แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 677 คำขอจากสวีชิงหยา
ตอนที่ 677 คำขอจากสวีชิงหยา
เด็กสาวทั้งเจ็ดคนต้องไปห้องเรียนใหญ่เพื่อเรียนหนังสือด้วยกันในช่วงราวเจ็ดนาฬิกาเศษ พวกเธอจึงไม่รีบเร่งและไปยังโรงอาหารเพื่อรับประทานอาหารเช้าด้วยกันก่อน
ระหว่างทาง ทุกคนปรึกษากันว่าจะกินอะไรดี
เถียนเฟินแนะนำว่าวันนี้ควรไปซื้อซาลาเปามากินด้วยกัน
เหมียวเหมียวบอกว่าด้านนอกมหาวิทยาลัยมีร้านซาลาเปาด้วย โดยบอกว่าซาลาเปาของที่นั่นอร่อยกว่าที่ขายในโรงอาหาร
ฉีเยว่ชิงจึงถาม “เธอกำลังพูดถึงร้านเปาห่าวชือเมี่ยนเตี่ยนเตี้ยนหรือเปล่า? ซาลาเปาร้านนั้นอร่อยมากก็จริง แต่แพงเกินไป ซาลาเปาไส้เนื้อธรรมดาก็ราคา 3 เหมาแล้ว”
ทุกคนพากันประณามเถ้าแก่ร้านเปาห่าวชือเมี่ยนเตี่ยนเตี้ยน โดยบอกว่าเถ้าแก่ของร้านเป็นนายทุนและตั้งราคาแพงเกินไป
หลินม่ายพูดขัด “หยุดด่าว่ากันได้แล้ว ร้านซาลาเปานั่นเป็นของฉันเอง”
ท้ายที่สุดพวกหล่อนยังคงเป็นนักศึกษาที่ไม่ประสีประสาอะไร
เพื่อนร่วมห้องรู้สึกอับอายและรีบขอโทษหลินม่าย “ถ้าเรารู้ว่าเป็นร้านซาลาเปาของเธอ เราคงไม่พูดแย่ๆ แบบนั้น”
หลินม่ายโบกมือกล่าว “ไม่เป็นไรๆ พวกเธอไม่อยากลองกินซาลาเปาร้านฉันเหรอ? เดี๋ยวฉันเป็นคนเลี้ยงเอง ใครจะอาสาไปซื้อให้ได้บ้าง?”
เหมียวเหมี่ยวยกมือขึ้นทันใด “ฉันอาสาไปเอง”
หลินม่ายนำเงินให้เธอพร้อมพาไปที่โรงเก็บของเพื่อเอาจักรยาน เหมียวเหมี่ยวจะได้ขี่มันออกไปซื้อที่นอกมหาวิทยาลัย
เมื่อหลินม่ายและคนที่เหลือมาถึงโรงอาหาร พวกหล่อนก็เห็นสวีชิงหยามาถึงโรงอาหารก่อนแล้ว และนั่งอยู่ที่โต๊ะคนเดียว
ทุกคนไม่อยากทักหล่อนก่อน เพราะเกรงว่าอีกฝ่ายจะมาร้องห่มร้องไห้ด้วยความคับแค้นใจ
แต่หลังจากมองไปรอบๆ กลับไม่มีโต๊ะว่างในโรงอาหารเหลืออยู่เลย
แม้ว่าบางโต๊ะจะมีที่นั่งว่างหนึ่งหรือสองที่ แต่หลินม่ายและเด็กสาวคนอื่นไม่ต้องการนั่งแยกกัน
หลังจากพูดคุยกันแล้ว พวกหล่อนพบว่าไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากเดินไปยังโต๊ะของสวีชิงหยา และเอ่ยถามเธอว่าขอนั่งด้วยได้หรือไม่
สวีชิงหยาพยักหน้าเล็กน้อย
หล่อนจองโต๊ะตัวนี้ไว้ก็เพื่อเพื่อนร่วมห้องของหล่อน
แต่หล่อนไม่อยากเป็นคนชวนให้เพื่อนร่วมห้องมานั่งด้วยกัน และอยากให้อีกฝ่ายเป็นคนมาขออนุญาตก่อน
หล่อนต้องการแสดงให้เพื่อนร่วมห้องเห็นว่าตัวเองมีความสำคัญแค่ไหน
หลินม่ายคิดว่าเช้านี้มีแค่ซาลาเปาคงไม่พอ เธอต้องการดื่มซุปร้อนๆ ด้วย
ดังนั้นเธอจึงพาเถียนเฟินไปต่อแถวซื้อเกี๊ยวน้ำและนมถั่วเหลือง รวมถึงซื้อของกินอย่างอื่นมาอย่างละนิดละน้อย
เมื่อกลับมายังโต๊ะ พบว่าเหมียวเหมี่ยวกลับมาพร้อมซาลาเปาแสนอร่อยห่อหนึ่ง
จากนั้นโต๊ะอาหารทรงสี่เหลี่ยมก็เต็มไปด้วยอาหารมากมาย
แม้ว่าสวีชิงหยาจะไม่ได้รับเชิญให้ร่วมอาหารค่ำก่อนหน้านี้
เพื่อนร่วมห้องก็เกรงว่าหล่อนจะคิดเล็กคิดน้อยและสร้างปัญหาขึ้นอีก
ในเมื่อร่วมโต๊ะอาหารเดียวกันแล้ว หากไม่ชวนหล่อนมากินด้วยกัน คงจะเป็นการกระทำที่เกินไปหน่อย
ทุกคนจึงเรียกสวีชิงหยาให้มากินอาหารเช้าด้วยกัน
หลินม่ายเองก็เชิญสวีชิงหยาอย่างอบอุ่น
แม้ว่าจะรู้สึกรังเกียจที่ต้องทำแบบนี้ แต่ก็เป็นสิ่งที่จำเป็นต้องทำเมื่ออยู่ต่อหน้าเพื่อนร่วมห้อง
ความจริงเป็นเช่นนี้เสมอ ในเมื่อเกิดมาเป็นมนุษย์ ก็ต้องเรียนรู้ที่จะเสแสร้งอย่างเหมาะสม
สวีชิงหยากำลังกัดหมั่นโถวในมือขณะอ่านหนังสือ
ท่าทางของหล่อนดูเศร้าหมอง พร้อมกับส่งรังสี “มาปลอบฉันสิ” แผ่กระจายไปทั่วร่างของหล่อน
แต่หล่อนก็ยืนกรานที่จะไม่พูดอะไร หากไม่มีใครถาม
เมื่อเห็นว่าเพื่อนร่วมห้องขอให้มากินอาหารเช้าด้วยกัน ในที่สุดสีหน้าของหล่อนก็เปลี่ยนจากเมฆครึ้มเป็นแดดจัด
มองดูซาลาเปาและเกี๊ยวบนโต๊ะ พลางกลืนน้ำลายลงคอ
หล่อนกินผักดองและหมั่นโถวทุกวัน พอได้เห็นอาหารแสนอร่อยบนโต๊ะ หล่อนก็นึกอยากลองกินบ้างเหมือนกัน
แต่หล่อนไม่กล้าตอบตกลงทันที เพราะคิดว่ามันน่าอายเกินไป
อีกอย่างอาหารเช้าพวกนี้หลินม่ายเป็นคนซื้อมา ดังนั้นหล่อนจึงไม่ยอมกินโดยดี เว้นแต่หลินม่ายจะชวนหล่อนราวสามถึงสี่ครั้ง หล่อนถึงพยักหน้ารับคำ
หล่อนแสร้งยิ้มต่อหน้าทุกคน “ฉันไม่ค่อยหิวน่ะ พวกเธอกินเถอะ”
คงไม่มีเด็กสาวคนไหนที่มีเล่ห์เหลี่ยมเท่าเธอ ดังนั้นคนทั่วไปจึงไม่เข้าใจความคิดที่แท้จริงของเธอ ยกเว้นเพียงหลินม่าย
ทุกคนเห็นสวีชิงหยาปฏิเสธโดยบอกว่าไม่หิว พวกเธอจึงไม่คิดสนใจอีกฝ่ายอีก
ท้ายที่สุดหญิงสาวคนนี้ก็มีบุคลิกแปลกประหลาด ถ้าอีกฝ่ายบอกไม่หิว แล้วพวกหล่อนคะยั้นคะยอขอให้กิน จากนั้นหล่อนอาจเริ่มร้องไห้ แล้วใครเล่าอยากจะรับผิดชอบโดยการปลอบโยนหล่อน?
เพื่อนร่วมห้องทุกคนกินอาหารเช้าอย่างมีความสุข ขณะเอ่ยปากชมซาลาเปาของร้านหลินม่ายว่าอร่อยมาก
สวีชิงหยาจ้องมองเพื่อนร่วมห้องด้วยความตะลึง
ทำไมพวกหล่อนถึงทำแบบนี้ พอบอกไม่หิว กลับไม่สนใจหล่อนอีกเลย
ดูเหมือนว่าคนเหล่านี้ไม่ได้อยากชวนหล่อนกินอาหารด้วยจริงๆ
ไม่ใช่เพราะความยากจนหรอกหรือ หล่อนจึงต้องตกเป็นเป้าเล่ห์เหลี่ยมเพทุบายของคนพวกนี้
ยิ่งสวีชิงหยาคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าใด หล่อนยิ่งรู้สึกอับอายมากเท่านั้น แล้วยังโศกเศร้าเสียใจอย่างมาก กระทั่งหลั่งน้ำตาออกมาและรีบวิ่งออกจากโรงอาหาร
นักศึกษาที่กำลังกินอาหารเช้าในโรงอาหารต่างหันมามองทางพวกหลินม่ายด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความเหยียดหยาม
เสิ่นอวิ้นและเด็กสาวคนอื่นมองหน้ากันด้วยความตกใจ
พวกหล่อนยังไม่ได้ทำอะไรเลย แล้วทำไมถึงดูเหมือนว่าพวกหล่อนไปกลั่นแกล้งสวีชิงหยาได้?
มันควรจะเป็นมื้อเช้าที่มีความสุข แต่กลับกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อเพราะสวีชิงหยา
ทุกคนกินอาหารเช้าอีกเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าชั้นเรียน
สี่คาบเรียนในช่วงเช้าผ่านไปในพริบตา
หลังเลิกเรียน หลินม่ายและรูมเมทคนอื่นก็ไปโรงอาหารเพื่อกินอาหารกลางวัน
จากนั้นทุกคนซื้ออาหารมานั่งกินด้วยกัน
ทุกคนผลัดกันชิมอาหารของแต่ละคนอย่างอารมณ์ดี และมีบรรยากาศเป็นกันเองมาก
นักศึกษาหญิงสาขาเดียวกันชื่อว่าหลูเชวี่ยเดินเข้ามาพร้อมกับสวีชิงหยา
หล่อนพูดขึ้นด้วยสีหน้าเย็นชา “พวกเธอทั้งหมดเป็นเพื่อนร่วมห้องหอพักและอยู่สาขาเดียวกัน ทำไมถึงต้องกีดกันและยังดูถูกสวีชิงหยาด้วย”
หลินม่ายรู้สึกขยะแขยงสวีชิงหยามากขึ้น เธอหันไปพูดกับเสิ่นอวิ้นและแสร้งพูดขึ้นโดยไม่ตั้งใจ “วันนั้นได้ดูฝนดาวตกที่มหาวิทยาลัยไหม? ฉันไปดูที่ฉือชาไห่มา มันสวยมากเลย”
เมื่อสวีชิงหยาได้ยินสิ่งนี้ ใบหน้าของหล่อนก็บิดเบี้ยวด้วยความกลัว
หล่อนรีบดึงหลูเชวี่ยและพูดว่า “หลินม่ายไม่ได้กีดกันหรือดูถูกฉันเลย”
หลูเชวี่ยประหลาดใจเล็กน้อย “ก็เธอไม่ได้บอกเองเหรอว่าหลินม่ายกีดกันเธอและดูถูกเธอน่ะ?”
สวีชิงหยารู้สึกขายหน้า “นะ… นั่นฉันก็พูดไปเรื่อย”
หลินม่ายกินอาหารกลางวันเสร็จแล้ว จึงพูดขึ้นว่า “ในเมื่อไม่มีอะไรแล้ว ฉันขอตัวก่อนนะ” หลังจากนั้นก็ลุกขึ้นยืนพร้อมกล่องอาหารที่ว่างเปล่าและเดินจากไป
เพื่อนร่วมห้องคนอื่นๆ หยิบกล่องอาหารของตัวเองขึ้นทีละคน โดยไม่สนใจว่าจะกินเสร็จแล้วหรือไม่ “เราไม่ได้กีดกันหรือดูถูกสวีชิงหยาหรอกนะ หล่อนใส่ร้ายพวกเราเอง”
สิ้นเสียงกล่าว พวกหล่อนทั้งหมดก็เดินจากไป
หลูเชวี่ยถามไล่หลังพวกหล่อนไปว่า “ถ้าพวกเธอไม่ได้กีดกันหรือดูถูกสวีชิงหยา แล้วทำไมหล่อนถึงร้องไห้ในหอพักอยู่บ่อยครั้ง?”
เพื่อนร่วมห้องพูดพร้อมกัน “หล่อนเป็นคนเจ้าน้ำตาน่ะ”
หลังจากได้รับฟังสิ่งนี้ หลูเชวี่ยก็มั่นใจมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าสวีชิงหยาถูกกีดกัน และช่วยปลอบโยนอีกฝ่ายอยู่นาน
หลินม่ายกลับไปยังหอพักเพื่ออ่านหนังสือ ไม่นานก็เป็นเวลาเรียนช่วงบ่าย
เธอเดินไปเรียนพร้อมกับเพื่อนร่วมห้องคนอื่น ก่อนจะถูกสวีชิงหยาหยุดไว้ระหว่างทาง
สวีชิงหยาพูดขึ้นด้วยความอาย “นักศึกษาหลินม่าย ฉันขอคุยกับเธอหน่อยได้ไหม?”
หลินม่ายเดาได้ว่าอีกฝ่ายต้องการพูดอะไร และอยากเตือนอีกฝ่ายถึงสิ่งที่เกิดขึ้น ดังนั้นเธอจึงพยักหน้ารับคำ
ทั้งสองเดินมาถึงป่าละเมาะข้างถนน หลินม่ายพูดขึ้นอย่างเย็นชา “มีอะไรจะพูดก็รีบพูด ฉันต้องไปเรียน”
สวีชิงหยากล่าวคำ “ฉะ… ฉันจะไม่ยั่วยุเธออีก ดังนั้นโปรดอย่า… อย่าป่าวประกาศเรื่องของฉันกับพี่จ้าวเลย”
ในตอนเที่ยงที่หลูเชวี่ยเดินเข้ามาหาพวกหล่อน หลินม่ายพูดถึงการดูฝนดาวตกในฉือชาไห่ขึ้นอย่างกะทันหันซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องที่เกิดขึ้นเลย สวีชิงหยาจึงรู้ว่าหลินม่ายกำลังเตือนหล่อนอยู่
ตอนนั้นเองที่หล่อนตระหนักได้ว่าหลินม่ายกำจุดอ่อนของตัวเองไว้ในมือ หล่อนจึงรู้สึกกระวนกระวายใจตลอดช่วงเที่ยง
กลัวว่าจะทำให้หลินม่ายขุ่นเคือง จนหลินม่ายเปิดเผยเรื่องอื้อฉาวนี้ออกไป ดังนั้นหล่อนจึงอยากมาขอร้องหลินม่าย
หลินม่ายพยักหน้า “เธอต้องทำสิ่งที่พูดมาให้ได้ ไม่อย่างนั้นฉันจะรายงานเรื่องระหว่างเธอกับจ้าวซั่วหยางให้อาจารย์ที่ปรึกษาทราบทันที ถ้าเธอคิดร้ายมา ฉันก็จะร้ายกลับ อย่าคิดว่าฉันแค่ขู่ ฉันจะทำมันแน่นอน ขึ้นอยู่กับว่าเธอจะทำตัวอย่างไรต่อจากนี้”
สวีชิงหยาพยักหน้ารับคำและคำนับด้วยความกลัว “ฉันรู้ว่าต้องทำยังไง อย่าห่วงเลย”
หลินม่ายพ่นลมหายใจเย็นชาและเดินจากไป คิดในใจถึงคำพูดของเสิ่นอวิ้นที่บอกว่าสวีชิงหยาป่วยทางจิต
หล่อนน่ะโรคจิตขนานแท้ต่างหาก!
ถ้าป่วยทางจิตจริง จะกล้ามาเจรจาต่อรองแบบนี้เหรอ?
หล่อนชอบบงการคนอื่นและชอบให้ผู้คนรุมล้อม
หลินม่ายเดินกลับไปทางเดิมและสมทบกับเพื่อนร่วมห้องที่ยังคงยืนรออยู่ เมื่อเห็นหลินม่ายเดินกลับมา พวกหล่อนก็เข้ามารุมล้อมหลินม่ายและถามว่าสวีชิงหยาพูดเรื่องอะไร
หลินม่ายค่อนข้างลำบากใจที่จะเปิดเผยเนื้อหาของการสนทนา เธอจึงสร้างเรื่องโกหกขึ้นมาเพื่อปกปิดมันอย่างไร้เหตุผล
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
อ่านแล้วก็ปวดหัวค่ะ ในโลกนี้มีคนแบบสวีชิงหยาด้วยเหรอ?
ไหหม่า(海馬)