แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 900 ยังกล้าที่จะกลับมา
ฃตอนที่ 900 ยังกล้าที่จะกลับมา
ก่อนรุ่งสางของวันรุ่งขึ้น หลินม่ายไปซื้อเนื้อไก่ที่ตลาดสดฝูตัวตัว
ในขณะที่ยังคงอยู่ในเมืองเจียงเฉิง เธอนึกอยากทำอาหารให้ฟางจั๋วเยวี่ย เพราะเขาซูบผอมเกินไป
เธอขี่จักรยานไปที่ตลาดสดฝูตัวตัว และตรงไปที่ตู้แช่ขายไก่ลายขาว
ไก่ในยุคนี้ไม่ได้ถูกเร่งขุนด้วยฮอร์โมน ไก่ขาวทุกตัวในตู้เย็นมาจากการเลี้ยงแบบธรรมชาติโดยไม่ใช้ฮอร์โมนป้อน ทำให้ยากจะบอกได้ว่าเป็นแม่ไก่แก่หรือไก่สาว
หลินม่ายเหลียวซ้ายแลขวา แล้วก็เห็นไก่ที่ต้องการ ขณะที่เอื้อมมือไปหยิบหัวไก่ กลับไม่คาดคิดว่าจะมีอีกคนจับตีนไก่อยู่
หลินม่ายมองคนที่กำลังจะแย่งเธอซื้อไก่อย่างหมดความอดทน ก่อนที่สีหน้าของเธอจะแปรเปลี่ยนเป็นประหลาดใจทันที “ผู้อำนวยการหลิว มาตลาดเพื่อซื้อไก่ตั้งแต่เช้าเลยหรือคะ?”
คนที่กำลังแย่งซื้อไก่ของเธอก็คือผู้อำนวยการหลิว อดีตผู้อำนวยการก่อสร้างเมืองของถนนเจียงฮั่น
มันเป็นโครงการแรกของรัฐบาลที่หลินม่ายได้รับมาจากหลิวเสวี่ยซึ่งเป็นลูกสาวผู้อำนวยการหลิว
อย่างไรก็ตามผู้อำนวยการหลิวไม่ได้ทำงานในถนนเจียงฮั่นอีกต่อไป เขาได้รับการเลื่อนตำแหน่งเป็นแผนกก่อสร้างเมืองของเมือง แต่เขายังคงเป็นคนเดียวกับผู้อำนวยการหลิวที่หลินม่ายเรียกขาน
ผู้อำนวยการหลิวยังจดจำหลินม่ายได้และอธิบายอย่างมีความสุขว่า “เสวี่ยเอ๋อร์ของผมกำลังตั้งท้อง ผมเลยอยากซื้อไก่ไปทำซุปให้หล่อน ไม่คาดคิดเลยว่าจะมาเจอคุณที่นี่ ช่างบังเอิญจริง ๆ ที่มาเจอกันทุกที่”
หลินม่ายได้ยินแบบนี้ เธอไม่เพียงมอบแม่ไก่ในมือให้กับผู้อำนวยการหลิว แต่ยังเลือกแม่ไก่ให้เขาอีกสองถึงสามตัว รวมถึงพุทราแดง ตังกุย และอาหารเสริมอื่น ๆ ซึ่งเป็นจำนวนหลายร้อยหยวนและมอบพวกมันให้กับผู้อำนวยการหลิว
ผู้อำนวยการหลิวพยายามปฏิเสธอย่างสุภาพ ก่อนจะยอมรับด้วยรอยยิ้ม
ทั้งสองฝ่ายถามสารทุกข์สุกดิบกันเล็กน้อย ก่อนที่ผู้อำนวยการหลิวจะถามคำถามแปลก ๆ ว่าเธอยังรับทำโครงการของรัฐบาลหรือไม่
โครงการของรัฐร่ำรวยขนาดนี้ หลินม่ายจะไม่รับได้อย่างไร?
เธอพยักหน้ารับอย่างรวดเร็วราวกับไก่จิกข้าว “รับค่ะ ผู้อำนวยการหลิวมีโครงการอะไรอยู่ในมือหรือเปล่าคะ?”
ผู้อำนวยการหลิวโบกมือ “แม้ผมจะมีโครงการอยู่ในมือ แต่ก็ไม่อาจมอบให้คุณได้โดยตรง ขณะนี้รัฐบาลได้ปฏิรูปงานหลายอย่าง โครงการก่อสร้างในเมืองทั้งหมดเป็นแบบเปิดประมูล ทุกอย่างโปร่งใส และไม่อนุญาตให้มอบกับครัวเรือนที่เกี่ยวข้อง”
เขาบอกหลินม่ายว่าในเมืองกำลังมีโครงการสร้างสะพานยกระดับ อีกราวสองถึงสามวันจะมีการประมูล หากเธอสนใจก็ให้มายังแผนกก่อสร้างเมืองเพื่อเข้าร่วมการประมูลได้
มันเป็นเพียงความโปรดปรานสำหรับผู้อำนวยการหลิวที่จะบอกข่าวกับหลินม่ายอย่างกระตือรือร้น
และถึงแม้ว่าเขาจะไม่บอกหลินม่าย อีกไม่กี่วันข้างหน้าหลินม่ายคงจะได้เห็นข่าวผ่านหนังสือพิมพ์
ตอนนี้สถานะของหลินม่ายเปลี่ยนไปแล้ว เธอกลายเป็นผู้ประกอบการเอกชนที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศ
ในอดีตหลินม่ายเป็นคนที่ต้องการประจบประแจงผู้อำนวยการหลิว แต่ตอนนี้ผู้อำนวยการหลิวไม่ต้องการตัดสายสัมพันธ์กับเธอ ดังนั้นเขาจึงบอกเล่าข่าวที่ยังไม่ได้เผยแพร่ให้เธอได้ทราบ เพื่อเป็นการแสดงความโปรดปรานของเขา
หลินม่ายกล่าวขอบคุณผู้อำนวยการหลิว
หลังจากกลับมา หลินม่ายได้จัดเตรียมทีมงานเพื่อตรวจสอบโครงการอย่างละเอียดและทำความเข้าใจถึงเจตนาที่อยู่เบื้องหลัง จุดมุ่งหมายคือการออกแบบและทราบข้อมูลจำเพาะที่สำคัญสำหรับสะพานยกระดับ
ด้วยข้อมูลที่รวบรวมได้ พวกเขาจะพัฒนาข้อเสนอที่ตรงเป้าหมายและสร้างเอกสารประกอบโครงการที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มโอกาสในการชนะการประมูล
ในเวลาเดียวกัน เธอยังซื้อชุดผลิตภัณฑ์สำหรับเด็ก เช่น รถเข็นเด็กและเปลเด็กในห้าง และจ่ายเงินให้ห้างเพื่อส่งมอบให้ผู้อำนวยการหลิว
แม้ว่าหลินม่ายจะขอร้องไม่ให้ทางห้างบอกว่าเธอซื้อของเหล่านี้
แต่ผู้อำนวยการหลิวไม่ใช่คนโง่ เขาคาดเดาได้ว่าหลินม่ายเป็นคนซื้อของเหล่านี้มาส่งถึงบ้าน
ในบรรดาคนที่เขารู้จัก ไม่มีใครใจกว้างเท่าหลินม่ายที่ซื้อของมาฝากมากมายแต่ไม่อยากให้อีกฝ่ายรู้
ผู้อำนวยการหลิวจึงคิดตอบแทน เมื่อเห็นว่าหลินม่ายส่งคนมาสอบถามเกี่ยวกับข้อกำหนดของสะพานที่จะสร้าง เขาแอบให้แผนที่ของสะพานและข้อกำหนดที่เกี่ยวข้องแก่ผู้สอบถาม
ไม่กี่วันต่อมา โครงการสะพานก็เปิดให้ประมูล
หลินม่ายพาผู้จัดการโม่ไปร่วมงาน
การเขียนคำโฆษณาของพวกเขาได้รับการจัดเตรียมอย่างดีที่สุด ภาพวาดได้รับการออกแบบที่ดีที่สุดและราคายุติธรรมที่สุด
นอกจากนี้ว่านทงกรุ๊ปยังเป็นที่รู้จักกันดีในเมืองเจียงเฉิง ดังนั้นจึงชนะการประมูลไปโดยไม่ต้องสงสัย
หลังจากเซ็นสัญญากับแผนกโยธาธิการของเมือง หลินม่ายก็นั่งแท็กซี่กลับบ้าน
เธอครุ่นคิดระหว่างทาง โครงการสะพานชนะการประมูลแล้ว ขั้นตอนการโอนย้ายทะเบียนบ้านของเสี่ยวเหวินก็เสร็จสิ้นทันเวลา
หลังจากพักฟื้นหลายวัน ผิวพรรณของฟางจั๋วเยวี่ยก็ดูดีขึ้นมาก
ไม่มีสิ่งใดที่เธอต้องกังวลในเมืองเจียงเฉิงอีก เช่นนั้นเธอจึงสามารถพาทั้งครอบครัวกลับไปยังเมืองหลวงได้ในวันพรุ่งนี้
ก่อนที่แท็กซี่ที่เธอโดยสารจะมาถึงลานบ้าน หลินม่ายพลันเห็นหญิงสาวคนหนึ่งเดินเตร็ดเตร่อยู่หน้าลานบ้าน
เธอไม่เห็นใบหน้าของหญิงสาวอย่างชัดเจน จนกระทั่งรถแท็กซี่ที่เธอโดยสารมาหยุดที่ประตูบ้านพักของเธอ
ผู้หญิงคนนั้นไม่ใช่ใครอื่น นอกจากเหมิงตาน
หลินม่ายรู้สึกงงเล็กน้อย หล่อนมาหาเธอทำไม?
หลินม่ายลงจากรถและชำเลืองมองเหมิงตานอย่างเฉยเมย เธอหยิบกุญแจออกมาเพื่อต้องการไขประตูลานบ้าน
เหมิงตานเดินเข้ามาและเรียกด้วยเสียงแผ่วเบา “ประธานหลินคะ~”
หลินม่ายตอบกลับเย็นชา “ฉันกับคุณไม่ได้มีความสัมพันธ์ฐานะเจ้านายกับลูกน้องแล้ว ฉันรู้สึกอึดอัดใจนะที่คุณเรียกฉันแบบนั้น”
สีหน้าของเหมิงตานแข็งค้าง พลางกล่าวคำเบาว่า “ฉันถูกไล่ออกจากร้านเครื่องประดับเป่าตี๋ลาแล้ว”
“ฉันรู้ค่ะ” หลินม่ายถามด้วยความไม่เข้าใจ “แต่เรื่องนี้เกี่ยวกับฉันตรงไหนคะ?”
หลินม่ายยังคงติดตามกิจกรรมของเหมิงตานอย่างใกล้ชิด เพราะเธอต้องการเห็นชะตากรรมของคนทรยศ
เหมิงตานไปเข้าร่วมกับร้านเครื่องประดับเป่าตี๋ลา แต่เครื่องประดับที่หล่อนออกแบบถูกบดขยี้โดยเครื่องประดับไป๋เหอที่หลินม่ายออกแบบครั้งแล้วครั้งเล่า กระทั่งแทบไม่สามารถทำเงินได้
ต่อมา ผลงานของนักศึกษาด้านการออกแบบจากต่างประเทศที่เถาจืออวิ๋นทาบทามให้กลับได้รับความนิยมโดยสิ้นเชิง จนอีกฝ่ายไม่สามารถสร้างความก้าวหน้าหรือได้รับการยอมรับ
อีกทั้งเครื่องประดับไป๋เหอยังมีความสัมพันธ์แบบร่วมมือกับทีมงานของ TVB และสตูดิโอภาพยนตร์ในประเทศหลายแห่ง
ทีมงานและสตูดิโอภาพยนตร์เหล่านี้จะใช้เครื่องประดับไป๋เหอในการถ่ายทำ ซึ่งเทียบเท่ากับการโฆษณาผลิตภัณฑ์
เป็นเรื่องธรรมดาที่เครื่องประดับไป๋เหอจะบดขยี้เครื่องประดับเป่าตี๋ลา
นอกจากนี้ยังมีข่าวลือจากทางเครื่องประดับไป๋เหอว่าเหมิงตานไม่ได้มีพรสวรรค์มากนัก และงานออกแบบหลายชิ้นก่อนหน้านี้ของหล่อนได้รับการแก้ไขด้วยฝีมือของหลินม่าย
ผู้อำนวยการร้านเครื่องประดับเป่าตี๋ลารู้สึกว่าตัวเองถูกโกง ดังนั้นเขาจึงไล่เหมิงตานออก
สิ่งที่หลินม่ายไม่เข้าใจก็คือ เหตุใดเหมิงตานจึงบอกสิ่งเหล่านี้กับเธอ เพราะอย่างไรหลินม่ายก็ไม่เห็นใจอีกฝ่ายอยู่ดี
เมื่อเห็นว่าหลินม่ายให้ความสนใจกับตัวเองมาก เหมิงตานรู้สึกดีใจอยู่เล็กน้อย ประธานหลินยังคงเสียดายที่ต้องแยกทางกับหล่อนในฐานะผู้มีพรสวรรค์
หล่อนมีสีหน้าเต็มไปด้วยความหวังและพูดตะกุกตะกัก “ฉัน… ฉันอยากกลับไปทำงานกับเครื่องประดับไป๋เหอ คุณจะว่าอย่างไรคะ?”
หลินม่ายถาม “คุณว่าไงนะ?”
เหมิงตานไม่คาดคิดว่าจะได้รับคำตอบเช่นนี้จากหลินม่าย
มันเหมือนกับโดนน้ำเย็นราดลงศีรษะ และเย็นไปถึงขั้วหัวใจ
หล่อนรู้ดีว่าหลินม่ายจดจำการทรยศของหล่อนที่มีต่อเครื่องประดับไป๋เหออย่างฝังใจ
หล่อนพูดด้วยความเสียใจ “ประธานหลินคะ ฉันรู้ว่าคุณโกรธที่ฉันออกจากงาน แต่น้ำไหลลงสู่ที่ต่ำ ส่วนคนมักไต่เต้าขึ้นที่สูง ถ้ามีคนเสนอราคาสูงเพื่อแย่งตัวฉัน ฉันก็ต้องเปลี่ยนไปทำกับบริษัทนั้น ถ้าเปลี่ยนเป็นประธานหลิน ฉันคิดว่าคุณก็คงทำเช่นเดียวกัน”
สีหน้าของหลินม่ายยังคงสงบนิ่ง “คุณพูดถูก มีคนหลอกล่อคุณไปด้วยเงินเดือนที่สูง มันจึงไม่ผิดที่คุณจะเปลี่ยนงาน แต่ฉันแค่อยากถามคุณว่า คุณหมายความว่ายังไงที่นำแบบร่างการออกแบบของบริษัทออกไปแบบนั้น?”
เหมิงตานพูดไม่ออกอยู่ชั่วขณะ
หลินม่ายพูด “ฉันไม่ได้ไปขึ้นศาลฟ้องคุณในข้อหาขโมยความลับของบริษัทและปล่อยคุณไปก็นับว่าใจดีแล้ว แต่คุณยังกล้ากลับมาขอทำงาน นี่คุณไร้ยางอายได้มากกว่านี้อีกไหม?”
ไม่ใช่ว่าหลินม่ายต้องการปล่อยเหมิงตานไป และไม่ไปศาลเพื่อฟ้องร้อง แต่การขโมยความลับของบริษัทในยุคนี้เป็นเรื่องยากที่จะไต่สวน และยากที่จะตัดสินลงโทษอีกฝ่ายได้
นั่นเป็นเหตุผลที่หลินม่ายไม่ไปที่ศาลเพื่อฟ้องหล่อน แต่บดขยี้เหมิงตานด้วยการออกแบบของพวกเธอ
ปล่อยให้เหมิงตานมีชื่อเสียงในวงการว่าไร้ความสามารถ และไม่มีบริษัทไหนอยากจ้างหล่อนในอนาคต ซึ่งมันจะส่งผลต่อชีวิตหล่อนตลอดไป
เหมิงตานหน้าแดงทันที “ฉัน… ฉันจะไม่ทรยศต่อบริษัทอีกแล้ว”
หลินม่ายหัวเราะเยาะ “แค่คุณบอกว่าจะไม่ทรยศบริษัทอีก ฉันก็ต้องยอมรับคุณแล้วเหรอ? คุณมั่นใจในตัวเองขนาดนี้ได้ยังไง?”
ใบหน้าของเหมิงตานยิ่งแดงก่ำกว่าเดิม หล่อนอับอายมากจนแทบอยากมุดแผ่นดินหนี
หลินม่ายพูดต่อ “ทรยศเพียงครั้งเดียว ไม่มีโอกาสครั้งต่อไป นี่คือทัศนคติของฉันที่มีต่อพนักงาน คุณไปซะเถอะ อย่างน้อยก็เพื่อศักดิ์ศรีของตัวเอง”
เหมิงตานปฏิเสธที่จะจากไป หล่อนรวบรวมความกล้าขอร้องหลินม่าย “ประธานหลิน ให้โอกาสฉันอีกสักครั้งเถอะนะคะ ฉันยังพอมีพรสวรรค์อยู่บ้าง”
หลินม่ายยอมรับว่าเหมิงตานมีความสามารถบางอย่างจริง
เครื่องประดับที่เธอออกแบบค่อนข้างดีในยุคนี้ แต่คู่ต่อสู้ของเธอคือนักออกแบบเครื่องประดับจากต่างประเทศที่เถาจืออวิ๋นแนะนำ
หลินม่ายสามารถเอาชนะเหมิงตานได้อย่างสมบูรณ์ด้วยเครื่องประดับจากนักออกแบบชื่อดังในชาติก่อนของเธอ
แทบไม่ต้องพูดถึงเครื่องประดับไป๋เหอของเธอ และนักออกแบบเครื่องประดับไห่กุยหลายคนที่เถาจืออวิ๋นแนะนำให้รู้จัก
นักออกแบบที่ได้รับการศึกษาในต่างประเทศเหล่านั้นมีพื้นฐานการศึกษาด้านการออกแบบอย่างเป็นทางการ ดังนั้นระดับฝีมือของพวกเขาจึงเหนือกว่าเหมิงตาน
หลินม่ายจงใจโจมตีความมั่นใจในตนเองของเหมิงตานโดยไม่ประชดประชัน “อย่างคุณเรียกว่ามีพรสวรรค์ด้วยเหรอ? คุณยังเอาชนะฉันในฐานะมือสมัครเล่นไม่ได้ แล้วคุณจะเอาชนะนักออกแบบของฉันที่กลับมาจากต่างประเทศได้อย่างไร?”
เหมิงตานตะลึงจนพูดไม่ออก
หลินม่ายเปิดประตูลานบ้านและเดินเข้าไป ก่อนจะปิดประตูใส่เหมิงตานเสียงดัง
เหมิงตานยืนนิ่งอยู่กับที่และเฝ้าดูหลินม่ายหายเข้าไปในวิลล่า ใบหน้าของเต็มไปด้วยความผิดหวัง
หล่อนรู้ว่าไม่มีทางแล้วที่จะได้กลับไปทำงานกับเครื่องประดับไป๋เหอ จึงจำต้องจากไปอย่างโดดเดี่ยวในที่สุด
เยว่กั๋วเวยได้รับทรายในภายหลังจากหลินม่ายว่า เหมิงตานมาขอร้องให้รับตนกลับไปทำงานกับร้านเครื่องประดับไป๋เหอ
เขาด่าทอเหมิงตานว่าไร้ยางอาย
เหมิงตานมาถามกับเยว่กั๋วเวยก่อนที่จะไปหาหลินม่าย แต่เขาปฏิเสธหล่อนไปอย่างเย็นชา
โดยไม่คาดคิดหล่อนจะไม่ยอมแพ้ และยังถ่อไปหาหลินม่ายอีกครั้ง
เยว่กั๋วเวยพูดด้วยความขุ่นเคือง กล่าวว่าเครื่องประดับไป๋เหอไม่ใช่ถังขยะ
ถ้าขยะอย่างเหมิงตานสามารถเข้าออกที่ไหนก็ได้ตามที่ตัวเองต้องการ แล้วจะมีสิ่งดี ๆ อยู่บนโลกนี้ได้อย่างไร!
หลินม่ายคำเบา “ขยะยังแบ่งออกเป็นแบบรีไซเคิลได้และแบบรีไซเคิลไม่ได้ แต่หล่อนดันเป็นขยะที่ไม่สามารถรีไซเคิลได้”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ถ้าเป็นเดี๋ยวนี้ก็โดนบริษัทฟ้องหมดตัวอะ โทษฐานลาออกกลางคันโดยไม่แจ้งแล้วยังขโมยความลับบริษัทไปให้บริษัทคู่แข่ง แทบทุกบริษัทถึงมีหนังสือสัญญาก่อนรับเข้าทำงานไงว่าพนักงานจะต้องไม่เปิดเผย เผยแพร่ข้อมูลความลับบริษัทให้ที่ใด
โดนว่าเป็นขยะเปียกที่รีไซเคิลไม่ได้นี่เจ็บปวดนะ
ไหหม่า(海馬)