แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 779 กินหนู
ตอนที่ 779 กินหนู
เวลาสิบนาฬิกา งานประกาศรางวัลก็ได้เริ่มต้นขึ้น
เจ้าภาพเริ่มอ่านรายชื่อชมเชย หลังจากอ่านรายชื่อแล้ว เขาก็แนะนำผลงานดีเด่นของคนกลุ่มนั้น
แม้จะเป็นคำชมเชยเพียงไม่กี่คำ แต่ก็ทำให้เลือดของผู้ที่ได้ฟังเดือดพล่าน
หลินม่ายลืมจุดประสงค์ในการเดินทางของเธอไปนานแล้ว นั่นคือการโฆษณาเสื้อผ้าของห้องเสื้อจิ่นซิ่ว
เธอจ้องไปยังเวทีและจ้องมองไปยังสตรีเหล่านั้นอย่างชื่นชม
ช่างภาพหลายคนต่างเข้ามาขอถ่ายภาพเธอเพราะความงดงาม และเธอก็รู้สึกพึงพอใจที่ได้เติมเต็มความปรารถนาของตนในการโฆษณา
กว่าจะรู้ตัว เวลาก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ตั้งแต่การมอบรางวัลให้กับผู้ถือธงแดงในวันที่ 8 มีนาคม ซึ่งเป็นรางวัลเกียรติยศสูงสุด ไปจนถึงการมอบรางวัลให้กับนางแบบรายบุคคลครั้งที่ 38
งานประกาศรางวัลนี้มีผู้คนมากมายหลายร้อยคน
เมื่อพิธีกรประกาศชื่อใคร บุคคลผู้นั้นก็ขึ้นไปรับรางวัล
ทันใดนั้นชื่อที่คุ้นเคยก็มาถึงหูของหลินม่าย
หลินม่าย— นั่นคือชื่อของเธอเองไม่ใช่เหรอ?
เธอได้รับรางวัลเหรอ?
ทำไมไม่มีใครบอกเธอก่อนเลย?
หรืออาจเป็นคนที่ชื่อและนามสกุลเดียวกับเธอ?
เธอมองรอบห้องประชุมอย่างรวดเร็ว แต่ไม่มีใครยืนขึ้น
หลินม่ายจึงมั่นใจว่านั่นจะต้องเป็นชื่อของเธอแน่
เธอเดินขึ้นแท่นรับรางวัลอย่างสง่างาม
พิธีกรรู้สึกตื่นเต้นและแนะนำความดีของหลินม่ายเมื่อครั้งเกิดภัยพิบัติพายุหิมะที่ผ่านมาด้วยคำพูดไม่กี่คำ ซึ่งได้รับเสียงปรบมืออย่างเต็มที่
หลินม่ายมีส่วนช่วยอย่างมากในภัยพิบัติพายุหิมะครั้งนี้ และเธอก็ได้รับเกียรติมากมาย
เธอรับโล่ประกาศเกียรติคุณพร้อมกล่องสีแดงสด
ไม่น่าเชื่อว่าประเทศจะให้เกียรติเธออย่างสูงและเลือกให้เธอเป็นบุคคลต้นแบบประจำวันสตรี
แม้รางวัลนี้จะเล็กที่สุดในทุกรางวัล แต่ก็เหมือนกับรางวัลความเป็นเลิศ
มีผู้หญิงจำนวนมากในประเทศนี้ จึงเป็นเรื่องยากมากที่จะได้รับรางวัล
หลินม่ายรู้สึกตื่นเต้นเล็กน้อยหลังจากได้รับเกียรติบัตรจากประธานสมาพันธ์สตรี
เมื่องานทั้งหมดสิ้นสุดลง ก็เป็นเวลาเที่ยงวันแล้ว และทางสถานีโทรทัศน์ก็จัดอาหารกลางวันให้ทุกคน
หลินม่ายตามทีมงานออกจากหอประชุม ทุกคนพูดคุยพลางหัวเราะ และกำลังจะไปโรงอาหารเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน
แต่ทันทีที่เธอเดินออกจากหอประชุม ผู้ช่วยของผู้จัดการซุนก็รีบวิ่งออกมาจากมุมหอประชุมนั้น
เขาดึงเธอไปที่มุมห้องและพูดเสียงเบา “หัวหน้าหลิน แย่แล้วครับ มีบางอย่างเกิดขึ้นกับร้านเปาห่าวชือของเรา!”
หลินม่ายกระซิบ “อย่าตื่นตระหนก บอกฉันมาว่าเกิดอะไรขึ้น?”
ผู้ช่วยกล่าว “มีคนอ้างว่ากินหนูในหม้อไฟของเรา และพวกเขากำลังสร้างปัญหาในร้าน กำลังเป็นผลเสียอย่างมากกับทางร้านเลยครับ”
หลินม่ายขมวดคิ้วเล็กน้อยและถามว่า “แล้วผู้จัดการร้านจัดการไม่ได้เหรอ?”
“ครอบครัวนั้นเตรียมการมาอย่างดี ไม่ใช่ผู้จัดการร้านไม่สามารถจัดการได้ แม้แต่ผู้จัดการทั่วไปซุนก็ไม่สามารถทำอะไรได้ครับ”
หลินม่ายวิ่งไปหาพนักงานคนหนึ่ง
เธอบอกว่าตนเองต้องกลับก่อนเพราะมีเหตุการณ์ฉุกเฉิน จากนั้นเธอก็ติดตามผู้ช่วยผู้จัดการทั่วไปซุนไปยังที่เกิดเหตุ ซึ่งเป็นสาขาหนึ่งของร้านเปาห่าวชือ
ก่อนที่จะไปถึงที่นั่น เธอเห็นว่าหน้าประตูของสาขานั้นเต็มไปด้วยผู้คนที่มามุงดู
เธอจอดรถข้างถนนและลงจากรถพร้อมกับผู้ช่วยของผู้จัดการซุน
ผู้ช่วยเคลียร์ทางให้เธอและตะโกนเสียงดัง “ขอทางหน่อยครับ ขอทางหน่อยครับ ประธานหลินของเราอยู่ที่นี่แล้ว!”
กลุ่มคนที่มามุงดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นหลีกทางให้ทันที
หลินม่ายได้ยินคนเหล่านั้นพูดถึงเรื่องราวที่เกิดขึ้น
ว่ากันว่าสุขอนามัยของร้านอาหารในเครือร้านเปาห่าวชือนั้นดีมาก จะเป็นไปได้อย่างไรที่มีหนูตายในหม้อไฟ?
เป็นไปได้มากว่าคู่แข่งเห็นว่าธุรกิจของร้านอาหารในเครือร้านเปาห่าวชือนั้นดีเกินไป ดังนั้นพวกเขาจึงจงใจทำลายเธอ
หัวใจของหลินม่ายเต้นแรง เมื่อนึกถึงคำพูดที่ซูอวี้อิ๋งเคยบอกว่า มีคนต้องการรวมพลังเพื่อจัดการกับเธอ
ในเวลานั้น เธอและฟางจั๋วหรานคิดว่าซูอวี้อิ๋งเพียงข่มขู่ให้กลัวเพื่อที่พวกเขาจะได้ช่วยเหลือหล่อน จึงไม่มีใครจริงจังกับเรื่องนี้
เป็นไปได้ไหมว่าสิ่งที่ซูอวี้อิ๋งพูดเป็นความจริง?
งานวันนี้เป็นงานชิ้นโบว์แดงของคนเหล่านั้นแล้วเหรอ? พวกเขาได้เริ่มลงมืออย่างจริงจังหรือ?
หลินม่ายเดินเข้าไปในวงล้อมและเห็นคู่รักวัยกลางคนพร้อมผู้สูงอายุกำลังร้องไห้กับฝูงชน
“สงสารหลานที่รักของฉัน พวกเขากินหม้อไฟและซาลาเปานึ่งไปเยอะมาก แต่ดันมีหนูตายอยู่ในหม้อไฟ ถ้าเกิดติดเชื้อโรคอะไรขึ้นมาล่ะ?!”
พวกเขากล่าวพลางร่ำไห้
ห้องครัวและล็อบบี้ของร้านเปาห่าวชือแต่ละสาขาถูกกั้นด้วยกระจกเพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกค้ามองเห็นสุขอนามัยของห้องครัว
ครัวสะอาดถึงขนาดนี้ แล้วจะมีหนูตายได้อย่างไร?
นอกจากนี้หลินม่ายได้ทำสิ่งดี ๆ มากมายให้กับชาวเมืองในช่วงภัยพิบัติพายุหิมะที่เพิ่งผ่านพ้นไป และประชาชนก็สนับสนุนเธอเป็นอย่างมาก
เมื่อเห็นว่าคู่รักวัยกลางคนและผู้สูงอายุจงใจสร้างความวุ่นวายและทำลายชื่อเสียงของร้านเปาห่าวชือ หลายคนจึงดูถูกพวกเขา
คนหนึ่งเอ่ยขึ้น “หนูตัวนี้ถูกต้มในหม้อไฟที่เดือดพล่านจนหนังเปื่อยยุ่ย หากมีเชื้อโรคปนเปื้อนอยู่จริงก็คงไม่มีเชื้อโรคชนิดใดที่ต้านทานอุณหภูมิสูงขนาดนั้นได้ แบบนั้นแล้วทำไมต้องสงสารหลานชายของคุณด้วย?”
อีกคนหนึ่งกล่าวา “คนกวางตุ้งเองก็กินหนู และฉันไม่เคยได้ยินว่าเกิดโรคระบาดที่นั่น อย่าโวยวายจนถึงขนาดนั้นเลย”
บางคนถึงกับตั้งคำถามถึงความจริงของเหตุการณ์ “พวกคุณใส่หนูตัวนั้นลงในหม้อเองหรือเปล่า”
หลินม่ายฟังคำพูดของบุคคลนั้นและแอบชื่นชมอยู่ในใจ ฝูงชนที่ที่กำลังมุงดูด้วยความอยากรู้อยากเห็นต่างช่วยแก้ต่างให้กับร้านเปาห่าวชือ
ทุกอย่างล้วนมาจากเจตนาดี ราวกับว่าครอบครัวนี้นำหนูมาใส่ในหม้อไฟเพื่อใส่ร้ายร้านของหลินม่าย
คู่สามีภรรยาเห็นว่าหลายคนกำลังช่วยปกป้องร้านเปาห่าวชือ ดังนั้นพวกเขาจึงเริ่มสาปแช่งคนเหล่านั้น
การเคลื่อนไหวของพวกเขาทำให้กลุ่มคนที่ปกป้องร้านหม้อไฟโกรธเคือง
ทุกคนประณามคู่รักวัยกลางคนและผู้สูงอายุที่มาด้วยกันว่าเป็นคนไร้ศีลธรรม
หลินม่ายเดินเข้ามาถามอย่างใจดี “คุณลุงคุณป้าคะ ตอนนี้หลานของพวกคุณอยู่ที่ไหนเหรอคะ?”
หญิงสูงวัยจ้องมองเธอด้วยความไม่พอใจ “จะไปไหนได้อีกล่ะ? ลูกเขยของฉันก็กำลังพาไปส่งโรงพยาบาลน่ะสิ”
หลินม่ายถามผู้จัดการซุนที่ยืนอยู่ข้างเขาด้วยใบหน้าสดใส “เราส่งคนไปตามเขาหรือยัง? เราต้องรับผิดชอบจ่ายค่ารักษาพยาบาลนะ”
ผู้จัดการซุนพยักหน้า “ผมจะส่งคนไปโรงพยาบาลเพื่อรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาล”
หลินม่ายหันไปหาคู่รักวัยกลางคนและผู้สูงอายุอีกครั้งพลางกล่าว “วางใจได้เลยค่ะ เราจะรับผิดชอบค่ารักษาพยาบาลทั้งหมดของหลานคุณจนกว่าเขาจะออกจากโรงพยาบาล”
ผู้คนที่มุงดูต่างพูดเป็นเสียงเดียวกัน “คุณหลินใจดีมาก ดูเหมือนว่าครอบครัวนี้จงใจสร้างเรื่องเดือดร้อน แต่เธอกลับยังแบกรับค่ารักษาพยาบาลของหลานพวกเขา ถ้าเป็นฉันนะ สักแดงเดียวก็ไม่ให้!”
หญิงสูงวัยพูดอย่างไร้ความปรานี “คิดว่ามีแค่หลานฉันสองคนที่กินมันหรือยังไง? ฉันกับลูกชายและลูกสะใภ้ต่างก็กินหม้อไฟที่มีหนูตาย และเราก็ต้องเข้ารับการตรวจสุขภาพด้วย”
หลินม่ายตกลงอย่างง่ายดาย “ได้สิคะ!”
ชายสูงวัยเปิดปากของเขา “และพวกคุณ ต้องชดเชยให้พวกเราห้าหมื่นหยวน”
หลินม่ายยิ้มและเอ่ยถาม “ช่วยบอกฉันได้ไหมคะว่าทำไมพวกคุณจึงสมควรได้รับเงินชดเชยห้าหมื่นหยวน”
“เพราะเราต้องกินหนูตายในหม้อไฟ” คู่สามีภรรยาวัยกลางคนและผู้สูงอายุกล่าวอย่างมั่นใจ
ทันใดนั้นท่าทางของหลินม่ายก็แข็งกร้าว “เพียงเพราะครอบครัวของคุณกินหม้อไฟที่มีหนูตาย ฉันต้องจ่ายห้าหมื่นหยวนเลยเหรอคะ? นี่มันขู่กรรโชกกันชัด ๆ!”
กลุ่มคนที่มุงดูอยู่ต่างตะโกน “ก็พวกเขามาเพื่อรีดไถเงินยังไงล่ะ”
หลินม่ายจงใจอ้างถึงการขู่กรรโชกเพื่อชักจูงความคิดเห็นของประชาชนให้คิดเห็นแบบเดียวกัน
หากมีการฟ้องศาลเกิดขึ้น เธอก็จะมีพยานที่ช่วยยืนยันได้ว่าพฤติกรรมของครอบครัวนี้เป็นการขู่กรรโชก และคู่สามีภรรยาสูงอายุจะต้องเข้าคุก
หลินม่ายตัดสินใจเช่นนั้น เพราะในชีวิตที่แล้ว ผู้พิพากษาตัดสินคดีแบบนี้ด้วยวิธีนั้น
ในชีวิตที่แล้ว อาจารย์หลัวเซียงได้ทำการตัดสินคดีหนึ่ง
ผู้บริโภครายหนึ่งอ้างว่าลูกสาวของเธอมีอาการไตอักเสบหลังจากกินนมผงปลอม และเธอเรียกเงินชดเชยหนึ่งหมื่นหยวน แต่ผู้พิพากษาระบุว่าเป็นการขู่กรรโชกและตัดสินจำคุกเธอเป็นเวลาสิบปี
สิ่งที่พวกเขาทำในตอนนั้นคือเชือดไก่ให้ลิงดู และขัดขวางพวกที่กระทำการเพื่อเรียกเงินชดเชยในราคาสูง
เหตุที่ตุลาการตัดสินเช่นนั้นเพราะผู้พิพากษาไม่เข้าใจกฎหมายอย่างถ่องแท้ในยุคนี้
แม้ว่าหลินม่ายจะไม่เห็นด้วยกับคำตัดสินบางอย่างของผู้พิพากษาในยุคนี้ แต่เธอก็กำลังถูกขู่กรรโชกเช่นเดียวกัน
พวกเขาสมควรถูกลงโทษตามกฎหมายไม่ใช่เหรอ?
หากคู่สามีภรรยาสูงวัยถูกตัดสินว่ามีความผิดในข้อหากรรโชกทรัพย์ ก็มีความเป็นไปได้สูงที่ผู้บงการเบื้องหลังจะถูกเปิดโปง
ดูเหมือนว่าครอบครัวนี้จะถูกใครบางคนยุยงให้สร้างปัญหา
หลินม่ายต้องการใช้ประโยชน์จากกลุ่มคนที่มามุงดู โดยให้พวกเขาเป็นพยานช่วยสนับสนุนและปกป้องร้านเปาห่าวชือของเธอ
หลินม่ายขอให้ผู้จัดการทั่วไปซุนโทรหาตำรวจเพื่อแจ้งความคู่รักวัยกลางคนและผู้สูงอายุในข้อหาขู่กรรโชก
เมื่อถูกตำรวจพาตัวไป พวกเขาก็ตื่นตระหนกและลนลานพลางตะโกน “ไม่มีเหตุผลเลย ตำรวจไม่จับเจ้าของร้านที่เป็นคนร้าย แต่กลับจับพวกเราที่เป็นเหยื่อ”
กลุ่มคนที่มุงดูอยู่ต่างปรบมือให้และชื่นชมว่าตำรวจทำได้ดี
หลังจัดการกับคู่รักวัยกลางคนและผู้สูงอายุแล้ว หลินม่ายได้ให้ความรู้แก่ผู้จัดการร้านและผู้จัดการทั่วไปซุน
เธอถามพวกเขาว่า หากเจอสถานการณ์เช่นนี้อีกในอนาคตจะรู้วิธีรับมือหรือไม่
ทั้งสองพยักหน้าด้วยความเขินอาย “รู้แล้วครับ”
เมื่อครั้งที่ครอบครัวนี้อาละวาดว่าเผลอกินหนูในหม้อไฟ พวกเขาก็ไม่สามารถหาหลักฐานมายืนยันความบริสุทธ์ของตัวเองได้ และไม่เคยเจอเรื่องแบบนี้มาก่อน
พวกเขาไม่รู้ว่าพฤติกรรมของครอบครัวนี้ที่ถือเป็นการขู่กรรโชกทรัพย์ ดังนั้นจึงไม่รู้ว่าสามารถแจ้งความได้ พวกเขาจึงปล่อยให้ครอบครัวนี้อาละวาดได้ตามใจ
.
หลินม่ายกล่าว “แม้ฉันจะบอกคุณเสมอว่าให้ปฏิบัติต่อลูกค้าเหมือนพระเจ้า แต่ไม่ใช่ว่าลูกค้าทุกคนจะเป็นพระเจ้า และเห็นได้ชัดว่าพวกเขามาเพื่อสร้างปัญหา ดังนั้นเราควรแข็งกร้าวบ้าง”
ผู้จัดการซุนและผู้จัดการร้านพยักหน้าอีกครั้ง
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
มามุกนี้คิดว่าจะใส่ร้ายม่ายจื่อได้เหรอ ได้เข้าไปกินข้าวแดงตบท้ายมื้ออาหารในซังเตสิคะ
ไหหม่า(海馬)