งหมดมาด้วย?”
แม่ไป๋พูดตะกุกตะกัก “หมิงหยวนจะหย่ากับฉันแล้ว เขาก็เลยคืนบ้านให้องค์กร ซวงเอ๋อร์กับฉันไม่มีที่อยู่ เลยอยากจะมาอยู่กับพ่อกับแม่ค่ะ”
สีหน้าของทั้งสองคนพลันบิดเบี้ยวขึ้นมาทันที
คุณตาหลัวเป็นคนแรกที่ไม่ยินยอม “แกเป็นลูกของพวกฉัน ถ้าอยากจะย้ายเข้ามาอยู่กับพวกฉัน พวกฉันก็ขับไล่ไสส่งแกไม่ได้”
เขาชี้ไปที่ไป๋ซวงแล้วพูดต่อ “แต่หล่อนไม่มีความสัมพันธ์ทางสายเลือดกับพวกฉัน พวกฉันไม่ยอมให้คนนอกเข้าบ้านเด็ดขาด”
แม่ไป๋เถียง “ทำไมซวงเอ๋อร์ถึงเป็นคนอื่นคนไกลไปได้? หล่อนเป็นลูกสาวของฉันนะคะ”
ต่อจากนั้นก็เอ่ยอย่างหมดเรี่ยวแรงทันที “ลูกเลี้ยงก็เป็นลูกสาวเหมือนกันนะคะ”
คุณยายหลัวกลอกตาไปมาแล้วพูดขึ้นมาว่า “หล่อนเป็นลูกเลี้ยงของแกแล้วมันเกี่ยวข้องอะไรกับพวกฉัน? ถึงยังไงพวกฉันก็ไม่ยอมให้หล่อนเข้ามาอย่างเด็ดขาด!”
แม่ไป๋จึงเอ่ยขู่ “ถ้าพ่อกับแม่ไม่ยอมให้ซวงเอ๋อร์เข้าไป ฉันก็จะไม่เข้าไปเหมือนกัน!”
ก่อนที่หล่อนจะพูดจบ คุณตาหลัวก็ปิดประตูดังปังก่อนแล้ว ปล่อยพวกหล่อนแม่ลูกไว้ข้างนอกอย่างนั้น
แม่ไป๋ตะลึงงัน
ไป๋ซวงเริ่มร้องไห้เป็นคนขี้แยอีกครั้ง พูดพลางสะอึกสะอื้น “แม่ เป็นหนูที่ทำให้แม่ลำบาก หนูขอโทษแม่นะคะ”
เพื่อนบ้านที่อยู่ตรงข้ามบ้านคุณตาหลัวเห็นเรื่องทั้งหมดนี้ ถึงตอนนี้ก็อดพูดสอดขึ้นมาไม่ได้ “ที่คุณตากับคุณยายของเธอไม่อยากเห็นหน้าแม่ของเธอ ทั้งหมดไม่ใช่เพราะเธอหรือไง? ถ้าเธอรู้สึกขอโทษแม่ของเธอจริง ๆ เธอก็หนีไปจากแม่ของเธอสิ แค่นี้ความขัดแย้งทั้งหมดก็แก้ได้แล้วไม่ใช่หรือไง? เธอโตขนาดนี้แล้ว ไม่ใช่ว่าจะดูแลตัวเองไม่ได้สักหน่อย ทำไมต้องให้แม่ของเธอคอยเลี้ยงดูเธออีก?”
ไป๋ซวงรู้สึกโกรธมาก ก้มหัวลงไม่พูดอะไร แต่ภายนอกแสดงท่าทางรู้สึกผิดอย่างน่าสงสาร
แม่ไป๋พูดอย่างไม่พอใจสุดขีด “นี่เป็นเรื่องในบ้านของพวกเรา ไม่ต้องให้คุณมาแส่!”
“เจตนาดีกลายเป็นเครื่องในของลาไปแล้ว[1]!” เพื่อนบ้านแค่นเสียงหึอย่างเย็นชา หันหลังกลับเข้าไปในบ้าน จากนั้นก็ปิดประตู
ถึงแม้แม่ไป๋จะมีพี่น้อง แต่เมื่อสองแม่ลูกขนของวิ่งไปหาพี่น้องคนนู้นคนนี้ พี่น้องทั้งหมดของหล่อนก็ทำแบบเดียวกับคุณยายหลัวและสามีไม่มีผิด
พวกเขาให้แม่ไป๋พักอยู่ที่บ้านพวกเขาชั่วคราวได้ แต่หล่อนต้องไม่ให้ไป๋ซวงเข้าไปในบ้านของพวกเขา
น้องสะใภ้คนหนึ่งและพี่สะใภ้คนหนึ่งของเธอพูดเป็นนัยออกมา “ไป๋ซวงเด็กคนนี้มีความคิดที่ชั่วร้าย ถ้าฉันรับหล่อนเข้ามา ก็กลัวว่าหล่อนจะวางยาพิษในอาหารให้ทั้งครอบครัวของพวกเรากิน”
แม่ไป๋อยากจะแก้ต่างให้ไป๋ซวง แต่พวกเขากลับปิดประตูใส่หน้าโดยไม่แม้แต่จะให้โอกาสหล่อนได้แก้ต่าง
แม่ไป๋ไม่มีเลือก จึงได้แต่พาไป๋ซวงไปอยู่ในโรงแรมเล็ก ๆ ชั่วคราว พรุ่งนี้ถึงจะไปหาเช่าบ้าน
สองคนแม่ลูกอาบน้ำเสร็จก็นั่งคุยกันอยู่บนเตียงเล็ก ๆ ของโรมแรม “แม่ พ่อและแม่ยังไม่ได้หย่ากัน ไม่ว่าพ่อจะซื้อบ้านอยู่ข้างนอกหรือเช่าบ้านอยู่ พวกเราก็ไปอยู่กับพวกเขาได้นี่คะ”
แม่ไป๋คิดสักพักหนึ่ง จากนั้นจึงพยักหน้า “พรุ่งนี้พวกเราจะไปอยู่กับพวกเขา”
พ่อไป๋อยากจะกำจัดหล่อนออกไป แต่หล่อนจะไม่ให้เขาได้ทำแบบนั้น!
วันถัดมา แม่ไปใช้เวลาช่วงเช้าทั้งหมดไปกับการสอบถามที่อยู่ใหม่ของพ่อไป๋ และจะพาไป๋ซวงไปประจันหน้ากับเขาตอนห้าโมงเย็นครึ่ง
ตอนนั้นพ่อไป๋ยังไม่กลับจากที่ทำงาน สองที่น้องไป๋เซี่ยและไป๋ลู่ยังอยู่ที่มหาวิทยาลัยยังไม่กลับมา
แม่ไป๋และไป๋ซวงรออยู่เป็นเวลานาน พ่อไป๋ถึงกลับมาพร้อมกับข้าวกล่องที่ซื้อมาจากร้านอาหารเล็ก ๆ
วันนี้เป็นวันที่มีคนอยู่บ้านเพียงคนเดียว พ่อไป๋ไม่อยากทำอาหาร ดังนั้นเขาจึงซื้ออาหารจากข้างนอกมากินที่บ้าน
ถึงแม้เขาจะเห็นแม่ไป๋และไป๋ซวงยืนอยู่ที่หน้าประตูบ้าน แต่เขาก็ทำเป็นไม่เห็นแล้วหยิบกุญแจออกมาเปิดประตู
ทันทีที่ประตูบ้านเปิดออก แม่ไป๋และไป๋ซวงก็คิดจะเข้าไป
พ่อไป๋เหยียดแขนออกมาขวางพวกเขาไว้อย่างมั่นคง พูดอย่างเย็นชา “ผมไม่ต้อนรับพวกคุณ เชิญพวกคุณดูแลตัวเอง”
แม่ไป๋พูดอย่างมั่นใจ “พวกเรายังไม่หย่ากัน ทำไมฉันกับซวงเอ๋อร์จะเข้าไปอยู่ไม่ได้?”
พ่อไป๋กลับตอบอย่างมั่นใจมาก “เรือนสี่ประสานหลังนี้ลูกเขยของผมซื้อ ไม่ใช่ทรัพย์สินของผม คุณมีสิทธิอะไรจะเข้ามา?”
ตอนที่หลินม่ายซื้อเรือนสี่ประสานหลังนี้ เธอก็ใช้ข้อมูลของฟางจั๋วหรานเป็นการชั่วคราว เพราะไม่อยากให้แม่ไป๋เกาะติดพ่อไป๋
ถึงแม้เธอจะมีความสัมพันธ์ที่ไม่ดีกับแม่ไป๋ แต่พวกเธอเป็นแม่ลูกแท้ ๆ ทางสายเลือด
หลินม่ายกลัวว่าแม่ไป๋จะใช้ข้ออ้างนี้บังคับพาไป๋ซวงเข้ามาอยู่ ดังนั้นจึงใช้ชื่อของฟางจั๋วหรานซื้อเรือนสี่ประสานหลังนี้ แม่ไป๋จะได้เกาะติดพ่อไป๋ไม่ได้
แม่ไป๋ไม่เชื่อ และคิดว่าพ่อไป๋แค่กุเรื่องขึ้นมาหลอกหล่อน
พ่อไป๋พูดต่อ “ผมรู้ว่าคุณต้องไม่เชื่อผมแน่ งั้นผมจะนำโฉนดบ้านมาให้คุณดู”
สุดท้าย เขาก็เข้าไปในบ้าน หยิบโฉนดบ้านออกมาให้แม่ไป๋ดู
แม่ไป๋รู้สึกหมดหวังขึ้นมาทันทีที่เห็นมัน
หล่อนรู้สึกหงุดหงิด อยากโวยวายให้ลั่นก่อนที่จะไป
พ่อไป๋ยังไม่คุ้นเคยกับที่นี่ จึงขอให้เพื่อนบ้านคนหนึ่งที่กำลังดูความครื้นเครงเรียกองค์กรชุมชน มารุมล้อมแม่ไป๋แล้วใช้โอกาสนี้ให้ความรู้กับหล่อนว่า ‘การบุกรุกเคหสถานคนอื่นถือว่าผิดกฎหมาย’
แม่ไป๋เสียหน้าครั้งใหญ่ ไม่รอให้องค์กรชุมชนสั่งสอนหล่อนจบ ก็หนีไปพร้อมกับไป๋ซวง
ถ้าอยู่กับพ่อไป๋ไม่ได้ ถ้าอย่างนั้นหล่อนก็ได้แต่หาบ้านสักหลังอยู่ตามแผนเดิม
ตอนแรกแม่ไป๋อยากจะหาบ้านอยู่ใกล้ ๆ กับบ้านพ่อแม่ของเธอ
แม่ไป๋ทำอาหารไม่เก่ง ถ้าหล่อนอยู่ใกล้ ๆ บ้านคุณยายหลัวและคุณยายหลัว ก็สามารถไปกินอาหารที่นั่นทุกวันได้
แต่เรื่องดีไม่ออกนอกประตู เรื่องร้ายแพร่สะพัดไปพันลี้
เรื่องที่ไป๋ซวงสมรู้ร่วมคิดกับพ่อแม่แท้ ๆ ของหล่อนขโมยของครอบครัวพ่อแม่ที่เลี้ยงดูตนได้แพร่กระจายไปทั่วละแวกนี้แล้ว
เมื่อเพื่อนบ้านของคุณยายหลัวเห็นว่าแม่ไป๋จะเช่าบ้านอยู่กับไป๋ซวง พวกเขาก็ปฏิเสธทันที
บอกว่าจะไม่ยอมให้หัวขโมยอยู่ในบ้านของตัวเองเป็นอันขาด เพราะกลัวว่าเพื่อนบ้านละแวกนี้จะเดือดร้อนเอาได้
แม่ไป๋ไม่มีทางเลือกทำได้แต่พาไป๋ซวงออกไปด้วยความอับอาย เช่าบ้านอยู่ในที่ที่ไม่มีใครรู้จักพวกเธอสองแม่ลูก แล้วลงหลักปักฐาน
บ้านที่เธอย้ายเข้าไปอยู่เป็นบ้านธรรมดา ๆ หลังหนึ่ง แม่ไป๋โกรธจนหลับไม่ลง จึงตัดสินใจที่จะไปก่อกวนหลินม่ายตั้งแต่เช้าตรู่
ถ้าไม่ใช่เพราะหลินม่าย พ่อไป๋จะหย่ากับหล่อนได้อย่างไร!
ก่อนแปดโมงเช้าวันถัดมา แม่ไป๋ก็ไปที่มหาวิทยาลัยชิงหวา แล้วขวางประตูห้องบรรยายห้องใหญ่ที่หลินม่ายมีเรียน
ทันทีที่หลินม่ายเห็นแม่ไป๋ เธอก็รู้ทันทีว่าหล่อนมาที่นี่เพื่อหาเรื่อง
เธอไม่คิดจะสนใจ ขณะที่เพื่อนร่วมชั้นของเธอเดินผ่านไปเข้าเรียน
แม่ไป๋รีบขวางเธอไว้ “ทำไม เห็นแม่เธอจะไม่ทักทายหน่อยเหรอ รู้สึกผิดหรือไง?”
หลินม่ายหยุดเท้าแล้วมองหล่อนอย่างเย็นชา “คุณเห็นฉันเป็นลูกตั้งแต่เมื่อไหร่เหรอคะ? เพื่อลูกเลี้ยงของคุณ คุณแทบจะเอาเท้ามาเหยียบฉันด้วยซ้ำ ในเมื่อคุณไม่เห็นว่าฉันเป็นลูกสาวของคุณ แล้วทำไมฉันต้องเรียกคุณว่าแม่ด้วย?”
เป็นเวลาเริ่มเรียนพอดี มีนักศึกษามากมายอยู่ในเหตุการณ์
นักศึกษาหลายคนเดินช้าลง มองไปทางหลินม่ายกับแม่ไป๋ พลางพูดคุยซุบซิบกัน
แม่ไป๋กรีดร้องอย่างขมขื่น “เธอพูดไร้สาระ!”
“ฉันน่ะหรือพูดจาไร้สาระ?” หลินม่ายยิ้ม “ถ้าอย่างนั้นรบกวนอธิบายมาสิว่าทำไมพ่อถึงต้องหย่ากับคุณ?”
“ทั้งหมดนี้ไม่ใช่ความผิดของเธอหรือ?” แม่ไป๋พูดอย่างเกรี้ยวกราด “ถ้าเธอไม่โผล่มา ความสัมพันธ์ของฉันกับพ่อเธอจะไปมีปัญหาได้ยังไง?”
“ฉันเป็นคนผิดหรือตะ?” หลินม่ายหัวเราะออกมา “คุณไม่ได้ตกลงอะไรกับพ่อก่อนจะหย่าหรือไง ว่าถ้าไป๋ซวงลูกเลี้ยงของคุณทำความผิดอีก และคุณยังปกป้องหล่อน พ่อจะหย่ากับคุณ เป็นเพราะลูกสาวสุดรักสุดหวงของคุณที่รวมหัวกับพ่อแม่ของหล่อนเข้าไปขโมยของในบ้านเรา สุดท้ายก็ถูกตำรวจจับได้ คุณก็ยังปกป้องหล่อน ดังนั้นพ่อจึงอยากหย่ากับคุณ แม้แต่ความจริงพวกนี้คุณก็ปฏิเสธไม่ได้ ไม่สำคัญหรอกว่าคุณจะยอมรับหรือไม่ แต่ตราบใดที่นักศึกษาที่อยู่ตรงนี้ แล้วสถานีตำรวจท้องที่ตรอกเสี่ยวหยางตรวจดูว่าลูกเลี้ยงของคุณกับพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดขโมยของในบ้านไป๋ของพวกเราหรือไม่ ก็จะรู้ว่าที่ฉันพูดเป็นเรื่องจริงหรือเรื่องโกหก”
เธอเย้ยหยันแล้วพูดต่อ “อย่าคิดว่าไม่มีใครในมหาวิทยาลัยรู้ว่าคุณทำอะไร แล้วคุณจะมาที่นี่ใส่ร้ายฉันได้นะคะ ฉันสามารถพาคุณปู่คุณย่า พ่อและพี่ชายพี่สาว รวมถึงคุณตาคุณยายคุณป้าคุณลุงมาตอกหน้าคุณได้”
แม่ไป๋แค่เพียงอ้าปากค้าง แต่ไม่กล้าพูดด่าหลินม่ายสักคำ ในเมื่อหลินม่ายยกคุณปู่คุณย่าหมิงหยวนและคนอื่น ๆ ออกมาพูด หล่อนจึงได้แต่หุบปาก
ถ้าพาคนที่หลินม่ายพูดถึงมาเผชิญหน้ากับหล่อนจริงล่ะก็ หล่อนจะต้องเสียหน้าอย่างแน่นอน
แม่ไป๋เกรี้ยวกราดตอนขามา และสิ้นหวังเมื่อจากไป
แต่ในใจยิ่งเกลียดหลินม่ายมากกว่าเดิม ถึงกับไม่ไว้หน้าเธอในที่สาธารณะแม้แต่น้อย!
นังเด็กสมควรตายคนนี้ ปล่อยให้หล่อนด่าสักสองคำเพื่อระบายความโกรธก็ไม่ได้ จะเป็นจะตายอย่างไร ถ้าหล่อนยืนกรานที่จะสู้ต่อ ก็ไม่เป็นผลดีกับหล่อนแล้วจริง ๆ
ในเรื่องนี้ ซวงเอ๋อร์ดีกว่าเธอหลายเท่า
ซวงเอ๋อร์มักจะดูอารมณ์และสีหน้าของหล่อนเสมอ ไม่ทำให้หล่อนต้องอับอาย
………………………………………………………………………………………………………………………….
[1] เจตนาดีกลายเป็นเครื่องในของลาไปแล้ว หมายถึง มีเจตนาดีช่วยเหลือคนอื่น แต่อีกฝ่ายกลับเข้าใจผิดว่าเป็นเจตนาร้าย
สารจากผู้แปล
ติดเชื้อบ้ามาจากยัยไป๋ซวงแล้วหรือเปล่า รีบไปตรวจดูเร็วค่ะ ปล่อยไว้นานไปเชื้อกินสมองเป็นซอมบี้ไม่รู้ด้วยนะคะคุณแม๊
ไหหม่า(海馬)