แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 886 แฉโพยความลับ
ตอนที่ 886 แฉโพยความลับ
สาว ๆ พูดคุยและปรึกษากันอยู่นาน จนในที่สุดก็ตัดสินใจได้ว่าจะกินอะไรดี
ทุกคนเงยหน้าขึ้นมองหลินม่ายพร้อมกัน ก่อนจะผลักเมนูไปหาเธอ “เหลือเธอคนเดียวที่ยังไม่ได้สั่งแล้ว”
หลินม่ายอุ้มทารกไว้ในมือข้างหนึ่ง และใช้มืออีกข้างพลิกเมนูตรงหน้า เธอกล่าวกับบริกรที่รออยู่ด้านข้างว่า “กระต่ายย่าง 1 ตัวค่ะ”
เหมียวเหมียวอุทานเสียงหลง “เธอกล้าสั่งกระต่ายย่างทั้งตัวเลยเหรอ มันแพงมากเลยนะ กระเป๋าสตางค์ของฉันจะฉีกไหมเนี่ย?”
หลินม่ายยิ้มก่อนจะตอบว่า “แต่กระเป๋าสตางค์ของฉันรับได้”
ภายในไม่กี่วินาที ทุกคนเข้าใจความหมายทันที พวกเขายิ่งมีความสุขมากขึ้น
กระต่ายย่าง ลูกแกะย่างของร้านอาหารแห่งนี้มีชื่อเสียงมาก แม้พวกเขาอยากจะลิ้มลอง แต่ราคาของมันแพงเกินกว่าจะจ่ายไหว
เวลานี้หลินม่ายนั่งมองเพื่อน ๆ ทุกคนกำลังลิ้มรสความอร่อยของกระต่ายย่าง
แม้ว่าร้านอาหารแห่งนี้จะอัดแน่นไปด้วยผู้คน แต่ความเร็วในการเสิร์ฟอาหารยังถือว่าเร็วมาก
ภายในยี่สิบนาที ยกเว้นบาร์บีคิวสองสามชิ้น และกระต่ายย่างทั้งตัว อาหารอื่น ๆ ถูกเสิร์ฟจนครบแล้ว
เมื่อเหมียวเหมียวกำลังจะเชิญทุกคนให้ร่วมรับประทาน บริกรชายก็เข็นเค้กวันเกิดขนาดใหญ่เข้ามาใกล้โต๊ะ
บริกรชายวางเค้กวันเกิดไว้กลางโต๊ะด้วยความระมัดระวัง ก่อนจะหันไปกล่าวกับเหมียวเหมียวว่า “สุขสันต์วันเกิดนะครับ”
เหมียวเหมี่ยวตกตะลึงก่อนจะรีบอุทาน “ฉันไม่ได้สั่งนะคะ”
เป็นหลินม่ายที่ยกยิ้มและพูดว่า “เธอจะไม่รับเค้กวันเกิดนี้ได้ยังไงล่ะ ฉันสั่งมาให้”
“ม่ายจือ เธอใจดีมากเลย” เหมียวเหมียวมีความสุขมากจนพุ่งตัวเข้าไปกอดอีกฝ่าย และยังต้องการจูบแก้มของหลินม่ายด้วย แต่เวลานี้หลินม่ายผลักเธอออกด้วยความรังเกียจ
ทั้งกลุ่มกินและดื่มอย่างมีความสุข แม้แต่เสี่ยวมู่ตงที่อยู่ในอ้อมแขนของหลินม่ายก็ยังตื่นเต้นไปด้วย
ขณะที่ยกไม้ยกมือ พูดเจื้อยแจ้วพร้อมพ่นน้ำลายออกมาเป็นระยะ เขามองอาหารรสเลิศบนโต๊ะด้วยดวงตามันวาวราวกับต้องการชิม
แต่เขายังตัวเล็กมาก และยังไม่สามารถกินอาหารเสริมอื่น ๆ ได้เลย จึงไม่มีใครกล้าหยิบอะไรใส่ปากของเขา
หลินม่ายและเพื่อนร่วมโต๊ะทั้งหมดกินกระต่ายย่างอย่างมีความสุข ในขณะที่เสี่ยวมู่ตงน้ำลายไหลย้อยตลอดเวลา สุดท้ายพวกเขาก็จ่ายเงินและเดินออกจากร้านไป
ทันทีที่ทั้งกลุ่มเดินออกมาจากร้านอาหาร เฝิงเยว่จู๋เดินเข้ามากล่าวอ้อนวอน “ม่ายจื่อ ฉันอยากคุยกับเธอ”
เห็นอย่างนั้นแล้ว เพื่อนร่วมชั้นจึงบอกกล่าวกับหลินม่าย และตรงไปยังป้ายรถเมล์เพื่อนั่งรถบัสกลับมหาวิทยาลัย
หลินม่ายถามกลับ “คุณจะคุยอะไรกับฉันคะ?”
เฝิงเยว่จู๋เผยท่าทางลังเล แต่ก็ยังกล่าวพึมพำเสียงค่อย “เธอช่วยเก็บเรื่องเมื่อครู่นี้เป็นความลับได้ไหม?”
หลินม่ายเลิกคิ้ว “แล้วคุณคิดว่ายังไงล่ะ?”
เธอทิ้งเฟิงเยว่จู๋พร้อมกับเดินตรงไปที่รถเบนซ์ของตัวเอง
แต่เฝิงเยว่จู๋รีบติดตามด้านหลังมาอย่างรวดเร็วแล้วอธิบายต่อ “ฉันไม่ได้อยากมานัดบอดคราวนี้ แม่ของฉันจัดการให้ทุกอย่าง”
หลินม่ายจึงหยุดเดินแล้วถามว่า “แม่ของคุณไม่พอใจพี่ชายฉันเหรอ?”
เฝิงเยว่จู๋ตกตะลึงครู่หนึ่ง หล่อนไม่รู้เลยว่าจะตอบอย่างไร
ทำไมความคิดของหลินม่ายถึงแตกต่างจากคนอื่นนัก?
เธอควรจะสนใจว่าการนัดบอดนี้ไม่ใช่ความสมัครใจของหล่อน แต่เป็นความตั้งใจของแม่หล่อน หล่อนก็เพียงแค่บอกกล่าวว่าแม่บังคับให้หล่อนมา แล้วอีกฝ่ายก็ควรจะเลิกแล้วต่อกัน
แต่หลินม่ายกลับถามถึงความคิดของแม่หล่อนที่มีต่อไป๋เซี่ย!
มันเป็นเพราะไป๋เซี่ยขู่หล่อนเสมอว่าจะเลิกกับหล่อนก่อนแต่งงาน เช่นนี้จึงไม่มีแม่คนไหนที่จะพอใจในตัวเขา
แต่เฝิงเยว่จู๋ไม่กล้าที่จะพูดเรื่องนี้ออกไป
หลินม่ายเปิดประตูก่อนจะนั่งลงกับทารกในอ้อมแขน ก่อนจะปิดประตู เธอพูดกับเฝิงเยว่จู๋ว่า “ในเมื่อแม่ของคุณไม่พอใจพี่ชายของฉัน เดี๋ยวฉันจะบอกพ่อให้นะคะ”
หลังพูดจบ เธอเหยียบคันเร่งและออกจากตรงนี้ทันที ก่อนจะพ่นควันดำใส่ใบหน้าของเฝิงเยว่จู๋
เฝิงเยว่จู๋ไออย่างหนักสักครู่หนึ่ง ก่อนจะวิ่งหนีกลับบ้าน
เวลานี้คุณแม่เฝิงกับคุณพ่อเฝิงกำลังนั่งดูทีวีพร้อมกับหัวเราะกันอย่างสนุกสนาน
เมื่อเห็นเฝิงเยว่จู่วิ่งกลับมาพร้อมร่างกายชุ่มเหงื่อ พวกเขารีบถาม “เป็นยังไงบ้าง? นัดบอดผ่านไปได้ด้วยดีไหม?”
เฝิงเยว่จู๋ร้องไห้ออกมาพร้อมกับกล่าวด้วยความขุ่นเคือง “ฉันบอกแล้วว่าไม่ไป แต่พวกแม่ก็ดันทุรังอยากให้ฉันไปนัดบอด แล้วก็บังเอิญไปเจอกับม่ายจื่อ ม่ายจื่อบอกว่าหล่อนจะฟ้องลุงไป๋เกี่ยวกับเรื่องของวันนี้ ฉันจะสูญเสียทั้งสองคนไป!”
คุณแม่เฝิงถึงกับตกตะลึง
ชายหนุ่มวัยกลางคนชื่อลู่เวยเพิ่งเดินทางกลับจากต่างประเทศ ตามคำบอกเล่าของคนอื่น ๆ บอกไว้ว่าอาชีพของเขาทำให้การแต่งงานในชีวิตของเขาต้องถูกเลื่อนออกไป
เวลานี้พ่อแม่ที่บ้านกระวนกระวายจนเส้นผมเปลี่ยนเป็นสีขาว และพวกเขาขอให้ทุกคนที่พบเจอแนะนำคู่ชีวิตให้กับลูกชายของตัวเอง
เงื่อนไขที่ผู้เฒ่าทั้งสองพอใจคือหญิงสาวต้องมีวุฒิการศึกษาระดับมหาวิทยาลัย และมีงานทำ มีพื้นฐานครอบครัวที่ดี และจะดีมากถ้าหากว่าหล่อนคนนั้นหน้าตาดี
คุณแม่เฝิงตื่นเต้นที่ได้รู้ข่าวนี้ และพวกเขารู้ว่าคุณแม่เฝิงไม่พอใจกับว่าที่ลูกเขยในอนาคต
ทันทีที่คุณแม่เฝิงรู้เรื่องนี้ จึงลองถามคุณแม่เฝิงว่าอยากให้เฝิงเยว่จู๋ลองไปนัดบอดดูไหม? แล้วถ้าหากชอบใจขึ้นมาล่ะ?
เพื่อนของแม่เฝิงยังบอกอีกว่าลู่เวยยังไม่ได้วางแผนจะกลับมาทำงานในประเทศจีน เพราะสุดท้ายแล้วเขาสามารถหาเงินได้มากกว่าในอเมริกา เงินเดือนของเขาสูงมากด้วย
การกลับมาประเทศจีนคราวนี้ไม่เพียงแต่เพื่อแก้ไขเหตุการณ์ที่ควรเกิดแต่ยังไม่เกิดเท่านั้น แต่เขายังกลับมาเพื่อชำระทุนการศึกษาของตนเอง เพื่อให้ตัวเขาสามารถย้ายไปอยู่ที่อเมริกาได้
ได้ยินอย่างนั้นแล้ว คุณแม่เฝิงพลันหวั่นไหวทันที
หนึ่งดอลลาร์สหรัฐเทียบเท่ากับสิบหยวน
แม้ลู่เวยจะได้รับค่าแรงขั้นต่ำในอเมริกา แต่เขาก็ยังสามารถหาเงินได้มากถึง 2-3,000 ดอลลาร์ต่อเดือน หากแปลงเป็นเงินสกุลจีนก็นับว่าหลายหมื่นหยวน รายได้เช่นนี้ย่อมสูงว่าไป๋เซี่ยไม่ใช่เหรอ?
และถ้าลูกสาวของหล่อนสามารถมัดใจลู่เว่ยได้ หล่อนก็จะได้แต่งงานโดยเร็ว
และหากทั้งสองคนแต่งงานกัน ลูกสาวของหล่อนจะได้ไปอยู่ที่อเมริกาด้วยแน่นอน และหล่อนก็จะมีงานทำ
ตราบใดที่ลูกสาวและลูกเขยเจียดเงินมาให้พวกเขาสักหน่อย ตระกูลเฝิงของพวกเขาจะกลับกลายเป็นรุ่งเรืองขึ้นมาทันที และลูกชายคนสุดท้องจะสามารถพึ่งพาเขาในการเข้าเรียนที่สหรัฐอเมริกาได้ด้วย
ยิ่งคุณแม่เฝิงคิดเรื่องนี้มากเท่าใด หล่อนยิ่งฝันเฟื่องไปไกลเท่านั้น จึงสนับสนุนเฝิงเยว่จู๋ให้ไปนัดบอด
เฝิงเยว่จู๋ไม่พอใจการที่พ่อไป๋และหลินม่ายตระหนี่สินสอด ส่วนไป๋เซี่ยไม่เพียงแต่จะไม่ขอสินสอดเพิ่มเท่านั้น แต่ยังห้ามไม่ให้ตระกูลเฝิงเพิ่มเงื่อนไขการแต่งงานอีกด้วย สิ่งนี้ทำให้หล่อนรู้สึกไม่พอใจมาก
เวลานี้เมื่อคุณแม่เฝิงขอให้หล่อนไปนัดบอด หล่อนจึงลังเลอยู่นาน แต่ก็ตอบตกลง
หล่อนวางแผนจะพบเจอคนที่ดีก่อนแล้วค่อยละทิ้งไป๋เซี่ยภายหลัง
แต่เพราะการปรากฏตัวของหลินม่าย สถานการณ์จึงเกินการควบคุม และคุณแม่เฝิงก็ไม่ได้คิดเรื่องนี้ด้วย
คุณแม่เฝิงรีบหันไปถามคุณพ่อเฝิงทันทีว่าจะทำอย่างไรต่อ?
เวลานี้คุณพ่อเฝิงสูบบุหรี่มากกว่าครึ่งซอง แต่ก็ไม่สามารถคิดหนทางออกได้
ท้ายที่สุด หัวใจของคุณแม่เฝิงก็เจ็บปวดขึ้นมา และเฝิงเยว่จู๋ก็ยังคงโทษว่าทุกสิ่งเป็นความผิดของแม่ทั้งสิ้น
อาจเรียกได้ว่านี่เป็นเรื่องแม่รังแกฉัน เป็นเพราะแม่ของหล่อนเป็นคนเสนอให้ไปนัดบอดในคราวนี้
หากเป็นเช่นนี้ เฝิงเยว่จู๋ยังจะสามารถรักษาการแต่งงานกับไป๋เซี่ยไว้ได้
ต่อให้แม่เฝิงจะถูกตระกูลไป๋เกลียดชัง หรือถูกไป๋เซี่ยรังเกียจ เวลานี้หล่อนก็ไม่คิดสนใจอีกแล้ว และหล่อนจะไม่ยอมเสียเนื้อชิ้นนี้ไปโดยเด็ดขาด
กว่าหลินม่ายจะกลับถึงบ้านก็มืดแล้ว เธอผล็อยหลับไปทันทีหลังจากอาบน้ำเสร็จ แต่สำหรับตระกูลเฝิงทั้งหมดมันกลายเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก
วันต่อมา หลังจากรับประทานมื้อเช้า หลินม่ายขับรถพาโต้วโต้วและทารกน้อยกลับมาที่บ้านเกิดของตน
ฟางจั๋วหรานต้องทำงานจึงไม่สามารถไปกับพวกเขาได้
พ่อไป๋เห็นหลินม่ายกลับมาพร้อมกับเด็กทั้งสองคน เขาก็ดีใจจนแทบเป็นบ้า
เขากำลังจะหันไปสั่งให้ไป๋เซี่ยไปที่ตลาดฝูตัวตัวเพื่อซื้อวัตถุดิบและปรุงอาหารรสเลิศให้กับหลินม่ายและลูก ๆ ของเธอ
ทันใดนั้นเขานึกขึ้นได้ว่าไป๋เซี่ยต้องไปออกเดทกับเฝิงเยว่จู๋ในวันนี้
พ่อไป๋หันไปพูดกับไป๋เซี่ยว่า “ถ้าจะไปออกเดทก็รีบไปซะ มัวชักช้าปล่อยให้ผู้หญิงรอได้ยังไง”
ไป๋เซี่ยมองนาฬิกาที่แขวนอยู่ในห้องนั่งเล่นก่อนจะพูดว่า “ยังเช้าอยู่เลยครับ เยว่จู๋ยังไม่ตื่นหรอกเวลานี้”
หลินม่ายโบกมือก่อนจะพูดว่า “ไม่ต้องไปเดทกับเยว่จู๋แล้วล่ะค่ะ วันนี้ฉันมีเรื่องสำคัญจะบอก”
หลินม่ายยุ่งมากจนกระทั่งวันหยุดที่ผ่านมายังไม่มีเวลากลับบ้าน แต่นี่เป็นเรื่องสำคัญที่เธอสามารถสละเวลาอันมีค่ามาที่นี่ได้
พ่อไป๋จึงตระหนักได้ว่าน่าจะมีบางอย่างผิดปกติ
เขาคาดเดาไปต่าง ๆ นานา สงสัยว่าหลินม่ายไปทะเลาะอะไรกับฟางจั๋วหรานและวิ่งมาฟ้องพวกเขาหรือไม่
นอกเหนือจากความเป็นไปได้ในเรื่องนี้ พวกเขาไม่สามารถนึกถึงเรื่องอื่นได้
คุณพ่อไป๋ถามออกไปด้วยความเสียงจริงจัง “เสวี่ยเป่า บอกพ่อมาเถอะว่าจั๋วหรานรังแกอะไรลูกหรือเปล่า?”
“ถ้าเขากล้าที่จะรังแกน้องสาวฉัน ฉันจะทุบตีเขาจนไม่สามารถจดจำใบหน้าบรรพบุรุษตัวเองได้เลย!” ไป๋เซี่ยพูดพร้อมกับถกแขนเสื้อตั้งท่าโกรธจัด
เมื่อเห็นว่าพ่อกับพี่ชายกำลังโกรธจัด หลินม่ายคิดอยากอธิบายแต่ไป๋ลู่กระโดดมาด้านหน้าก่อนจะพูดว่า “ถึงฉันจะไม่เก่งกาจเรื่องการต่อสู้ แต่ฉันสามารถตำหนิอาจารย์ฟางให้เจ็บปวดได้นะ”
หลินม่ายเห็นว่าทั้งสามคนเริ่มเพ้อเจ้อแล้ว และยังต้องการจัดการกับฟางจั๋วหรานด้วย เวลานี้เธอจึงลูบหน้าผากของตัวเองก่อนจะพูดต่อว่า “พวกคุณคิดอะไรกันอยู่? จั๋วหรานจะมารังแกฉันได้ยังไง? เรื่องสำคัญที่ฉันจะพูดวันนี้คือเรื่องของพี่ชายค่ะ”
เวลานี้ไป๋เซี่ยถึงกับสับสน “เรื่องของฉันเหรอ?”
หลินม่ายพยักหน้าก่อนจะบอกทุกคนเรื่องที่เฝิงเยว่จู๋พยายามเหยียบเรือสองแคมด้วยการนัดบอดกับชายอีกคนไปพร้อมกัน
ใบหน้าของไป๋เซี่ยกลายเป็นมืดมน เขาหันกลับมาและทำท่าจะออกจากบ้าน “ฉันจะไปหาเฝิงเยวาจู๋ การแต่งงานของเราจะถูกยกเลิก ทีนี้หล่อนอยากจะไปนัดบอดกับใครก็เชิญ!”
“เดี๋ยว!” คุณพ่อไป๋หยุดเขาทันที “ถ้าลูกอยากจะหย่ากับเสี่ยวเฝิง ในครอบครัวก็ไม่มีใครคัดค้านหรอก แต่เป็นเพราะพ่อไม่อยากให้ลูกต้องเสียใจทีหลัง ลองใจเย็น ๆ ลงก่อนแล้วผ่านไปสักพักค่อยตัดสินใจยังไม่สาย”
ส่วนหลินม่ายและไป๋ลู่ก็พยายามเกลี้ยกล่อมไป๋เซี่ยด้วยเช่นกัน
เวลานี้ไป๋เซี่ยจึงยอมหยุด เขาโทรหาเฝิงเยว่จู๋เพื่อบอกกล่าวว่าวันนี้จะไม่ไปตามนัดหมาย
เวลานี้เขาถูกสวมหมวกเขียวขนาดนี้ แล้วจะมีอารมณ์ออกเดทได้อย่างไร?
เฝิงเยว่จู๋ก็มีความกังวลในใจ หล่อนไม่กล้าที่จะต่อว่าอีกฝ่ายและตอบตกลงอย่างเชื่อฟัง
เป็นเรื่องยากที่หลินม่ายจะกลับมาที่บ้าน เพราะเธออยู่ที่นี่แล้ว เธอจึงรอกินมื้อกลางวันที่นี่
เวลานี้เธอฝากเสี่ยวมู่ตงไว้กับไป๋ลู่และโต้วโต้ว จากนั้นจึงเข้าครัวไปช่วยพ่อไป๋ทำมื้อเที่ยง ส่วนไป๋เหยียนก็เข้ามาที่บ้านพร้อมกับเถียนเถียน
พ่อไป๋วิ่งออกมาจากครัวพร้อมทัพพีในมือก่อนจะพูดติดตลกว่า “วันนี้ลมอะไรพัดมา? ลูกสาวคนโตกับหลานสาวของฉันถึงกับกลับมาที่บ้าน”
ไป๋เหยียนถามด้วยความประหลาดใจ “ม่ายจื่อก็อยู่ที่นี่เหรอ?”
“แปลกมาก! วันนี้พวกเรามากินอาหารร่วมกันดีกว่า!” พ่อไป๋หันกลับมาสั่งไป๋เซี่ย “ไหน ๆ พี่สาวกับน้องสาวของลูกก็กลับมาที่บ้านแล้ว ทำไมถึงยังไม่ออกไปซื้อวัตถุดิบทำอาหารอีกล่ะ?”
ไป๋เซี่ยตอบรับก่อนจะหยิบเงินและตะกร้าผักของคุณพ่อไป๋ก่อนจะขี่จักรยานออกจากบ้านไป
พ่อไป๋ถามไป๋เหยียนด้วยความเป็นห่วงว่าเกิดอะไรขึ้นที่บ้านหรือไม่?
ไป๋เหยียนพยักหน้ารับ
พ่อไป๋จึงรีบถามต่อ
ไป๋เหยียนกล่าวด้วยแรงอารมณ์ “จะอะไรอีกล่ะคะ? ก็เพราะตระกูลหยางไม่พอใจสามีของฉัน”
หลินม่ายออกจากห้องครัวก่อนจะถามว่า “ทำไมล่ะคะ? คราวนี้ตระกูลหยางสร้างเรื่องบาดหมางอะไรอีก?”
“พวกเขาพาคุณย่าที่เป็นอัมพาตมาที่บ้านของพวกเราแต่เช้า บอกว่าย่าออกจากโรงพยาบาลทั้งนานแล้ว แต่พวกเราไม่ไปเยี่ยม ไม่สนใจ และเป็นครอบครัวของพวกเราต้องดูแลคนป่วยนี้ต่อ” ไป๋เหยียนกล่าวอย่างหงุดหงิด
ไป๋ลู่ตะโกนขึ้นเป็นคนแรก “คุณย่าของเถียนเถียนเป็นโรคหลอดเลือดในสมองแตกจนกลายเป็นอัมพาต มันไม่ได้เกิดขึ้นเพราะพวกพี่ด้วยซ้ำ แล้วทำไมพี่กับพี่เขยต้องดูแลพวกเขาด้วยล่ะ!”
“อืม พี่เขยของเธอก็พูดอย่างนั้นแหละ” ไป๋เหยียนโบกมือ “แต่ไม่ต้องห่วงหรอก พ่อเถียนเถียนบอกให้ฉันพาเถียนเถียนกลับมาที่บ้านเพื่อจะได้ไม่ต้องรับรู้อะไร และเขาจะจัดการทางนั้นเอง”
ทุกคนรู้สึกโล่งใจมาก
ในมื้อเที่ยง ทุกคนรับประทานอาหารบนโต๊ะด้วยความเอร็ดอร่อย
คุณพ่อไป๋เล่าว่าบ้านใหม่ที่หน่วยงานของเขามอบให้ได้รับการปรับปรุงเสร็จสิ้นแล้ว มันถูกทิ้งร้างไว้กว่าครึ่งเดือน และก๊าซพิษก่อนหน้าก็หายไปหมดแล้ว
เขาวางแผนไว้ว่าจะย้ายไปบ้านใหม่ในสัปดาห์หน้า เช่นนี้ก็เพื่อให้พี่สาวไป๋เหยียนพาสามีกับลูกไปที่บ้านใหม่เพื่อรับประทานมื้อเย็นกับครอบครัวได้
เวลานี้ทั้งไป๋เหยียนและหลินม่ายต่างก็เห็นด้วย
หลังรับประทานมื้อเที่ยงแล้ว หลินม่ายก็ขับรถกลับมาพร้อมกับลูกทั้งสอง
ครูสอนพิเศษจะเข้ามาช่วยสอนการบ้านให้กับโต้วโต้วในช่วงบ่าย เช่นนี้เธอจึงไม่สามารถอยู่ที่บ้านของพ่อได้อีกต่อไป
หลังจากช่วงบ่ายผ่านพ้น หลินม่ายโทรหาไป๋เหยียนแล้วถามว่าปัญหาที่อีกฝ่ายพบเจอถูกแก้ไขเสร็จสิ้นหรือยัง
ไป๋เหยียนรู้สึกเหนื่อยใจเล็กน้อยก่อนจะตอบกลับว่า “แก้ไขแล้วแล้วล่ะ แต่ต้องใช้เงินแก้ ไม่มีประโยชน์ที่จะคิดเรื่องพวกนี้หรอก”
หลินม่ายถามต่อ “พี่จ่ายเงินให้พวกเขายังไง?”
ไป๋เหยียนตอบกลับด้วยความขุ่นเคือง “พวกเขาให้ครอบครัวของเราจ่ายค่ารักษาให้คุณย่า 50 หยวนต่อเดือน และจ่ายค่ากินอยู่ 15 หยวนต่อเดือน แต่ค่ารักษาและค่าใช้จ่ายทั้งหมดมันควรถูกใช้กับคุณย่าเท่านั้น ท้ายที่สุดมันไม่ควรเข้ากระเป๋าของหยางเซิงและภรรยาของเขา!”
“คงเป็นทางออกที่ดีที่สุดในตอนนี้แล้วล่ะค่ะ” หลินม่ายตอบ “ถึงจะขึ้นศาล แต่สุดท้ายศาลก็จะตัดสินว่าคุณย่าเถียนเถียนเป็นโรคหลอดเลือดในสมองแตก และคงตัดสินให้ครอบครัวของพี่กับครอบครัวพี่สะใภ้ผลัดกันดูแลคุณย่าเถียนเถียน แทนที่เราจะทำอย่างนั้น การใช้เงินแก้ปัญหาก็เป็นเรื่องที่สมควรทำ อย่าไปขุ่นเคืองเพราะเรื่องนี้เลย”
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
เรียบร้อยจ้า ไม่ต้องคิดฝันหวานจะขายลูกสาวเกาะครอบครัวลูกเขยกินแล้วทีนี้ กลายเป็นม่ายขันหมากกลางอากาศไปแล้วบ้านตระกูลเฝิง โลภมากลาภหายน่ะรู้จักไหม
ไหหม่า(海馬)