แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 904 ปฏิเสธที่จะรักษา
ตอนที่ 904 ปฏิเสธที่จะรักษา
หลินม่ายพูดด้วยใบหน้าเย็นชา “ฉันไม่ต้องการฟังคำขอโทษอะไรทั้งนั้น ฉันแค่อยากรู้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่พวกคุณสองสามีภรรยาของคุณทะเลาะกันในตลาดของฉันหรือเปล่า?”
ทังอี้ลังเลและตอบกลับ “ถ้ารวมวันนี้ก็เป็นครั้งที่สามแล้วครับ”
หลินม่ายถามอย่างสงสัย “คุณกับภรรยาทะเลาะกันที่ตลาดฝูตัวตัวเขตซีเฉิงเท่านั้นใช่ไหม?”
ทังอี้เป็นผู้จัดการตลาดฝูตัวตัวในเมืองหลวงทั้งหมด หลินม่ายจึงไม่เชื่อว่าสองสามีภรรยาจะทะเลาะกันเพียงในตลาดฝูตัวตัวเขตเมืองซีเฉิงเท่านั้น
ทังอี้สารภาพว่า เขาและภรรยาเคยทะเลาะกันในตลาดอาหารฝูตัวตัวแห่งอื่นด้วย
ไม่ว่าภรรยาของเขาตามไปยังตลาดแห่งใด หล่อนก็จะหาเรื่องทะเลาะกับเขาที่ตลาดแห่งนั้น
“คุณชดเชยความเสียหายที่คุณและภรรยาสร้างขึ้นต่อตลาดของฉันแล้วหรือยัง?”
“นอกจากครั้งนี้ ครั้งอื่น ๆ ได้รับการชดเชยแล้วครับ”
เพราะต้องชดเชยความเสียหายที่เกิดขึ้นกับตลาด เงินออมของครอบครัวเขาจึงหายไปครึ่งหนึ่ง
หลินม่ายยังคงเย็นชา “ชดเชยความเสียหายครั้งนี้ด้วย”
ทังอี้พยักหน้าอย่างสลดใจ
หลินม่ายสั่งต่อไป “คุณต้องจ่ายค่าชดเชยภายในสามวัน มิฉะนั้น ฉันจะฟ้องทั้งคุณและภรรยา”
ทังอี้พยักหน้าอีกครั้ง
“ไม่เพียงคุณต้องจ่ายค่าเสียหายภายในสามวันเท่านั้น แต่คุณยังต้องส่งมอบงานให้กับผู้จัดการซุนดูแลด้วย”
หลินม่ายมองทังอี้อย่างเฉยเมย “จากนี้ไป คุณจะถูกไล่ออก”
ทังอี้รู้สึกกังวลและตะโกน “คุณหลินครับ!”
หลินม่ายถามอย่างเฉยเมย “อะไร? คุณมีอะไรจะพูดเหรอ?”
ทังอี้อธิบายอย่างนอบน้อม “ผมฟ้องหย่าภรรยาของผมตามที่คุณพูด แต่หล่อนไม่เห็นด้วยและสร้างปัญหาในตลาด ผมไม่ได้สนับสนุนให้หล่อนมาที่ตลาดเพื่อสร้างปัญหาเลยนะครับ~”
หลินม่ายเลิกคิ้วถาม “คุณคิดว่าคุณบริสุทธิ์พอที่จะไม่ถูกไล่ออกหรือไม่?”
ทังอี้พยักหน้าอย่างลังเล “ผมมีส่วนเกี่ยวข้องครับ แต่ผมก็ตกเป็นเหยื่อด้วย”
“คุณจัดการเรื่องครอบครัวตัวเองได้ไม่ดี และมันส่งผลกระทบต่อตลาดของฉัน คุณกล้าพูดว่าคุณบริสุทธิ์งั้นเหรอ? ตลาดของฉันสมควรได้รับจากความเสียหายจากครอบครัวคุณจนส่งผลกระทบต่อยอดขายหรือเปล่า?”
ทั้งอวี้ก้มหน้าลงและพูดไม่ออก
หลินม่ายกล่าว “ฉันให้คุณจ่ายเฉพาะการสูญเสียเบื้องต้นของตลาด ฉันไม่ต้องการอะไรไปมากกว่านี้ แต่การสูญเสียยอดขายที่ลดลงซึ่งเกิดจากการทะเล่ะวิวาทระหว่างคุณและภรรยาในตลาดถือเป็นความผิดร้ายแรงของคุณ”
ทังอี้ก้มหน้าลงและไม่พูดอะไร
หลังจากจัดการกับทังอี้แล้ว หลินม่ายก็ไปยังโซนขายอาหารทะเลเพื่อซื้อตะพาบน้ำ
พนักงานขายในพื้นที่ขายอาหารทะเลกล่าวว่าตะพาบน้ำมีราคาแพงเกินไป และผู้คนในปักกิ่งปรุงตะพาบน้ำไม่เก่งนัก ดังนั้นพวกเขาจึงไม่ซื้อมันมาขาย
หลินม่ายบอกให้ผู้จัดการติดต่อตลาดฝูตัวตัวในเจียงเฉิง ขอให้พวกเขาจัดหาตะพาบน้ำและเต่าจำนวนหนึ่งทุกวัน เผื่อว่าลูกค้าบางรายต้องการซื้อให้ผู้ป่วย
ผู้จัดการเกาศีรษะ “ทำไมต้องหาตะพาบและเต่าในเจียงเฉิงด้วยล่ะครับ? ในเมื่อเรามีเต่าและตะพาบในเขตชานเมืองของปักกิ่งด้วย การนำเข้าเต่าและตะพาบจากเจียงเฉิงจะทำให้ค่าขนส่งเพิ่มขึ้น”
หลินม่ายกล่าว “แต่ตะพาบน้ำและเต่าในลุ่มแม่น้ำแยงซีอร่อยที่สุด”
เนื่องจากที่ตลาดของเธอไม่มีตะพาบน้ำขาย หลินม่ายจึงต้องไปที่โรงแรมเพื่อซื้อตะพาบน้ำในราคาสูง
เมื่อเธอกลับถึงบ้าน ฟางจั๋วหรานเพิ่งเสร็จสิ้นการตุ๋นตะพาบน้ำและซุปนกกระทา
แม้หวังเหวินฟางจะร้ายกาจ แต่คนเลวก็มีความรักในครอบครัวเช่นกัน
ทันทีที่หล่อนเห็นฟางจั๋วหราน หล่อนก็ลุกขึ้นยืน หลั่งน้ำตา และอ้อนวอนด้วยเสียงร้องไห้ “จั๋วหราน ไม่ว่ายังไงแกกับจั๋วเยวี่ยก็เป็นพี่น้องกัน แกต้องช่วยจั๋วเยวี่ยนะ!”
ฟางเว่ยกั๋วขมวดคิ้วด้วยความไม่พอใจ “คุณกำลังพูดถึงอะไร? จะบอกว่าจั๋วหรานไม่สนใจจั๋วเยวี่ยเหรอ?”
ฟางจั๋วหรานจ้องมองฟางจั๋วเยวี่ยสักครู่แล้วถาม “นายนำประวัติทางการแพทย์มาทั้งหมดหรือเปล่า?”
“เอามา เอามา!” หวังเหวินฟางรีบหยิบเวชระเบียนของฟางจั๋วหรานออกมาจากกระเป๋าของเธอและแสดงให้ฟางจั๋วหรานดู
ฟางจั๋วหรานขมวดคิ้ว อ่านเอกสารแต่ละหน้าอย่างระมัดระวังก่อนจะเงยหน้าขึ้นและพูดกับทุกคน
“ตามบันทึกทางการแพทย์ อาการยังคงที่ ไม่ถึงขั้นเลวร้ายที่สุด ตราบใดที่เอาส่วนที่เป็นมะเร็งออกด้วยการผ่าตัด ก็ยังมีความเป็นไปได้ที่จะรักษาให้หายขาด”
ทุกคนยิ้มด้วยความยินดี
หวังเหวินฟางกดมือบนหน้าอกอย่างตื่นเต้น “ถ้าอย่างนั้น แกก็ทำการผ่าตัดให้กับจั๋วเยวี่ยสิ และแกต้องมั่นใจว่าการผ่าตัดจะสำเร็จ!”
ฟางเว่ยกั๋วและลูกชายของเขามองหล่อนพร้อมกัน
ฟางจั๋วเยวี่ยพูดอย่างกระวนกระวายใจ “แม่ ใครจะรับประกันเรื่องการผ่าตัดได้? อย่าบังคับพี่ชายได้ไหม? อีกอย่างผมไม่อยากรักษาเลย ชีวิตและความตายคือโชคชะตา ทรัพย์สมบัติและเกียรติยศก็เป็นเพียงเรื่องฉาบฉวย แล้วทำไมผมต้องรักษามันด้วยล่ะ?
สีหน้าของคุณย่าฟางพลันหม่นลง “พี่ชายของแกบอกแล้วว่าโรคของแกอาจรักษาได้ แล้วทำไมต้องยอมแพ้? ต้องการให้ฉันและปู่ของแกที่แก่จนหัวหงอกไปส่งหลานลงโลงหรือยังไง อกตัญญูจริง ๆ!”
ฟางจั๋วเยวี่ยยิ้ม
การมีชีวิตอยู่มีความหมายอย่างไรสำหรับเขา ในเขาสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักที่สุดไปแล้ว
ทุกคนมองเห็นความรู้สึกไร้รักในดวงตาของเขา และพวกเขาก็ตื่นตระหนกเล็กน้อย
พวกเขาเกลี้ยกล่อมฟางจั๋วเยวี่ยและให้กำลังใจเขา
โดยปกติแล้วฟางจั๋วเยวี่ยจะดูเฉยเมย แต่เมื่อเขาดื้อรั้น แม้จะเอาช้างมาฉุดนับสิบตัว ก็ไม่อาจกระตุ้นให้เขาเชื่อฟังหรือทำตามได้
หวังเหวินฟางรีบคุกเข่าลงหาเขาพร้อมกับพูดด้วยน้ำเสียงร้องไห้ “จั๋วเยวี่ย ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นกับลูก แม่จะอยู่ได้อย่างไร? ฟังตามคำสั่งพี่ชาย เข้ารับการรักษาโรคและทำการผ่าตัดเถอะนะ”
แม้แต่โต้วโต้วก็เข้าร่วมเกลี้ยกล่อมฟางจั๋วเยวี่ย
หล่อนยื่นสาลี่หอมให้ฟางจั๋วหรานและกล่าว “คุณอาจะต้องไม่ตายนะคะ ถ้าคุณอาตาย ใครจะซ่อมของเล่นให้หนูล่ะคะ?”
ฟางจั๋วหรานเงยหน้าและพูดกับโต้วโต้ว “ช่างพูดจริงนะ!”
โต้วโต้วแลบลิ้นออกมา
ฟางจั๋วเยวี่ยแตะหัวเล็ก ๆ ของเธอ “ของเล่นของหลานพังก็ไม่ต้องซ่อมแล้ว ขอให้แม่ของหลานซื้อของเล่นใหม่ให้สิ แม่ของหลานรวยมาก”
ในเวลานี้ หลินม่ายวางตะพาบตุ๋นและซุปนกกระทาไว้บนโต๊ะอาหารเพื่อให้ฟางจั๋วเยวี่ยกินในขณะที่ยังร้อนอยู่
ฟางจั๋วเยวี่ยเดินไปยังโต๊ะอาหาร ดื่มซุปสองคำ และกินอาหารอีกสองสามคำ
น้ำซุปกลมกล่อม เนื้อถูกตุ๋นจนเนียนนุ่ม
เขายกนิ้วให้หลินม่าย “ซุปตะพาบน้ำของพี่สะใภ้อร่อยจริง ๆ”
คุณย่าฟางถือโอกาสพูด “ถ้าหลานยอมรักษาจนดีขึ้น ย่าจะขอให้พี่สะใภ้ทำอาหารอร่อย ๆ ให้หลานทุกวัน ถ้าหล่อนไม่ทำ ย่าจะทุบตีหล่อนเอง”
“เงื่อนไขนี้น่าสนใจมาก” ฟางจั๋วเยวี่ยกลืนซุปตะพาบน้ำลงคอ “ไม่ใช่ว่าผมไม่อยากหายขาด แต่ผมกลัวว่าหลังจากที่ขึ้นเตียงผ่าตัดแล้วจะไม่มีโอกาสได้ลงมาจากเตียงนั้นอีก หากไม่เข้ารับการผ่าตัด ผมอาจมีชีวิตอยู่ได้อีกสองถึงสามปี แต่ผมอาจตายทันทีที่เข้ารับการผ่าตัด”
คุณปู่ฟางและคนอื่น ๆ มองหน้ากันโดยไม่พูดอะไร
ฟางจั๋วหรานกล่าว “นายไม่ใช่เด็กแล้ว อย่ามองโลกในแง่ร้ายนัก เป็นเวลาครึ่งปีแล้วที่นายป่วย และนายได้รับการเอ็กซเรย์เฉพาะเมื่อป่วยครั้งแรก แต่นายไม่ได้ตรวจสุขภาพอีกเลยนับจากนั้น พรุ่งนี้ไปเอ็กซเรย์ที่โรงพยาบาลอีกครั้งและตรวจดูว่าการผ่าตัดมีความเสี่ยงแค่ไหน หากความเสี่ยงไม่มากเกินไปก็คุ้มค่าที่จะลองดู
ฟางจั๋วเยวี่ยปฏิเสธอย่างราบเรียบ “ฉันไม่อยากไป ฉันไม่อยากจากความหวังไปสู่ความผิดหวัง มันน่ากลัวเกินไป!”
หลินม่ายกลอกตา “ฉันจำได้ว่าครั้งหนึ่งนายเคยบอกว่าอยากลิ้มรสกะหล่ำปลีต้ม ไว้ฉันจะปรุงให้นะ”
ฟางจั๋วเยวี่ยรีบพูดด้วยรอยยิ้ม “ขอบคุณพี่สะใภ้”
หลินม่ายกล่าว “ไม่เป็นไร ฉันจะทำกะหล่ำปลีต้มให้นายตามเงื่อนไข”
ฟางจั๋วหรานยิ้ม “อยากให้ผมเขารับการตรวจใช่ไหม? ได้ ผมนะทำตามเงื่อนไข”
ในที่สุดทุกคนก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอก
ตราบใดที่เขาเต็มใจไปตรวจ เขาอาจตกลงที่จะเข้ารับการผ่าตัด
……
หลินม่ายรักษาคำพูดและทำการต้มกะหล่ำปลีให้ฟางจั๋วเยวี่ยในตอนเช้า
ฟางจั๋วเยวี่ยยังคงรักษาคำพูด เขากินกะหล่ำปลีต้มและเกี๊ยวไข่ที่หลินม่ายทำพร้อมกับหลินม่ายและคนอื่น ๆ ก่อนจะไปยังโรงพยาบาลเพื่อรับการตรวจ
ไม่กี่วันต่อมา เขาก็ได้รับผลการตรวจวินิจฉัย
ขณะกำลังรับประทานอาหารเช้า นอกจากเด็ก ๆ ทั้งสามคนกับฟางจั๋วเยวี่ยแล้ว คนอื่น ๆ ก็ไม่เต็มใจที่จะกิน ทุกคนต่างแสดงความกังวลเกี่ยวกับฟางจั๋วเยวี่ย
หลังอาหารเช้า หลินม่ายและสามีขับรถไปโรงพยาบาลพร้อมกับคุณย่าฟางและคนอื่น ๆ เพื่อรับผลตรวจ
ทุกคนเข้าไปในรถ แต่ฟางจั๋วเยวี่ยนั่งนิ่งอยู่บนโซฟา
หลินม่ายเร่งเร้าที่ประตู “ทำไมไม่ขึ้นรถ? ถ้านายไม่ขึ้นรถ พี่ชายนายจะไปทำงานสายนะ”
ฟางจั๋วเยวี่ยกะเทาะเปลือกถั่วลิสงทอดกินด้วยความเอร็ดอร่อย “ก็ทุกคนไปรับผลตรวจแทนแล้ว ฉันไม่ต้องไปหรอก ไว้ฉันจะอ่านผลตรวจหลังจากที่ทุกคนกลับมา”
ฟางจั๋วหรานเข้ามา “ไปกันเถอะ ฉันต้องการจัดการให้นายเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล”
ฟางจั๋วหรานส่ายศีรษะ “ฉันไม่อยากอยู่โรงพยาบาล มันไม่สบายเหมือนอยู่บ้าน”
ฟางจั๋วเยวี่ยป่วยหนัก ฟางจั๋วหรานจึงไม่สามารถทุบตีเขาได้แม้ใจจะอยากทำ เขาทำได้เพียงอดทน
ทั้งคู่มองหน้ากันอย่างหมดหนทางและพาคุณย่าฟางไปโรงพยาบาล
ระหว่างทาง ทุกคนไม่สบายใจและกังวลเกี่ยวกับผลการตรวจของฟางจั๋วเยวี่ย
หากผลออกมาแย่ พวกเขาก็ไม่รู้ว่าจะจัดการอย่างไร
เมื่อพวกเขาไปถึงโรงพยาบาลเพื่อรับผลตรวจ คุณปู่ฟางและคุณย่าฟางก็ยิ่งกังวลใจมากขึ้น
โชคดีที่ผลลัพธ์อยู่ในเกณฑ์ที่ยอมรับได้
ผลการตรวจไม่ต่างจากการวิเคราะห์ก่อนหน้านี้ของฟางจั๋วหราน แน่นอนว่ามีแนวทางรักษาและความเป็นไปได้ในการฟื้นตัว
แต่เซลล์มะเร็งแพร่กระจายอย่างรวดเร็ว ยิ่งมีการผ่าตัดเร็วเท่าใด โอกาสในการฟื้นตัวก็จะยิ่งมากขึ้น และความเสี่ยงในการผ่าตัดก็จะยิ่งลดลง
ดังนั้นการผ่าตัดจึงเป็นเรื่องเร่งด่วน
ฟางจั๋วหรานขอให้หลินม่ายและคนอื่น ๆ กลับไปทันที และเกลี้ยกล่อมให้ฟางจั๋วเยวี่ยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลโดยเร็วที่สุด และเตรียมพร้อมสำหรับการผ่าตัด ยิ่งเร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น
ทันทีที่หลินม่ายกลับบ้านพร้อมกับคุณปู่ฟางและคนอื่น ๆ เธอก็เริ่มเกลี้ยกล่อมให้ฟางจั๋วเยวี่ยเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล
แต่ฟางจั๋วเยวี่ยกลัวว่าจะตายบนเตียงผ่าตัด และปฏิเสธที่จะทำการผ่าตัด
แม้โต้วโต้วจะกลับมาจากโรงเรียนตอนเที่ยงเพื่อเกลี้ยกล่อมเขา เขาก็ไม่ฟัง
ในท้ายที่สุด แม้เสี่ยวเหวินพยายามเกลี้ยกล่อมเขา แต่เขาก็ไม่แยแส
เพราะต้องเกลี้ยกล่อมฟางจั๋วเยวี่ย หลินม่ายจึงไม่ได้ไปเรียนตั้งแต่บ่ายวานนี้จนถึงวันนี้
เนื่องจากไม่อาจโน้มน้าวใจเขาได้ เธอจึงเลือกจะไปมหาวิทยาลัยหลังอาหารกลางวัน ไม่สามารถเสียเวลาได้อีกต่อไป
หลินม่ายขึ้นไปชั้นบนและหยิบกระเป๋านักเรียนจากห้อง เธอลงไปที่ชั้นสองและเห็นฟางจั๋วเยวี่ยยืนอยู่หน้าประตูห้องพร้อมโบกมือให้เธอ “พี่สะใภ้ มาที่ห้องของผมก่อนสิ ผมมีอะไรจะบอก”
หลินม่ายตามฟางจั๋วเยวี่ยเข้าไปในห้องของเขา
หวังเหวินฟางกำลังจะมาเกลี้ยกล่อมฟางจั๋วเยวี่ยให้เข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลอีกครั้ง แต่กลับเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น หล่อนจึงเดินไปอย่างเงียบงันเพื่อแอบฟัง
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
ทังอี้ควรหย่าขาดแล้วตัดช่องทางติดต่อทุกทางอะ ถ้าไม่อยากให้เมียมาสร้างปัญหา ส่วนเมียก็ควรเข้าแผนกจิตเวช นางดูเป็นไซโคพาธแบบไม่รู้ตัว ฉันจะทำอะไรก็จะทำอย่างนั้น ไม่ได้สนใจสิ่งแวดล้อมหรือคนอื่นๆ รอบด้านเลย
สงสารจัง ใจของจั๋วเยวี่ยไม่อยากอยู่ต่อแล้ว จะให้ใครมาช่วยสร้างกำลังใจให้ดีนะ
ไหหม่า(海馬)