แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 897 ญาติของเสี่ยวเหวิน
ตอนที่ 897 ญาติของเสี่ยวเหวิน
แม้เสี่ยวเหวินจะมีอายุเพียงสิบขวบ แต่ด้วยเพราะมาจากครอบครัวที่ยากจน เขาจึงเติบโตอย่างรวดเร็วและมีความรับผิดชอบสูงกว่าช่วงวัย
เมื่อเห็นหลินม่ายและคนอื่น ๆ ต่างก็นอนดึก เขาจึงเอ่ยคำเบา “คุณลุง คุณอา หาที่นอนได้แล้วครับ ผมจะคอยดูคุณยายเองครับ”
หลินม่ายตบไหล่เขาแผ่วเบา “พวกเรายังไม่ง่วงน่ะ”
เสี่ยวเหวินหยุดพูด ก้มหน้าลงและยังคงคุกเข่าต่อหน้าโลงศพของคุณยาย
หลินม่ายและผู้ใหญ่คนอื่น ๆ ปรึกษากันว่าจะทำอย่างไรกับงานศพของคุณยายเถียน
แม้จะมีเสี่ยวเหวินจะอยู่ข้าง ๆ แต่มันก็ไม่สำคัญนักว่าเขาจะได้ยินเรื่องนี้หรือไม่
เขามีสิทธิ์ที่จะรู้ว่าต้องทำอย่างไรเกี่ยวกับงานศพของคุณยาย
หลินม่ายถามเจิ้งซวี่ตงและคนอื่น ๆ ว่าพวกเขาวางแผนที่จะฝังศพคุณยายเถียนไว้ที่ไหน
เจิ้งซวี่ตงพยักพเยิดไปทางเด็กหนุ่มด้วยสายตา “เราได้ปรึกษากับเสี่ยวเหวินแล้ว เขาบอกว่าคุณยายเคยพูดตั้งแต่ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ หากท่านจากไปในวันหนึ่ง ขอให้เขาฝังท่านไว้ในหลุมฝังศพของบรรพบุรุษ แม้ว่าในเมืองจะสะดวกสบายแค่ไหน ท่านก็ยังชอบชนบท และยากที่จะแยกจากบ้านเกิดเมืองนอนของตัวเอง”
หลินม่ายพยักหน้ารับ “พรุ่งนี้ตอนเช้าตรู่ คุณส่งคนไปยังชนบทเพื่อขอพบกับหัวหน้าหมู่บ้านและทำเรื่องขออนุมัติสุสาน”
เจิ้งซวี่ตงกล่าว “ทันทีที่คุณยายเถียนจากไป ผมก็ได้จัดการเรื่องนี้แล้ว”
หลินม่ายพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ
หลี่หมิงเฉิงพึมพำแผ่วเบา “คุณยายเถียนบอกเสี่ยวเหวินเกี่ยวกับงานศพไว้แล้ว ท่านคงรู้ตัวว่าคงอยู่ได้อีกไม่นาน”
เมื่อเสี่ยวเหวินที่อยู่ด้านข้างได้รับฟังถ้อยคำดังกล่าว น้ำตาสองสายจึงไหลรินออกมาอีกครั้ง
เขาพูดทั้งน้ำตา “คุณยายมีอาการเจ็บหน้าอกเป็นครั้งคราวตั้งแต่ปีที่แล้ว”
หลินม่ายบ่นออกมา “เจ้าเด็กโง่ ทำไมถึงไม่บอกฉันล่ะ?”
เธอพาคุณยายเถียนและครอบครัวมาอาศัยอยู่ในเมือง จัดหาสิ่งจำเป็นพื้นฐานในการใช้ชีวิต และจัดการเรื่องโรงเรียนของเสี่ยวเหวิน จากนั้นขอให้โจวฉายอวิ๋นคอยดูแลพวกเขา แต่ใช่ว่าเธอจะไม่สนใจเลย
เธอติดตั้งโทรศัพท์ในบ้านของคุณยายเถียน คอยโทรหาเพื่อถามสารทุกข์สุกดิบของคุณยายเกือบทุกเดือน
และตราบใดที่เธอได้กลับมาอยู่ในเมืองเจียงเฉิงเป็นเวลานาน เธอมักซื้อของขวัญกลับมาเยี่ยมเยียนพวกเขาอีกด้วย
แต่เสี่ยวเหวินไม่เคยบอกเธอเลยสักครั้งว่าคุณยายของเขามีอาการเจ็บหน้าอก
ถ้าหากเธอรู้ เธอคงขอให้โจวฉายอวิ๋นพาคุณยายเถียนไปตรวจที่โรงพยาบาล บางทีคุณยายเถียนอาจมีชีวิตอยู่ต่อได้อีกสักสองปี
เสี่ยวเหวินก้มศีรษะลงอย่างตำหนิตนเอง
หลินม่ายหยุดพูดเล็กน้อย ก่อนพูดต่อว่า “ฉันอาศัยอยู่ห่างไกล เธอไม่สะดวกจะบอกเรื่องนี้กับฉันก็บอกกับน้าโจวได้นี่ ทำไมถึงไม่บอกหล่อนไปล่ะ?”
เสี่ยวเหวินน้ำตาไหลไม่หยุด “ผมอยากบอกเรื่องนี้เหมือนกัน แต่คุณยายบอกว่ามันจะสร้างปัญหาให้คุณอาหลินมากเกินไป ดังนั้นคุณยายจึงห้ามผมไม่ให้บอกใคร นอกจากนี้ทุกครั้งที่คุณยายเจ็บหน้าอกก็นานสุดแค่ 15 นาที ผมคิดว่ามันไม่ได้ร้ายแรง เลยไม่ได้บอกใคร ไม่คิดเลยว่าคุณยายจะ…”
หลินม่ายอดไม่ได้ที่จะเสียใจหลังเผลอพลั้งปากตำหนิเด็กน้อยอย่างรุนแรงเมื่อครู่
คนที่ไม่อยากให้คุณยายเถียนตายมากที่สุดก็คือเสี่ยวเหวิน แต่เธอกลับยังตำหนิเขาอย่างรุนแรง
เขาเป็นเพียงเด็กอายุสิบขวบ แล้วจะทราบถึงความรุนแรงของอาการเจ็บหน้าอกได้อย่างไร
หลินม่ายโอบกอดเสี่ยวเหวินอย่างรู้สึกผิด “คุณยายจากไปแล้ว อย่าโทษตัวเองเลยนะ”
เสี่ยวเหวินพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
มันคงเร็วเกินไปที่หลินม่าย เจิ้งซวี่ตง และคนอื่น ๆ จะคุยเรื่องการจัดการงานศพของคุณยายเถียน
แม้ว่าคุณยายเถียนจะจากไปแล้ว แต่พวกเขาต่างก็โศกเศร้าเช่นกัน
แต่ระดับความเศร้าของพวกเขายังน้อยกว่าเสี่ยวเหวินที่แทบกินไม่ได้นอนไม่หลับ
หลังจากอยู่ถึงเที่ยงคืน ทุกคนก็หลับไป
หลังจากหลับไปได้ไม่นาน หลินม่ายได้ยินเสียงฝีเท้าและเสียงเอะอะวุ่นวาย
เธอสาปแช่งในใจ ทำไมมันถึงเช้าเร็วขนาดนี้?
เธอรู้สึกราวกับว่าตัวเองยังแทบไม่ได้นอนหลับพักผ่อนเลยสักชั่วโมง
เมื่อลืมตาขึ้น เธอเห็นผู้คนจากชนบทกลุ่มใหญ่ยืนอยู่ข้างหน้าเธอ ทุกคนกำลังจ้องมองมาที่เธอ ราวกับว่าเธอได้สร้างความอาฆาตแค้นกับพวกเขา
เธอเหลือบมองนาฬิกาแขวนขนาดใหญ่ในห้องโถง ซึ่งเป็นเวลาตี 2 เท่านั้น
คนเหล่านี้มาจากชนบทในชั่วข้ามคืนอย่างนั้นหรือ?
ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังมองหาเธอ
คนเหล่านี้ต้องการหาเธอไปเพื่ออะไร?
หลินม่ายถามซ้ำ ๆ ในใจ
เจิ้งซวี่ตงและคนอื่น ๆ ล้วนตื่นขึ้นมาจากเสียงรบกวน
เมื่อเห็นว่ากลุ่มคนจากชนบทดูไม่เป็นมิตร เจิ้งซวี่ตงก็รีบดึงหลี่หมิงเฉิงออกมายืนขวางด้านหน้าหลินม่าย ก่อนถามออกอย่างเย็นชาว่า “พวกคุณเป็นใคร? และต้องการอะไร?”
ชายหน้าเหลี่ยมอายุราวสี่สิบถึงห้าสิบปีตอบกลับ “เราเป็นญาติของเสี่ยวเหวิน และเรามาที่นี่เพื่อจัดการงานศพให้กับคุณยายของเขา”
หลินม่ายหันไปหาเสี่ยวเหวินและถามว่า “พวกเขาเป็นญาติของเธอเหรอ?”
เสี่ยวเหวินมองไปทางกลุ่มคนและพยักหน้ารับ “ใช่ครับ แต่ตอนที่คุณยายยังมีชีวิตอยู่ เราไม่ได้ติดต่อกับพวกเขาเลย”
ชายรูปหน้าเหลี่ยมมีท่าทางลำบากใจเล็กน้อย และพูดกับเสี่ยวเหวินว่า “เธอเขียนคำสองคำด้วยขีดเดียวไม่ได้หรอก เหตุที่ครอบครัวของเราไม่ได้ค่อยมีปฏิสัมพันธ์กันมากนัก นั่นเป็นเพราะไม่ได้มีเรื่องสำคัญเกิดขึ้นในครอบครัวของเธอยังไงล่ะ ถ้ามีเหตุการณ์ใหญ่เกิดขึ้น คนแซ่เดียวกันอย่างเราย่อมต้องช่วยเหลือกัน และไม่ควรไว้ใจคนนอก”
เขาพูดเช่นนี้พลางหันมองไปที่หลินม่ายราวกับบอกเป็นความนัย
หลินม่ายพยักหน้า “คุณลุงพูดมีเหตุผล งั้นฉันจะทิ้งเรื่องงานศพคุณย่าของเสี่ยวเหวินให้พวกคุณจัดการแล้วกัน”
เธอโค้งคำนับอย่างเคร่งขรึม “เช่นนั้นเราขอตัวกลับก่อน แล้วจะส่งพวงหรีดมาแสดงความเสียใจในตอนกลางวันค่ะ”
สิ้นเสียง โดยไม่สนใจสายตาร้อนรนของเสี่ยวเหวิน เธอพาทุกคนเดินจากไปพร้อมกัน
ชายหน้าเหลี่ยมและญาติคนอื่นรีบเข้ามาหยุดพวกหลินม่าย
เขาพูดกับหลินม่ายด้วยรอยยิ้ม “คุณจะไปก็ได้ แต่คุณต้องให้เงินเราสำหรับจัดงานศพคุณยายเถียน”
หลินม่ายเบิกตากว้างด้วยความตกใจ “ทำไมถึงมาขอเงินค่าจัดงานศพคุณยายเถียนจากฉันล่ะคะ? ฉันดูเหมือนตู้กดเงินสดหรืออย่างไร?”
ชายหน้าเหลี่ยมพูดอย่างมั่นใจ “เพราะคุณเป็นคนดูแลเงินของครอบครัวเสี่ยวเหวินไม่ใช่หรือไง ถ้าไม่ขอจากคุณ แล้วจะให้เราไปขอจากใคร?”
ญาติแซ่เถียนคนอื่นพูดเป็นเสียงเดียวกัน “ใช่แล้ว เราต้องมาขอเงินคุณสำหรับจัดงานศพสิ ที่คุณไม่ยอมให้ แสดงว่าคุณคิดจะยักยอกเงินของเสี่ยวเหวินใช่ไหม?”
หลี่หมิงเฉิงโต้กลับ “ม่ายจื่อของเราร่ำรวยมาก แทบไม่ต้องพูดถึงคุณยายเถียนที่ไม่มีเงินเก็บเลย ต่อให้คุณยายเถียนร่ำรวย ม่ายจื่อของเราก็ไม่มีทางเอาเงินของคุณยายเถียนมาใช่ส่วนตัวหรอก!”
หญิงสาวแซ่เถียนเลิกคิ้วกล่าว “ก็ไม่แน่เสมอไปนี่ บางคนยิ่งมีเงินก็ยิ่งโลภมาก”
หลินม่ายแทบแค่นหัวเราะออกมาด้วยความโกรธ “คุณยายเถียนและครอบครัวของท่านไม่มีแม้แต่รายได้ ดังนั้นฉันจึงเลี้ยงดูพวกเขา หาอาหารให้พวกเขา และยังมอบการศึกษาให้เสี่ยวเหวิน แล้วคุณยายเถียนจะมีเงินให้ฉันได้อย่างไร? ฉันไม่ได้ขอให้ตระกูลเถียนคืนเงินที่ฉันมอบให้พวกเขาไปด้วยซ้ำ แต่พวกคุณกลับมาขอเงินฉันแบบนี้ คุณคลั่งไคล้อยากได้เงินทองขนาดนั้นเลยหรือไง?”
หญิงสาวแซ่เถียนเท้าเอวและเชิดคางขึ้น “ที่คุณยายของเสี่ยวเหวินไม่มีรายได้ ก็เพราะเธอขโมยซอสพริกและสูตรลับในการทำผักดองของท่านไป เช่นนั้นเธอก็ควรจ่ายค่างานศพไม่ใช่เหรอ?”
“ใช่แล้ว ไม่เพียงต้องช่วยเหลือค่าใช้จ่ายของงานศพ แต่คุณยังต้องให้เงิน 50,000 หยวน สำหรับซอสพริกและสูตรลับผักดองที่เอาไปด้วย! คุณจะขโมยสูตรการทำซอสพริกและผักดองของคุณย่าเสี่ยวเหวินไปเฉย ๆ แบบนั้นไม่ได้!”
หลินม่ายเข้าใจดีว่ากลุ่มญาติแซ่เถียนพวกนี้มีจุดประสงค์มาเพื่อขอเงินเธอ พวกเขาจึงรีบเร่งเดินทางมาถึงในชั่วข้ามคืน
เจิ้งซวี่ตงและหลี่หมิงเฉิงมองไปทางหลินม่ายด้วยสีหน้าเคร่งขรึม
หากพวกอันธพาลแซ่เถียนใช้ข้ออ้างนี้เพื่อขอเงินหลินม่าย พวกเขาอาจจะบรรลุเป้าหมายที่ต้องการได้
โจวฉายอวิ๋นยังคงรักษาท่าทางสุขุม
คนอื่นอาจไม่รู้ แต่หล่อนนั้นรู้ดี
ก่อนหน้านี้หลินม่ายได้ควักเงินซื้อสูตรลับในการทำซอสพริก ผักดอง และกะปิจากคุณยายเถียน
หลินม่ายให้บ้านสองหลังในเมืองเจียงเฉิงและบ้านในชนบทแก่คุณยายเถียน ซึ่งเป็นเงินที่เธอจ่ายให้คุณยายเถียนสำหรับสูตรลับต่าง ๆ
พวกขี้โกงเหล่านี้เพียงต้องการเงิน หากหลินม่ายทำการยกเลิกสัญญาเมื่อใด พวกเขาจะต้องตกตะลึง!
ด้วยคำพูดและหลักฐานที่มี หล่อนไม่กลัวพวกตัวตลกกลุ่มนี้ที่มีแรงจูงใจจากเงินหรอก
โจวฉายอวิ๋นหยุดคิดกับตัวเอง โชคดีที่กะปิเป็นสูตรลับเฉพาะและไม่มีขายทั่วไป
พวกอันธพาลแซ่เถียนจึงไม่รู้ว่าตนมีสูตรลับกะปิด้วย ไม่เช่นนั้นพวกเขาอาจขอเพิ่ม
ต่อให้พวกเขาไม่ขอเงินสักหยวน แต่คนพวกนี้ก็ยังน่ารำคาญมาก เหมือนกับหมาบ้าที่เห่าไปทั่ว
สิ่งที่โจวฉายอวิ๋นไม่รู้คือ หลินม่ายไม่เพียงเซ็นสัญญากับคุณยายเถียนเพื่อซื้อสูตรลับในการทำซอสพริก กะปิ และผักดองเท่านั้น
ต่อมาคุณยายเถียนและหลานชายถูกหลินม่ายพาตัวมาอาศัยอยู่ในเมือง เพื่อป้องกันไม่ให้หลินม่ายถูกญาติอันธพาลของคุณยายเถียนรังควานต่อเนื่องไม่หยุด
ภายใต้พยานในชั้นศาล ทั้งสองได้ลงนามในสัญญาอีกฉบับหนึ่ง
เนื้อหาในสัญญาคือ เนื่องจากหลินม่ายรักษาหลานชายที่เป็นโรคปอดบวม คุณยายเถียนจึงมอบสูตรลับในการทำกะปิ ซอสพริก และผักดองให้กับหลินม่ายโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย เพื่อเป็นการตอบแทนบุญคุณ
ดังนั้นหลินม่ายจึงยังคงท่าทางสงบไว้ได้เมื่อเผชิญหน้ากับกลุ่มอันธพาลแซ่เถียน
เธอตั้งใจยุยงกลุ่มคนแซ่เถียน “ถ้าอย่างนั้นทำไมพวกคุณไม่ไปแจ้งความที่สถานีตำรวจล่ะ? ถ้าตำรวจตัดสินว่าฉันต้องจ่ายเงินจำนวนหนึ่ง ฉันจะจ่ายเงินจำนวนนั้น”
เธอชี้นิ้วออกไปข้างหน้าและพูดต่อว่า “แต่ฉันจะไม่ให้เงินนี้กับพวกคุณ ถ้าจะต้องจ่าย ฉันจะให้มันกับเสี่ยวเหวิน”
เสี่ยวเหวินพูดขึ้นทันใด “คุณอาครับ ผมไม่ต้องการมัน! คุณอาช่วยชีวิตผม ให้การศึกษากับผม เลี้ยงดูและมอบเสื้อผ้าแก่พวกเรา แล้วยังให้บ้านเราถึงสามหลัง คุณอาไม่ได้เป็นหนี้อะไรเราเลย ทำไมต้องจ่ายให้เราด้วย?”
“หุบปาก!” ชายหน้าเหลี่ยมตะคอกใส่เสี่ยวเหวินอย่างดุเดือด
เมื่อเห็นหลินม่ายและคนอื่น ๆ จ้องมองมาที่เขาด้วยสีหน้าเย็นชา เขาปรับเสียงให้อ่อนลงและพูดว่า “เสี่ยวเหวิน เธอจะไปรู้อะไร เรากำลังทำสิ่งนี้ก็เพื่อประโยชน์ของเธอเองนะ”
เสี่ยวเหวินพูดด้วยสีหน้าเคร่งขรึม “ผมไม่ได้ต้องการให้พวกคุณลุงมาทำดีด้วย!”
สีหน้าของชายหน้าเหลี่ยมหมองหม่นลงทันใด เขามองเสี่ยวเหวินด้วยดวงตาแข็งกร้าว ราวกับบอกให้เด็กหนุ่มไม่ต้องเข้ามายุ่ง
เขาหันกลับมามองหลินม่ายด้วยสายตาอาฆาต “คุณบอกให้เราโทรหาตำรวจ งั้นก็รอรับผลที่ตามมาได้เลย!”
หลินม่ายโบกมือ “เอาล่ะ เลิกพูดเรื่องไร้สาระได้แล้ว ถ้าอยากโทรหาตำรวจก็รีบโทรสิ! หรือว่าใหญ่แต่ตัว แต่ต้องคอยให้แม่ทำให้ทุกอย่าง”
ชายหน้าเหลี่ยมตอบกลับอย่างเกรี้ยวกราด “ไม่ต้องห่วง เราจะแจ้งตำรวจแน่ ไม่จำเป็นต้องให้แกมาเตือน!”
เขาหันไปหาเสี่ยวเหวินและพูดว่า “เอากุญแจบ้านของแกมาให้เรา เราจะได้บ้านของแกและนอนค้างคืนที่นั่น”
เสี่ยวเหวินส่ายหัว “ไม่ พวกคุณลุงเป็นคนเลว แล้วยังต้องการทำร้ายคุณอาหลิน ผมไม่ให้คุณลุงอยู่ในบ้านนั้นหรอก”
ญาติคนอื่น ๆ ช่วยพูดเพื่อขอกุญแจบ้าน แต่ไม่ว่าพวกเขาจะพูดอย่างไร เสี่ยวเหวินก็ปฏิเสธที่จะมอบกุญแจให้
สุดท้ายคนกลุ่มนั้นก็ต้องจากไปพร้อมกับสบถด่าทอมากมาย
เจิ้งซวี่ตงถามด้วยความกระวนกระวาย “ประธานหลิน เราควรทำอย่างไรดีครับ?”
เสี่ยวเหวินเองก็มองไปทางหลินม่ายด้วยความเป็นห่วง
หลินม่ายพูดอย่างใจเย็น “ฉันมีทางแก้ไข พวกคุณไม่ต้องเป็นห่วงหรอก”
เธอยืมใช้โทรศัพท์ของสถานที่จัดงานศพโทรหาเสิ่นเสี่ยวผิงที่อยู่ห่างไกลในเมืองหลวง
บอกให้อีกฝ่ายไปยังบ้านของหลินม่ายในเมืองหลวงในเช้าวันรุ่งขึ้น ถามฟางจั๋วหรานเกี่ยวกับสัญญาข้อตกลงของคุณยายเถียน จากนั้นบินมาที่เมืองเจียงเฉิงโดยเร็วที่สุด เพราะเธอต้องการสัญญาฉบับนั้นอย่างเร่งด่วน
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
มีญาติแบบนี้ไม่มีจะดีกว่ามั้ง มาถึงก็มาขอเงินเลย
ไหหม่า(海馬)