แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 729 เกือบเกิดเรื่องทะเลาะวิวาท
ตอนที่ 729 เกือบเกิดเรื่องทะเลาะวิวาท
ณ ที่ประชุม ขณะที่หลินม่ายกำลังจะจบการประชุม ชายคนหนึ่งที่ดูเหมือนนายทหารฝ่ายเสนาธิการก็รีบเข้ามาอย่างกระวนกระวาย
เมื่อเห็นเจิ้งซวี่ตง เขาพูดขึ้นว่า “แย่แล้วครับ ประธานเจิ้ง ผู้จัดการเกากำลังมีเรื่องกับผู้คนจากโรงงานอุตสาหกรรมเบา!”
ทันใดนั้นสีหน้าของหลินม่ายเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม
เกาเหยียนจงและเฉินเฟิงเคยเป็นกลุ่มอิทธิพลมืดมาก่อน และเขายังเป็นคนที่มีความสามารถมาก
ถ้าเขาคิดริเริ่มสั่งสอนคนจากโรงงานอุตสาหกรรมเบา หลินม่ายเกรงว่าเขาอาจจะเดือดดาลและทำร้ายผู้คนจนพิการอย่างไม่ปรานี
หากเป็นเช่นนั้นจะไกล่เกลี่ยภายหลังได้ยาก
เธอลุกขึ้นยืนและพูดกับชายที่เหมือนกับทหารชั้นผู้น้อยว่า “พาเราไปเดี๋ยวนี้!”
ชายหนุ่มที่ดูเหมือนนายทหารฝ่ายเสนาธิการไม่รู้จักหลินม่าย เขามองไปที่เธอตั้งแต่หัวจรดเท้า ก่อนจะหันมองไปทางเจิ้งซวี่ตง
เจิ้งซวี่ตงแนะนำ “เธอคือประธานหลินของเรา”
ชายที่ดูเหมือนนายทหารฝ่ายเสนาธิการรีบทักทาย “สวัสดีครับประธานหลิน”
เขาแนะนำตัวเองกลับ “ผมหลิวฉางชิง ลูกน้องของผู้จัดการเกาครับ”
หลินม่าย เจิ้งซวี่ตง และเจ้าหน้าที่ชายหลายคนขับรถของบริษัทเพื่อมายังที่เกิดเหตุภายใต้การนำของหลิวฉางชิง
เกาเหยียนจงและคนงานอพยพกลุ่มใหญ่ถือปืนกำลังบุกเข้าประตูเหล็กขนาดใหญ่ของโรงงานอุตสาหกรรมเบา
พนักงานหลายสิบคนของโรงงานใช้ปืนฉีดน้ำแรงดันสูงยิงใส่อีกฝ่ายเกาเหยียนจง เพื่อกีดกันไม่ให้พวกเขาเข้าใกล้ประตูเหล็ก
พนักงานคนอื่นๆ ต่างถือประแจขนาดใหญ่ ท่อนเหล็ก และสิ่งของมากมายในมือขณะเฝ้าระวัง
ผู้ที่ยืนอยู่ด้านหน้าฝ่ายเกาเหยียนจงล้วนตกตะลึง กระทั่งหัวใจของพวกเขาแทบกระดอนออกมา
แต่ไม่มีใครคิดถอยหลังออกไป พวกเขาจ้องมองคนที่อยู่ภายในประตูเหล็กด้วยดวงตาสีแดงเลือด
หลินม่ายคิดว่านี่ไม่ดีแล้ว หากทั้งสองฝ่ายเกิดการปะทะขึ้น จะต้องมีคนบาดเจ็บล้มตายอย่างแน่นอน และมันจะไม่ใช่จำนวนแค่หนึ่งหรือสองคน
ก่อนที่จะหยุดรถ เธอกระโดดลงจากรถและพูดแข่งเสียงแตรรถว่า “ทุกคนอย่าหุนหันพลันแล่น รีบไปเรียกตำรวจมาเร็ว”
เธอหันไปสั่งเกาเหยียนจง “ส่งพนักงานที่ตัวเปียกทั้งหมดไปตรวจที่โรงพยาบาล เพื่อรับการฉีดยาและกินยาอย่างเหมาะสม ในฤดูหนาวแบบนี้ ถ้าร่างกายเปียกน้ำชุ่มโชก หากเป็นหวัดและมีไข้จนปอดบวม มันจะไม่ใช่เรื่องเล็กน้อยเลย!”
เกาเหยียนจงเข้าใจได้ทันที เขาสั่งการให้ส่งคนงานอพยพทั้งหมดที่เสื้อผ้าเปียกชุ่มไปโรงพยาบาล
จากนั้นเขาเดินมาหาหลินม่ายด้วยท่าทางหดหู่และกล่าวคำอย่างสำนึกผิด “คุณหลิน มันเป็นความผิดของผมทั้งหมด ผมไม่ควรเชื่อคำพูดของผู้อำนวยการหูจากโรงงานอุตสาหกรรมเบาเลย บ้านถูกส่งมอบไปแล้ว แต่ผมไม่ได้รับเงินโครงการคืนสักหยวน”
หลินม่ายพูดด้วยใบหน้าเย็นชา “คุณคิดผิดไปจริงๆ คนอย่างฮุ่นเจียงหูจะไว้ใจง่ายดายขนาดนั้นได้อย่างไร? เดี๋ยวค่อยจัดการเรื่องของคุณทีหลัง จัดการเรื่องเฉพาะหน้าก่อน”
ผู้คนราวหนึ่งร้อยคนเฝ้ารอท่ามกลางลมหนาวประมาณ 15 นาที ก่อนที่เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายนายจะตามมาสมทบ
ทันทีที่รับฟังเรื่องราวโดยสังเขป และรู้ว่ามันเป็นข้อพิพาททางเศรษฐกิจ ตำรวจต่างก็บอกว่าช่างน่าปวดหัวนัก
ข้อพิพาททางเศรษฐกิจเป็นประเด็นที่ยากที่สุดในการไกล่เกลี่ย แต่ถึงจะยากเข็ญก็จำเป็นต้องมีการไกล่เกลี่ยอยู่ดี
ตำรวจขอให้ยามเปิดประตู และพวกเขาต้องการพบผู้อำนวยการหูเพื่อแก้ไขข้อพิพาทดังกล่าว
ยามไม่ยอมเปิดประตูให้ และพูดกับเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายคนด้วยความโกรธว่า “คุณอยากเจอผู้อำนวยการหูเหรอ เราก็กำลังตามหาตัวเขาอยู่เหมือนกันเพราะเรายังไม่ได้รับค่าจ้าง ถ้าพบผู้อำนวยการหูแล้ว คุณต้องบอกเขาให้จ่ายค่าจ้างเราด้วย”
เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายคนหันไปหาหลินม่ายพลางผายมือกล่าว “ผู้อำนวยการหูหนีไปแล้ว”
หลินม่ายมองเจ้าหน้าที่ตำรวจหลายคนสีหน้าเรียบเฉย ก่อนจะหันไปมองยามอย่างเย็นชา
ยามเฝ้าประตูแสดงท่าทางยั่วยุ “ผมไม่เปิดประตู แล้วพวกคุณจะทำอะไรได้”
เขาแสดงท่าทางต่อต้านและเข้าใจในอำนาจของตัวเองเป็นอย่างดี
แม้ว่าในยุคนี้จะมีโรงงานของรัฐหลายแห่งที่บริหารจัดการไม่ดีและไม่สามารถจ่ายค่าจ้าง แต่ก็มีบางกรณีที่ผู้อำนวยการโรงงานหนีไปพร้อมกับเงิน
แต่หลินม่ายไม่เชื่อว่าผู้อำนวยการหูจะตั้งใจทำแบบนั้น ผู้อำนวยการหูทำงานอย่างหนักเพื่อจัดหาที่พักให้แก่คนงานในโรงงาน แล้วคนแบบเขาจะทิ้งคนงานและหนีออกไปได้อย่างไร
และถึงแม้เขาจะต้องการซ่อนตัว แต่มันควรเป็นการซ่อนตัวจากคนของว่านถงกรุ๊ปที่มาทวงหนี้เท่านั้น
หากเขาหนีไปจริงๆ บ้านของเขาคงถูกคนงานที่โกรธแค้นทุบทำลายเป็นเศษซาก ภรรยาและลูกที่ถูกทิ้งจะต้องถูกทำร้ายไปด้วย
แต่เท่าที่เธอทราบ สถานการณ์เหล่านี้ไม่ได้เกิดขึ้น
ยิ่งกว่านั้นยามของโรงงานไม่ยอมเปิดประตู ซึ่งแสดงให้เห็นถึงเจตนาที่แท้จริงในใจ และสิ่งที่พวกเขาพูดเป็นเพียงเรื่องโป้ปด
พฤติกรรมของตำรวจก็น่าสนใจเช่นกัน
ยามบอกว่าผู้อำนวยการหูหนีไปแล้ว พวกเขากลับเชื่อปากคำของยามทันทีโดยไม่มีการไต่สวน
การกระทำแปลกประหลาดอาจมีผลมาจากสิ่งที่ผิดปกติ
มีแนวโน้มว่าผู้อำนวยการหูสมรู้ร่วมคิดกับเรื่องข้างต้น สังหารคนรวยเพื่อช่วยเหลือคนจน กลืนกินเธอในฐานะผู้ประกอบการเอกชน ดังนั้นตำรวจจึงจัดการกับคดีนี้อย่างลวกๆ
จนถึงตอนนี้แนวคิดข้างต้นก็เป็นสิ่งดี การปฏิรูปอย่างเปิดเผยและกระตุ้นเศรษฐกิจสามารถยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชนได้
แต่พวกเขายังกลัวว่าโรงงานของรัฐจะปิดตัวลงและทำให้คนงานจำนวนมากตกงาน
คนงานหลายคนแบกรับภาระของครอบครัวไว้บนบ่า
หากคนงานไม่มีงานทำ นั่นหมายความว่าครอบครัวหนึ่งจะขาดแคลนอาหารและเครื่องนุ่งห่ม ซึ่งเป็นสิ่งที่ผู้มีอำนาจระดับสูงไม่ต้องการเห็น
แต่ปัญหาเกิดขึ้นแล้ว เธอไม่ต้องการมีปัญหากับผู้มีอำนาจระดับสูงที่พยายามปกป้องรัฐวิสาหกิจ
แต่เธอคงไม่เห็นด้วยหากตัวเองถูกเชือดเหมือนแกะอ้วน และต้องควักเลือดเนื้อเพื่ออุดหนุนรัฐวิสาหกิจ
จริงอยู่ที่ว่านถงกรุ๊ปของเธอร่ำรวย แต่เธอและพนักงานทุกคนล้วนต้องการรายได้
อนึ่งมันไม่ได้มาจากรัฐ และไม่ได้มาจากลมพัดพา ทำไมเธอต้องเฉือนเลือดเนื้อตัวเองเพื่ออุดหนุนโรงงานอุตสาหกรรมเบาด้วย?
คนงานในโรงงานอุตสาหกรรมเบาไม่มีบ้านอยู่ ไม่มีอาหารกิน ดังนั้นพวกเขาจึงไปหาผู้อำนวยการโรงงาน การทำให้เธออับอายเช่นนี้หมายความว่าอย่างไร?
หลินม่ายกล่าวกับเจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งสองว่า “พวกคุณไม่เข้าไปในโรงงานเพื่อค้นหาเหรอ? คุณเชื่อในสิ่งที่ยามพูดงั้นเหรอ?”
เจ้าหน้าที่ตำรวจเหล่านั้นเผยท่าทางลำบากใจเล็กน้อย
ยามและคนงานของโรงงานอุตสาหกรรมเบาต่างก็ตะโกนขึ้น “ผู้อำนวยการหูเพิ่งหนีไป แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรที่จะเข้ามาค้นหา!”
“จริงหรือ?” หลินม่ายเลิกคิ้วพลางกล่าวคำเย้ยหยัน “แล้วคนที่สั่งพวกคุณให้ยิงปืนฉีดน้ำแรงดันสูงเมื่อครู่ไม่ใช่ผู้อำนวยการหูเหรอ?”
คนงานทุกคนในโรงงานอุตสาหกรรมเบาต่างพากันปิดปากเงียบ
นี่คือคำถามที่ตัดสินชะตาพวกเขา
หากคำตอบคือไม่ ประธานคนสวยแห่งว่านถงกรุ๊ป จะต้องให้พวกเขารับผิดชอบอย่างแน่นอน
แต่ถ้าตอบว่าใช่ มันจะกลายเป็นว่าพวกเขาโกหกว่าผู้อำนวยการหูหนีไป และพวกเขาต้องมอบตัวผู้อำนวยการหู
พวกเขาไม่ต้องการทำแบบนั้น
การส่งมอบตัวผู้อำนวยการหู หมายความว่าบ้านใหม่จะต้องถูกส่งคืนไปด้วย
ในที่สุดครอบครัวไร้บ้านเหล่านี้ในโรงงานเพิ่งได้รับการจัดสรรบ้านใหม่ แล้วใครเล่าจะอยากย้ายออกไปอีก?
หลินม่ายรออยู่ครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าไม่มีใครตอบสิ่งใด เธอจึงพูดว่า “ในเมื่อพวกคุณไม่พูด งั้นฉันจะเริ่มตั้งข้อหากับพวกคุณ”
เธอชี้นิ้วไปทางคนงานในโรงงานที่เพิ่งยิงเกาเหยียนจงด้วยปืนฉีดน้ำแรงดันสูง “คุณเจ้าหน้าที่ตำรวจ ฉันต้องการร้องเรียนบางประการเมื่อครู่พวกเขายิงพนักงานของฉันด้วยปืนฉีดน้ำแรงดันสูง พนักงานอย่างน้อย 20 หรือ 30 คนได้รับบาดเจ็บและหนาวสั่น จนต้องถูกส่งตัวไปโรงพยาบาล การกระทำของพวกเขาเข้าข่ายก่อการทะเลาะวิวาท และควรถูกคุมขังในเรือนจำห้าถึงเจ็ดวันไม่ใช่หรือ?”
เจ้าหน้าที่ตำรวจหลายคนลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ากล่าวคำ “เราจะบังคับใช้กฎหมายอย่างเป็นกลาง คุณวางใจเรื่องนี้ได้”
หลินม่ายกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ฉันไม่เชื่อสิ่งที่พวกคุณพูด แต่เป็นสิ่งที่พวกคุณกระทำ ใครจะพูดสวยหรูอย่างไรก็ได้ไม่ใช่หรือ?”
เจ้าหน้าที่ตำรวจเห็นว่าเบี่ยงเบนไปก็ไร้ประโยชน์ พวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องพาคนงานทั้งหมดจากโรงงานอุตสาหกรรมเบาที่ยิงพนักงานของหลินม่ายด้วยปืนฉีดน้ำไปยังสถานีตำรวจภายใต้แรงกดดันของหล่อน
แค่นั้นหลินม่ายก็พอใจแล้ว เธอบอกให้เกาเหยียนจงกลับบ้านและเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกชุ่ม เน้นย้ำให้เขาดื่มซุปร้อนและอาบน้ำอุ่น
ในบรรดาพนักงานทั้งหมด ตัวของเขาเปียกโชกมากที่สุดตั้งแต่หัวจรดเท้า ถ้าไม่ใช่เพราะร่างกายแข็งแรง เขาอาจจะหนาวสั่นจนเป็นไข้ไปแล้ว
นอกจากนี้หลินม่ายยังบอกให้เขาจับตาดูตำรวจและจ่ายค่ารักษาพยาบาลไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น พวกเขาจะปล่อยให้คนงานอพยพเหล่านี้เจ็บป่วยโดยไม่รับผิดชอบไม่ได้
เกาเหยียนจงพยักหน้ารับอย่างเคร่งขรึม
แสงอาทิตย์เริ่มลับหายไป ขณะที่เวลาล่วงเลยมาถึงห้าโมงเย็น
หลินม่ายนั่งรถแท็กซี่กลับบ้าน
คุณย่าฟางเตรียมอาหารเย็นไว้แล้ว ซึ่งเป็นเนื้อซี่โครงตุ๋นกับมะเขือเทศ อาหารจานผักสองจาน ซอสพริกเห็ดหนึ่งขวด และผักดองผัดพริกหนึ่งจาน
ทุกคนนั่งรับประทานอาหารเย็นร่วมกัน
คุณย่าฟางสอบถามว่าเรื่องกองทุนโครงการที่ค้างชำระของว่านถงกรุ๊ปว่าเป็นอย่างไร
หลินม่ายตอบกลับคำเบา “กำลังได้รับการแก้ปัญหาอยู่ค่ะ คุณปู่กับคุณย่าไม่ต้องกังวล เรื่องนี้จะได้รับการแก้ไขอย่างน่าพอใจแน่นอน”
คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางเชื่อมั่นในความสามารถของเธอ พวกเขาจึงไม่ถามอะไรมาก
หลินม่ายชิมซอสพริกและผักดองผัดพริก ทุกอย่างอร่อยและเข้ากันได้ดีเมื่อกินกับข้าว
ฝีมือของโจวฉายอวิ๋นในการทำซอสพริกและเมนูผักดองพัฒนาขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เธอตักเนื้อซี่โครงมะเขือเทศขึ้นมากิน ซึ่งมีรสหวานอมเปรี้ยวลงตัวและอร่อยมาก
เธออดไม่ได้ที่จะคิดถึงฟางจั๋วหราน โดยสงสัยว่าเขาได้กินอาหารจานร้อนบ้างหรือไม่
เมื่อนึกถึงฟางจั๋วหราน ทันใดนั้นหลินม่ายก็ตระหนักได้ว่ายังไม่เจอฟางจั๋วเยวี่ยตั้งแต่ที่กลับมาถึงบ้าน
การไม่พบเขาระหว่างวันไม่ใช่เรื่องแปลก เพราะเขามักยุ่งวุ่นวายอยู่กับการทำงาน
ตอนนี้เป็นเวลาเกือบหนึ่งทุ่มแล้ว แต่ยังคงไม่เห็นเขา ซึ่งมันผิดปกติเล็กน้อย
หลินม่ายถามปู่ฟางและย่าฟางว่า “จั๋วเยวี่ยอยู่ไหนคะ เขากลับมาหรือยัง?”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เป็นลูกน้องของเจ้านายชั่วก็ลำบากหน่อยนะ เจ้านายลอยตัว ปล่อยให้ลูกน้องรับกรรมไป
ไหหม่า(海馬)