แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 720 ขับไล่ซูอวี้เจี๋ย
ตอนที่ 720 ขับไล่ซูอวี้เจี๋ย
พ่อเจี๋ยให้การต้อนรับฟางจั๋วหรานอย่างอบอุ่น
เขานำชาร้อนและของว่างมาให้อีกฝ่ายพลางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “กว่าหลานจะมาถึงครั้งนี้ได้คงลำบากไม่น้อย หากไม่ได้ไปไหนเย็นนี้อยู่กินข้าวด้วยกันก่อนสิ คุณน้าเตรียมหมูสามชั้นผัดไว้ให้ จำได้ว่าหลานชอบกินมากเมื่อยังเป็นเด็ก”
ฟางจั๋วหรานพูดอย่างเย็นชา “ผมไม่ได้มาที่นี่เพื่อกินอาหารเย็น ผมมาที่นี่เพื่อบอกคุณว่าซูอวี้เจี๋ยลูกสาวของคุณว่าจ้างให้คนไปราดน้ำเย็นใส่ศีรษะภรรยาผม และภรรยาของผมก็หนาวสั่นจนไข้ขึ้นสูง คุณจะรับผิดชอบเรื่องนี้ยังไงครับ?”
เดิมทีแม่เจี๋ยไม่พอใจที่ฟางจั๋วหรานล่มแผนการแต่งงานของซูอวี้เจี๋ย
เมื่อยิ่งได้เห็นว่าฟางจั๋วหรานมาที่บ้านของพวกเขาเพื่อเรียกร้องการรับผิดชอบต่อหลินม่าย หล่อนก็ยิ่งเจ็บปวดใจและไม่สบายใจอย่างมาก
หล่อนรู้ว่าภรรยาของฟางจั๋วหรานเป็นหญิงสาวจากชนบท จึงสบประมาทหญิงผู้นี้อยู่ในใจ หญิงบ้านนอกเช่นเธอจะไข้ขึ้นอย่างง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร?
แน่นอนว่าหล่อนไม่เชื่อคำพูดของฟางจั๋วหราน เลยคิดว่าทั้งหมดที่เขาพูดมาเป็นเรื่องเกินจริง
แต่ครอบครัวของหล่อนไม่อาจท้าทายอำนาจตระกูลฟางได้ ดังนั้นแม่เจี๋ยทำได้เพียงแค่ระงับความโกรธไว้
พ่อเจี๋ยทำอะไรไม่ถูก
เขาไม่คาดคิดว่าอวี้เจี๋ยจะทำให้หลินม่ายขุ่นเคืองอีกครั้ง ทั้งที่เรื่องราวเดิมๆ ที่หล่อนก่อไว้ก็ยังไม่จบลง
ก่อนที่คลื่นลูกเก่าจะสงบลง หล่อนก็สร้างคลื่นใหม่ขึ้นมาอีกระลอกหนึ่ง
แต่คลื่นในครั้งนี้รุนแรงยิ่งกว่าที่ผ่านมา การที่ลูกสาวของพวกเขาสั่งให้คนไปราดน้ำเย็นใส่หลินม่ายจะทำให้ตระกูลฟางลงโทษตระกูลซูของพวกเขาอีกหรือเปล่า?!
พ่อเจี๋ยขอโทษด้วยใบหน้าจริงจัง “เสี่ยวเจี๋ยทำมากเกินไป ฉันจะสอนบทเรียนให้หล่อนเมื่อหล่อนกลับมา”
ทันทีที่เขาพูดจบ ซูอวี้เจี๋ยก็กลับมาในรองเท้าบูทหนังสูงสามนิ้ว
ทันทีที่ก้าวเข้าไปในบ้าน หล่อนก็เห็นฟางจั๋วหรานเผยใบหน้าเย็นชา ทันใดนั้นก็รู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติ
หล่อนหันหลังกลับและอยากจะวิ่งหนี แต่ถูกพ่อของหล่อนลากกลับมา
พ่อเจี๋ยตบลูกสาวของเขาอย่างแรง “นังลูกสารเลว ช่างหาเรื่องมาให้ตามแก้ได้ทุกวัน ทำไมต้องลากตระกูลซูของเราไปเกี่ยวข้องกับพฤติกรรมของแกด้วย?”
ซูอวี้เจี๋ยถูกทุบตีจนร้องไห้และแสร้งทำเป็นสับสน “พ่อ หนูทำอะไรผิด ถึงต้องตบตีหนูแรงขนาดนี้ด้วย?”
แม้จะเห็นลูกสาวถูกทุบตี แม่เจี๋ยก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้นอกจากตำหนิ “จั๋วหรานโกรธมากจนมายังบ้านของเรา แต่แกกลับยังทำเหมือนไม่รู้เรื่อง ไม่เห็นโลงศพไม่หลั่งน้ำตาหรือยังไง?”
เมื่อได้ยินดังนั้น ท่าทางของซูอวี้เจี๋ยก็เปลี่ยนไป หล่อนเอาแต่ตะโกนยอมรับว่าตัวเองทำผิดและจะไม่ให้เกิดเรื่องเช่นนี้อีก อีกทั้งยังอ้อนวอนให้พ่อหยุดทุบตีหล่อน
แน่นอนว่าพ่อเจี๋ยไม่มีทางหยุดทุบตีหล่อน!
ในเมื่อหล่อนก่อเรื่องและนำหายนะมาสู่ครอบครัว หล่อนก็สมควรถูกเฆี่ยนตี
พ่อเจี๋ยยังต้องการที่จะเอาชนะซูอวี้เจี๋ยเพื่อให้ฟางจั๋วหรานพอใจและปล่อยเขาไป
ไม่เพียงเขาจะไม่หยุดเท่านั้น แต่ยังโหดเหี้ยมมากขึ้นด้วย
เมื่อเห็นว่าไม่มีประโยชน์ที่จะอ้อนวอนพ่อแม่ ซูอวี้เจี๋ยจึงคลานไปหาฟางจั๋วหราน เอามือทั้งสองข้างจับขาของเขาพลางร่ำไห้อ้อนวอน “พี่จั๋วหราน ได้โปรดยกโทษให้ฉันด้วย ฉันจะไม่ยุ่งกับม่ายจื่ออีก”
ฟางจั๋วหรานสะบัดเท้าออกอย่างเฉยเมยและพูดอย่างเย็นชา “วันนี้ฉันจะปล่อยเธอไป แต่หากครั้งหน้ายังมีเรื่องราวแบบนี้เกิดขึ้นอีก ฉันไม่ปล่อยเธอไปแน่!”
หลังจากนั้นเขาก็ลุกขึ้นและจากไป ตั้งใจจะเดินทางกลับไปยังมหาวิทยาลัยเพื่อดูว่าอาการของหลินม่ายดีขึ้นแล้วหรือไม่
พ่อและแม่เจี๋ยไปส่งเขาที่ชั้นล่าง เฝ้าดูจนเขาขับรถจี๊ปออกไปลับตาก่อนจะกลับเข้าบ้าน
ขณะที่ขึ้นไปชั้นบน พ่อเจี๋ยก็ลดเสียงลงและพูดกับแม่เจี๋ย “เสี่ยวเจี๋ยนิสัยเสียมากจนไม่รู้จะทำยังไงแล้ว หล่อนอยู่ที่เมืองหลวงไม่ได้อีกต่อไป หากเกิดเรื่องร้ายขึ้นอีก หล่อนอาจนำความหายนะมาสู่ตระกูลซูทั้งหมด
แม่เจี๋ยถาม “แล้วคุณวางแผนจะจัดการเจี๋ยเจี๋ยยังไง?”
พ่อเจี๋ยกัดฟัน “ผมวางแผนที่จะส่งหล่อนไปแถวตะวันตกเฉียงเหนือ”
แม่เจี๋ยพูดด้วยความประหลาดใจ “ทำไมคุณส่งหล่อนไปยังที่ทุรกันดารแบบนั้น? หล่อนนิสัยเสียตั้งแต่ยังเด็ก จะทนได้ยังไง? ส่งหล่อนไปหูหนานหรือหางโจวไม่ได้เหรอ?”
พ่อเจี๋ยหัวเราะเยาะ “คุณคิดว่าทั้งสองมณฑลนี้จะทำให้เสี่ยวเจี๋ยตระหนักถึงความผิดพลาดของหล่อนได้เหรอ?”
แม่เจี๋ยเงียบไปครู่หนึ่งก่อนจะเอ่ยขึ้น “งันก็ส่งหล่อนไปกุ้ยโจว สภาพแวดล้อมในกุ้ยโจวก็ลำบากมากเช่นกัน”
พ่อเจี๋ยถามกลับ “มีอะไรยากลำบากกว่าภาคตะวันตกเฉียงเหนือไหม?”
แม่เจี๋ยไม่มีทางเลือกนอกจากต้องเงียบ
หลินม่ายกลับมายังหอพักหลังจากฉีดยา เธอเปลี่ยนเสื้อกันหนาวที่เปียกชุ่มให้เป็นชุดที่ทำให้อุ่นสบาย
จากนั้นก็ล้างศีรษะด้วยน้ำอุ่นก่อนจะไปยังร้านเปาห่าวชือของตัวเอง เพื่อใช้ความร้อนหน้าเตาขนาดใหญ่ทำให้ผมแห้ง
จากนั้นเธอกลับมายังห้องนอน กรอกกระติกน้ำร้อนแล้ววางไว้ใต้ผ้านวมก่อนจะเข้านอน
เมื่อเธอตื่นขึ้นก็ไม่พบใครอยู่ในหอพัก มีเพียงฟางจั๋วหรานที่อยู่เคียงข้างเธออย่างเงียบงัน
หลินม่ายลุกจากเตียงถามด้วยความงัวเงีย “คนอื่นไปไหนหมดคะ?”
ฟางจั๋วหรานรู้ว่าเธอกำลังถามหารูมเมทจึงตอบกลับ “พวกหล่อนทั้งหมดไปเรียนภาคค่ำน่ะ”
หลินม่ายรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จึงหยิบนาฬิกาออกจากใต้หมอนเพื่อดูเวลา “ฉันหลับไปนานมากเลยสินะ ถึงเวลาต้องเรียนภาคค่ำแล้ว!”
เวลาบนนาฬิกาบ่งบอกว่าเป็นเวลาหนึ่งทุ่มกว่าแล้ว และเธอก็หลับไปนานจริง ๆ
เธอแตะหน้าผากของตน เมื่อไม่รู้สึกถึงความร้อนก็หัวเราะออกมาทันที
เธอกอดคอของฟางจั๋วหรานและใช้ศีรษะชนหน้าผากเขาพลางกล่าว “ฉันไข้ลดลงแล้ว พรุ่งนี้ฉันไม่ต้องฉีดยาใช่ไหม?”
ฟางจั๋วหรานยิ้ม “แต่ยังต้องกินยาอย่างน้อยสามวัน เพื่อเสริมสร้างความแข็งแรงและช่วยฟื้นตัวนะ”
เขากล่าวพลางล้วงกล่องยาแก้ไข้หวัดออกมาจากกระเป๋าเสื้อ วางไว้ข้างหมอนของหลินม่าย ช่วยพยุงเธอลุกขึ้นและพาเธอไปกินอาหารเย็น
หลินม่ายบอกว่าเธออยากดื่มซุปไก่ เพราะซุปไก่ดีสำหรับคนเป็นไข้หวัด
แน่นอนว่าหากภรรยาอยากกินสิ่งใด สามีก็จะตามใจเสมอ!
ฟางจั๋วหรานพาเธอขับรถไปยังร้านซุปนอกมหาวิทยาลัย ซึ่งเป็นร้านขายซุปตุ๋นทุกชนิดของมณฑล
แน่นอนว่าในร้านซุปแห่งนี้มีซุปไก่แสนอร่อยขาย
ร้านซุปแห่งนี้ใช้หม้อดินในการต้มและเคี่ยวซุป
ซุปไก่หม้อดินแต่ละหม้อจะมีไก่ทั้งตัวอยู่ในนั้น
โดยปกติแล้วชาวเจียงเฉิงจะไม่ชอบใส่ส่วนผสมอื่น ๆ ลงในซุปไก่ เพราะอาจทำให้รสชาติผิดเพี้ยนได้
แต่เมื่อพิจารณาว่าหลินม่ายชอบกินผักสีเขียว ฟางจั๋วหรานจึงสั่งผัดผักโขมหนี่งจานและผัดกะหล่ำปลีหนึ่งจานให้เธอ
ทันทีที่ซุปไก่และผัดผักสองอย่างถูกนำมาเสิร์ฟ ฟางจั๋วหรานก็ยกซุปไก่ชามใหญ่ไปวางตรงหน้าหลินม่าย
ซุปไก่ของเจียงเฉิงนั้นพิเศษมาก พวกเขาจะใช้ไก่ที่ถูกทอดจนเหลืองนำมาเคี่ยว เมื่อเทียบกับการนำไก่ลงไปเคี่ยวโดยไม่ผ่านกรรมวิธีได้แล้ว วิธีการทำซุปไก่ของชาวเจียงเฉิงนั้นคาวน้อยกว่าและมีกลิ่นหอมกว่ามาก
ขิงและพริกไทยในน้ำซุปไก่ก็มีจำนวนมาก ให้รสชาติเผ็ดร้อน
หลินม่ายไม่ชอบขิง และเธอก็ไม่ชอบรสและกลิ่นของขิงในซุปไก่ด้วย
หลินม่ายทำท่าทางเผ็ดร้อนพลางกล่าว “เผ็ดมาก!”
ฟางจั๋วหรานเงยหน้าขึ้นมองเธอ “เผ็ดขนาดนั้นเลยเหรอ?”
หลินม่ายพยักหน้า “คุณลองชิมดูแล้วจะรู้เอง”
ฟางจั๋วหรานไม่ได้ตักซุปไก่ให้ตัวเอง แต่โน้มตัวไปข้างหน้าและจูบที่ริมฝีปากของหลินม่าย
ลิ้นของเขากวาดไปทั่วริมฝีปากของเธอและชิมมันอย่างจริงจัง “เผ็ดนิดหน่อย แต่ก็ดีนะ กินแล้วจะทำให้เหงื่อออก ดีต่ออาการของคุณ”
หลินม่ายไม่คาดคิดว่าเขาจะลิ้มรสขิงในซุปไก่ด้วยวิธีนี้ จึงตัวแข็งทื่อด้วยความตกตะลึง
จากนั้นเธอก็กวาดสายตามองเถ้าแก่เจ้าของร้านพร้อมลูกค้าคนอื่น ๆ อย่างเขินอาย
ทั้งเจ้าของร้านและลูกค้า ทุกคนที่อยู่ในร้านซุปแห้งนั้นต่างก็ตกใจกับการกระทำของฟางจั๋วหราน
ทุกคนจ้องมองเขาด้วยความตกตะลึงพลางนึกใจใน ‘นักศึกษามหาวิทยาลัยทำอะไรเปิดเผยขนาดนี้แล้วเหรอ?
เมื่อเห็นหลินม่ายมองมายังพวกเขา ทุกคนก็แสร้งทำเป็นเมินเฉย
หลายคนก้มหน้าลงกินอาหารและซดซุปของตัวเอง
เถ้าแก่และภรรยาของเขาก้มหน้าก้มตาทำความสะอาดทั่วบริเวณร้านทันที
หลังจากที่ทั้งสองรับประทานอาหารจนอิ่มหนำ ทั้งข้าว ผัดผักสองจาน และซุปไก่กลับยังคงเหลืออยู่มาก
เหตุผลหลักคือฟางจั๋วหรานไม่กินซุปไก่มากนัก เพราะเขาต้องการให้หลินม่ายกินเยอะ ๆ
แต่หลินม่ายจะกินซุปมากมายขนาดนั้นให้หมดด้วยตัวคนเดียวได้อย่างไร
ในที่สุด ภายใต้การบังคับของฟางจั๋วหราน เธอก็ดื่มซุปไก่อีกครึ่งชาม และฟางจั๋วหรานก็จัดการส่วนที่เหลือ
จากนั้นฟางจั๋วหรานก็พาเธอไปส่งที่หอพัก เช็ดตัวและเท้าของเธอด้วยน้ำอุ่นก่อนจะจากไป
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ไปรับบทเรียนเอาชีวิตรอด 101 ที่เขตตะวันตกเฉียงเหนือซะอวี้เจี๋ย ให้สายลมและแสงแดดของภูมิอากาศแบบทะเลทรายกัดเซาะ จะได้เป็นผู้เป็นคนขึ้นมาบ้าง
พี่หมอแรงมากค่ะ จูบภรรยาต่อหน้าทุกคนในร้านเลย
ไหหม่า(海馬)