แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 896 คุณยายเถียนจากไปแล้ว
ตอนที่ 896 คุณยายเถียนจากไปแล้ว
ลู่เวยกระวนกระวายมาเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ แต่เขาก็ไม่ได้รับโทรศัพท์หรือจดหมายจากบริษัทกุยตันเพื่อไล่เขาออก
เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอก โดยคิดว่าหลินม่ายยอมปล่อยเขาไป
หล่อนคงไม่ได้ส่งจดหมายอย่างเป็นทางการถึงบริษัทเพื่อพิสูจน์ว่าเขาไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับหล่อน และขอให้บริษัทไล่เขาออกหรอกกระมัง
แต่หลินม่ายไม่ได้ใจกว้างอย่างที่คิด
แม้ว่าเธอจะไม่ใจแคบเหมือนหญิงสาวทั่วไป แต่เธอก็ไม่ใช่คนใจกว้างอย่างแน่นอน
นอกจากนี้เธอยังไม่รู้จักลู่เวยมาก่อน ดังนั้นจะยอมทนให้เขาแอบอ้างเป็นเพื่อนของเธอต่อหน้าคนอื่นได้อย่างไร?
เธอจึงต้องการชี้แจง โดยส่งหนังสืออย่างเป็นทางการไป
แต่นั่นไม่ได้ทำให้บริษัทไล่ลู่เวยออก
เธอจะไม่ตอบโต้ใครในที่ทำงานเพราะเรื่องส่วนตัว นั่นคงจะเป็นนิสัยที่แย่เกินไป
แต่ลู่เวยไม่กล้าถามเจ้านายของเขา เขาจึงไม่รู้อะไร และคิดว่าเป็นหลินม่ายที่มีความเมตตา
เขารู้สึกโล่งใจและซาบซึ้งที่หลินม่ายปล่อยเขาไป จากนั้นจึงเชิญเธอมาร่วมงานแต่งงานระหว่างเขากับเฝิงเยว่จู๋
ประการแรกเพื่อแสดงไมตรีต่อกัน ประการที่สองเป็นผลให้พวกเขาสองคนเปลี่ยนจากคนไม่มีความเกี่ยวข้องใด ๆ ไปสู่การมีพื้นฐานร่วมกัน และในอนาคตก็อาจพัฒนาเป็นมิตรที่ดีได้
เขาได้บอกเจ้านายก่อนหน้านี้ว่าเขาและหลินม่ายเป็นเพื่อนที่ดีต่อกัน ดังนั้นมันจะไม่กลายเป็นคำโกหกเพื่อยกย่องตัวเอง
หลินม่ายได้รับบัตรเชิญ จึงเขียนประโยคหนึ่งลงไปว่า “ต่างสังคมไม่อาจยุ่งเกี่ยว” จากนั้นก็ขอให้เสิ่นเสี่ยวผิงส่งบัตรเชิญกลับไป
เมื่อมองประโยคตอบกลับในบัตรเชิญ ลู่เวยก็รู้ว่าเฝิงเยว่จู๋ทำให้หลินม่ายขุ่นเคืองไปถึงกระดูกดำแล้ว
แม้คนทั้งสองจะแต่งงานกันในอีกไม่กี่วัน เฝิงเยว่จู๋ก็ยังคงถูกเขาตำหนิเรื่อยมา
หากไม่ใช่เพราะเฝิงเยว่จู๋มีเงื่อนไขส่วนตัวที่ดีที่สุดและถึงพร้อมที่สุดในบรรดาผู้หญิงทุกคนที่นัดบอดด้วย เขาคงไม่มีทางเลือกหล่อน
เวลาล่วงเลยผ่านมาถึงเดือนกรกฎาคมอย่างสงบสุข และเป็นวันหยุดฤดูร้อน
สำนักงานใหญ่ในเมืองเจียงเฉิงบริหารจัดการได้ดีมาก หลินม่ายจึงไม่ต้องกังวลมากเกินไป
เธอไม่มีแผนที่จะกลับไปเมืองเจียงเฉิงในวันหยุดฤดูร้อนนี้ และต้องการใช้ช่วงเวลาในวันหยุดฤดูร้อนเพื่อสร้างอยู่อาศัยเชิงพาณิชย์อย่างเป็นทางการในเมืองหลวง แทนที่จะสร้างที่อยู่อาศัยของครอบครัวแบบสุ่มสี่สุ่มห้าเหมือนอย่างห้องชุดของรัฐ
ไม่ว่าการสร้างชุมชนครอบครัวด้วยเงินมากเพียงใด มันก็ไม่สามารถทำกำไรได้เท่ากับการสร้างบ้านเพื่อการพาณิชย์ และจะไม่ทำลายชื่อเสียงของว่านทงกรุ๊ป
หากต้องการทำให้ว่านทงกรุ๊ปขยายใหญ่ขึ้น เธอก็ยังต้องพึ่งพาการสร้างที่อยู่อาศัยเพื่อการพาณิชย์
เธอรับช่วงต่อโครงการพื้นที่ครอบครัวมา ซึ่งเป็นเพียงทดสอบกระแส
ผลตอบรับของกระแสเป็นไปได้ดี
ไม่ว่าจะเป็นญาติและเพื่อนของพนักงานธนาคารหรือพนักงานไปรษณีย์ต่างพากันอิจฉาตาร้อนเมื่อเห็นบ้านพักสวัสดิการ
เมื่อเธอเปิดตัวบ้านเชิงพาณิชย์ในเมืองหลวงในเวลานี้ แน่นอนว่าเธอไม่ต้องกลัวว่าจะไม่มีใครซื้อ
ทันทีที่วันหยุดฤดูร้อนสิ้นสุดลง ครอบครัวจะย้ายออกจากบ้านสไตล์ตะวันตกไปยังเรือนสี่ประสานในเขตซีเฉิง
การย้ายครั้งนี้ง่ายมาก เธอแค่ต้องนำเสื้อผ้าสำหรับฤดูร้อนไปเท่านั้น ไม่มีสิ่งอื่นใดอีก
อยู่เพื่อพักร้อนเท่านั้น แล้วจึงกลับไปที่บ้านสไตล์ตะวันตกอีกครั้ง
อาหวงมีความสุขที่สุดเมื่อมันได้กลับมายังเรือนสี่ประสาน
ในตึกสไตล์ตะวันตก อาหวงสามารถวิ่งเล่นได้อย่างอิสระภายในสวนหลังบ้านเท่านั้น และต้องใช้เชือกล่ามเมื่อออกไปข้างนอก
ซึ่งแตกต่างจากการอาศัยอยู่ในเรือนสี่ประสานมาก การอาศัยอยู่ในเรือนสี่ประสานทำให้อาหวงสามารถวิ่งจากลานด้านหน้าไปยังลานด้านหลังและย้อนกลับได้อีกครั้ง ทำให้มีพื้นที่กว้างขวางสำหรับกิจกรรมต่างๆ
คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางชอบอยู่ในเรือนสี่ประสานที่มีสวนขนาดใหญ่และมีผลไม้มากมาย
ลุงหยางผู้ดูแลบ้านมีความรับผิดชอบมาก เขาไม่เพียงดูแลบ้านอย่างดี แต่ยังดูแลดอกไม้และต้นไม้ในสวนอย่างดีด้วย
หลินม่ายให้รางวัลพิเศษแก่เขา 100 หยวน และบอกให้เขากลับบ้าน แล้วค่อยกลับมาทำงานเมื่อโรงเรียนเปิดในเดือนกันยายน
ลุงหยางรับโบนัสและกลับบ้านอย่างมีความสุข
หลังจากที่ครอบครัวเก็บของกลับเข้าที่แล้ว หลินม่ายพับแขนเสื้อขึ้นและเริ่มทำอาหารกลางวัน
เวลานี้อากาศร้อนมาก ปู่ฟางและย่าฟางรู้สึกหิวเล็กน้อย หลินม่ายกำลังจะทำตีนไก่มะนาวให้ทุกคนเพื่อเรียกน้ำย่อย
ตีนไก่มะนาวทั้งเผ็ดร้อนและเปรี้ยว ซึ่งโต้วโต้วชอบมันมาก
ขณะที่หลินม่ายกำลังทำตีนไก่มะนาว โต้วโต้วก็มายืนเกาะอยู่ข้างเตาดูเธอทำ น้ำลายที่มุมปากเด็กน้อยแทบไหลหยดลงพื้น
หลินม่ายเคาะหน้าผากหนูน้อยและพูดว่า “ดูสิลูกกินไปมากแค่ไหนแล้ว ตัวอ้วนจนจะเหมือนแตงโมอยู่แล้ว ลูกต้องควบคุมอาหารบ้างนะ”
โต้วโต้วแค่หัวเราะคิกคัก
ทันทีที่ตีนไก่มะนาวเสร็จเรียบร้อย ก็มีเสียงดังมาจากประตูลานบ้าน
ดูเหมือนจะเป็นเสียงชายหญิงกำลังโต้เถียงกัน โดยมีเสียงเห่าเสียงเอะอะของอาหวงและน้าถูผสมปนเปกัน
หลินม่ายขมวดคิ้ว ล้างมือใต้ก๊อกน้ำ แล้วเดินออกจากครัวไปดู
เมื่อออกไปก็เห็นว่าเป็นเหลยซิ่งภรรยาของทังอี้กำลังพยายามลากทังอี้มาที่เรือนสี่ประสาน แต่เนื่องจากอาหวงและน้าถูปิดกั้นประตูไม่ให้พวกเขาเข้ามา หล่อนจึงต้องโต้เถียงกับทังอี้ที่หน้าประตู
เสื้อผ้าของทั้งคู่ขาดรุ่งริ่ง ใบหน้ามีรอยฟกช้ำ สะบักสะบอมเป็นอย่างยิ่ง
เมื่อเห็นสิ่งนี้ หลินม่ายขมวดคิ้วยิ่งกว่าเดิม และพูดด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย “พวกคุณกำลังทำอะไร?”
เหลยซิ่งกำลังโกรธจัด จึงตะโกนใส่เธอว่า “ประธานหลิน ทังอี้กำลังมีชู้”
หลินม่ายตอบกลับด้วยความหงุดหงิด “เขากำลังมีชู้แล้วทำไมถึงมาบอกฉัน? ฉันไม่ใช่คณะกรรมการครอบครัวนะ”
ดวงตาของเหลยซิ่งเบิกกว้าง และสวนกลับไปว่า “แต่คุณเป็นหัวหน้าของเขานะคะ ทำไมคุณถึงไม่สนใจล่ะ?”
หลินม่ายพูดอย่างเย็นชาว่า “มีเพียงรัฐวิสาหกิจเท่านั้นที่จะกังวลเกี่ยวกับจรรยาบรรณในการทำงานของพนักงาน ฉันทำธุรกิจส่วนตัว และฉันไม่ใส่ใจกับเรื่องดังกล่าว”
เหลยซิ่งนั่งลงบนธรณีประตูของลานบ้าน “ถ้าคุณไม่สนใจ ฉันจะไม่ยอมไปจากที่นี่”
หลินม่ายสั่งทังอี้ด้วยเสียงเคร่งขรึม “พาภรรยาของคุณออกไป อย่ามายุ่งกับชีวิตของฉัน!”
ทังอี้หน้าแดงก่ำ เขาพูดขอโทษขอโพยหลายครั้ง และพยายามกระชากลากถูภรรยาของตัวเองออกไปอย่างแรง
อย่างไรก็ตามเหลยซิ่งมีรูปร่างค่อนข้างสูงใหญ่ ส่วนทังอี้นั้นผอมและเตี้ย เขาจึงไม่สามารถลากหล่อนออกไปได้
ถ้าเขาลากหล่อนออกไปได้ ตัวเขาเองก็คงไม่ถูกลากตัวมาถึงหน้าประตูบ้านของหลินม่ายแบบนี้
ในที่สุดทังอี้ไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากยอมแพ้ เขาปล่อยมือหล่อนและโพล่งออกด้วยความโกรธ “งั้นคุณก็อยู่ที่นี่ไป!”
ภายใต้สายตาที่จับตามองของเพื่อนบ้านจำนวนมากที่เฝ้าดูความตื่นเต้น เขาเดินจากไปอย่างรวดเร็วด้วยความลำบากใจ
เมื่อเหลยซิ่งเห็นเช่นนี้ หล่อนก็วิ่งหนีไปเช่นกัน
ขณะที่วิ่งตาม หล่อนก็ด่าทอทังอี้ไล่หลังว่าไร้ยางอาย มีลูกแล้วก็ยังนอกใจไปหาผู้หญิงข้างนอกอีก
และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งล้วนเป็นถ้อยคำแสนหยาบคาย
เช้าวันรุ่งขึ้น หลินม่ายไปยังตลาดสดฝูตัวตัวเพื่อซื้อผัก ก่อนจะบังเอิญเจอทังอี้ที่กำลังตรวจความเรียบร้อยของตลาด
แม้ว่าเขาจะสวมแว่นกันแดด แต่ก็ไม่สามารถปกปิดรอยแผลฟกช้ำบนใบหน้าได้
เมื่อทังอี้เห็นหลินม่าย เขาก็กล่าวทักทายเธอด้วยความลำบากใจ
หลินม่ายตอบอย่างสบาย ๆ และไม่รีบซื้อของชำ เธอเรียกเขาไปที่มุมอาคารและเอ่ยวิจารณ์เขา
ไม่ว่าเขาจะมีชีวิตที่ดีกับภรรยาคนปัจจุบันของคุณหรือหย่าร้าง ก็อย่าคิดว่าจะละจากธงแดงที่ยังอยู่บ้านเพื่อไปหาธงหลากสีด้านนอกที่กำลังโบกสะบัด*ได้
(*家里红旗不倒,外面彩旗飘飘 เป็นสำนวน หมายถึงการเห็นภรรยาเป็นของตายเพื่อแสวงหาความตื่นเต้นข้างนอก)
ทังอี้หน้าแดงและปกป้องตัวเอง “ประธานหลินครับ ผมไม่มีทางเลือกอื่น ลูกชายของผม-”
หลินม่ายขัดจังหวะ “ไม่สำคัญว่าจะด้วยเหตุผลอะไร ถ้าคุณไม่อยากอยู่กับหล่อนแบบสามีภรรยาก็แค่หย่าร้างกันไป กฎหมายไม่ได้กำหนดว่าแต่งงานแล้วต้องอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตนี่ แต่การมีความสัมพันธ์นอกสมรสโดยที่ยังไม่หย่าร้างถือเป็นเรื่องผิดศีลธรรมเต็มๆ นะ!”
ทังอี้พึมพำคำเบา “งั้น… ผมจะคุยกับภรรยาเรื่องการหย่า~”
“หนอย! ฉันถึงว่าสิว่าทำไมไอ้ขยะแซ่ทังถึงเล่นชู้อยู่ข้างนอกอย่างไร้ยางอาย กลับกลายเป็นว่าเธอสนับสนุนเขานี่เอง ฉันจะตีพวกแกทั้งคู่ให้ตายไปเลย!”
เหลยซิ่งไม่สามารถยอมรับเรื่องการนอกใจของทังอี้ได้ หล่อนจึงไล่ตามเขาตั้งแต่ที่บ้านมาถึงตลาดผักเพื่อระบายความโกรธแค้นต่อเขา
เมื่อมายังตลาดผักแล้วไม่เห็นทังอี้ จึงได้ถามไถ่พนักงานคนอื่น
พนักงานไม่รู้เรื่องที่เกิดขึ้นระหว่างสามีภรรยา จึงชี้นิ้วบอกเหลยซิ่งว่า ประธานหลินกำลังคุยกับทังอี้ที่มุมนั้น
เหลยซิ่งเดินไปทางนั้นอย่างเงียบงัน เพื่อต้องการฟังว่าหลินม่ายและทังอี้พูดอะไรกัน
และไม่คาดคิดว่าทังอี้คิดจะหย่าร้างหลังจากฟังคำของหลินม่าย
เหลยซิ่งโกรธมาก ตำหนิหลินม่ายสำหรับทุกสิ่งอย่าง โดยคิดว่าหลินม่ายกำลังยุยงให้ทังอี้หย่ากับหล่อน
หลินม่ายได้เรียนรู้ศิลปะการต่อสู้จากอาจารย์ที่มีชื่อเสียงเป็นเวลาหลายเดือนกระทั่งผู้ชายอกสามศอกยังไม่กลัว แล้วนับประสาอะไรกับเหลยซิ่งที่เป็นผู้หญิงธรรมดา!
เมื่ออีกฝ่ายยื่นมือข้ามไหล่มา เธอก็จับเหลยซิ่งโยนทุ่มลงพื้นและพูดกับหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัยที่ตามเข้ามาว่า “จัดการเรื่องนี้ซะ”
จากนั้นเธอเหลือบมองทังอี้เล็กน้อย ก่อนเดินออกไปเลือกซื้ออาหารต่อ
หลังจากซื้ออาหารและเดินทางกลับบ้าน คุณย่าฟางได้บอกข่าวเศร้ากับเธอว่า คุณยายเถียนเสียชีวิตเนื่องจากอาการป่วยกะทันหัน และโจวฉายอวิ๋นเพิ่งโทรมารายงานเรื่องงานศพ
แม้ว่าคุณยายเถียนจะมีญาติพี่น้องหลายคน แต่พวกเขาไม่ค่อยได้ติดต่อกันมากนัก
หลินม่ายจำเป็นต้องกลับไปจัดการงานศพของคุณยายเถียน
แผนการสร้างที่อยู่อาศัยเชิงพาณิชย์ในเมืองหลวงจึงถูกเลื่อนออกไปก่อน
หลินม่ายวางแผนที่จะบินไปเมืองเจียงเฉิงหลังอาหารกลางวัน
ขณะนี้เป็นฤดูร้อน และต้องจัดงานศพให้เร็วที่สุด
คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางเกรงว่าเธอยังเด็กเกินไปและไม่สามารถจัดการงานศพได้ดี ดังนั้นพวกเขาจึงอยากติดตามไปเมืองเจียงเฉิงเพื่อสามารถให้คำแนะนำกับเธอได้ตลอดเวลา
แต่หากผู้อาวุโสทั้งสองต้องการติดตามไปด้วย ก็ไม่สามารถทิ้งเด็กน้อยทั้งสองไว้ที่นี่
ในท้ายที่สุด ยกเว้นฟางจั๋วหรานที่ไม่สามารถทิ้งงานได้ และน้าถูที่ต้องดูแลชีวิตประจำวันของเขา ทุกคนที่เหลือต่างติดตามหลินม่ายไปยังเมืองเจียงเฉิง
เมื่อพวกเขามาถึงเมืองเจียงเฉิงและกลับเข้าที่พักแล้ว หลินม่ายติดต่อหาโจวฉายอวิ๋นและนั่งแท็กซี่ไปยังสถานที่จัดงานศพเพื่อพบกับคุณยายเถียนเป็นครั้งสุดท้าย
ระหว่างทาง หลินม่ายถามโจวฉายอวิ๋นถึงสาเหตุการเสียชีวิตของคุณยายเถียน
“หัวใจล้มเหลวน่ะ” โจวฉายอวิ๋นตอบ “เช้าวันนี้คุณยายเถียนทำบะหมี่ให้หลายชายกิน ขณะที่กำลังล้างจาน ท่านบ่นว่าเจ็บหน้าอก เสี่ยวเหวินตั้งสติได้ดีมาก เขาพาคุณย่านอนลงบนโซฟา และไปล้างจานแทนท่าน เมื่อเขาล้างจานเสร็จ เขาเดินออกมาถามคุณยายว่าอาการดีขึ้นหรือไม่ แต่กลับพบว่าคุณยายจากไปแล้ว”
หลินม่ายจินตนาการถึงอาการที่ทำอะไรไม่ถูกและหวาดกลัวของเสี่ยวเหวินในเวลานั้นได้ เธอรู้สึกสงสารเขาอย่างยิ่ง
ทั้งสองมาถึงสถานที่จัดงานศพในไม่ช้า
ไม่มีญาติตระกูลเถียนคนอื่น มีเพียงเจิ้งซวี่ตงและหลี่หมิงเฉิงที่นั่งกับเสี่ยวเหวินอยู่ด้านหน้าโลงศพคุณยายเถียน
เจิ้งซวี่ตงและหลี่หมิงเฉิงกำลังนั่งก้มหน้า ขณะที่เสี่ยวเหวินกำลังคุกเข่าร้องไห้ ทว่าไม่มีเสียงเล็ดลอดออกมา
หลินม่ายเกิดความสงสาร เดินไปนั่งคุกเข่าลงด้านข้างและถามว่า “กินข้าวหรือยัง?”
“ผมไม่หิว” เด็กน้อยปาดน้ำตาพลางตอบกลับละล่ำละลัก
หลี่หมิงเฉิงกำลังด้านข้างพูดขึ้น “จะไม่หิวได้อย่างไร ตั้งแต่ที่คุณยายจากไป เธอก็ไม่แตะต้องแม้แต่ข้าวเม็ดเดียวมาจนถึงตอนนี้”
เสี่ยวเหวินตอบคำเบา “ผมไม่หิวจริงๆ”
หลินม่ายลดเสียงลง “เพื่อมาร่วมงานศพของคุณยาย ฉันรีบมาที่นี่ทันทีที่ได้รับโทรศัพท์ในเมืองหลวง และยังไม่ได้กินอาหารเย็นเลย ตอนนี้ฉันหิวมาก เธอช่วยไปเพื่อนฉันกินบะหมี่เนื้อสักชามได้ไหม?”
เสี่ยวเหวินจำได้ว่าตอนที่คุณยายมีชีวิตอยู่ นางสอนเขาเสมอว่าอาหลินมีบุญคุณต่อครอบครัวของเขามาก
ถ้ามีโอกาสชดใช้ในอนาคต เขาต้องตอบแทนอาหลินให้ได้
ตอนนี้อาหลินม่ายแค่ขอให้เขากินบะหมี่เนื้อกับหล่อนหนึ่งชาม และเขาก็ไม่ควรปฏิเสธ
เขาลังเลอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้าเห็นด้วย
ผู้ใหญ่ทุกคนต่างก็ดีใจที่เห็นแบบนั้น
หลี่หมิงเฉิงลุกขึ้นทันทีและพูดอย่างกระตือรือร้นว่า “ผมจะไปซื้อบะหมี่สองถ้วยมาให้เอง”
โจวฉายอวิ๋นรีบเตือนเขา “ต้องเป็นบะหมี่เนื้อนะ!”
หลังจากนั้นไม่นาน หลี่หมิงเฉิงกลับมาพร้อมกับบะหมี่น้ำใส่เนื้อตุ๋นสองชาม ซึ่งสำหรับหลินม่ายและเสี่ยวเหวินคนละชาม
ท้ายที่สุดเสี่ยวเหวินยังคงเป็นเด็ก จู่ ๆ คุณยายก็มาด่วนจากไป เขาจึงเสียใจมากจนแทบไม่ได้คิดถึงเรื่องกินและดื่ม
แต่เมื่อบะหมี่เนื้อหอมกรุ่นถูกวางตรงหน้า เขาอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย
หลังจากกินบะหมี่น้ำใส่เนื้อร้อน ๆ ชามหนึ่ง แม้ว่าเสี่ยวเหวินยังคงโศกเศร้ามาก แต่อารมณ์ของเขาก็ดีขึ้นกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด
ทุกคนถอนหายใจด้วยความโล่งอก
เสี่ยวเหวินนอนไม่หลับ หลินม่ายและคนอื่น ๆ จึงยังไม่เข้านอนและคอยอยู่เป็นเพื่อนเด็กชาย
……………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ได้แต่งงานไปแล้วก็ดี อย่ามายุ่งกับบ้านหลินม่ายอีกล่ะยัยต้นไผ่กลางแสงจันทร์
เมื่อไหร่ยัยป้าประสาทคนนี้จะคิดได้หนอว่าทำไมสามีถึงไม่อยากอยู่ด้วย แถมมาระรานเจ้านายสามีอีก ก็โดนจับทุ่มหลังเดี้ยงไปสิคะ
สงสารเด็กน้อย ยายเพียงคนเดียวจู่ๆ จากไปแบบนี้ แถมไม่มีญาติคนไหนมาช่วยงานด้วย
ไหหม่า(海馬)