แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 907 เหตุผลของการต่อสู้
ตอนที่ 907 เหตุผลของการต่อสู้
ครูใหญ่ขมวดคิ้วพูดกับหลินม่ายและสามีอย่างไม่พอใจ “ครูประจำชั้นเรียกคุณมาที่นี่เพื่อแก้ปัญหา แต่คุณกลับเริ่มโต้เถียงทันทีที่มาถึง ไม่น่าแปลกใจเลยที่เถียนอวี้เหวินจะทุบตีเพื่อนร่วมชั้น”
หลินม่ายมองไปที่ชายหัวโล้นอย่างเย็นชา “ครูใหญ่กำลังพยายามเบี่ยงประเด็นหรือเปล่าคะ? ฉันยังไม่ทันบอกความจริงเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้น การเปิดเผยความจริงของฉันกลายเป็นการโต้เถียงแล้วเหรอ? คนอื่นโยนความผิดมาที่ฉัน แล้วคุณก็เมินเฉย แกล้งทำเป็นหูหนวกตาบอด แสร้งทำเป็นไม่เห็นไม่ได้ยินอะไรเลย นี่คือวิธีที่คุณทำในฐานะครูใหญ่หรือคะ?”
ครูใหญ่โพล่งออกด้วยความโกรธ “คุณ คุณ คุณ คุณจะด่าทอคนอื่นทุกครั้งที่อ้าปากเลยหรือยังไง?”
หลินม่ายโต้กลับด้วยสีหน้ามืดหม่น “ฉันแค่ตำหนิคุณ เพราะมันคือสิ่งที่คุณสมควรได้รับ!”
ครูใหญ่โกรธมากแต่ไม่สามารถตอบโต้ได้
แม่ของเด็กชายที่ถูกทุบตีพูดขึ้น “อย่าคิดว่าตัวเองเป็นดาราดัง เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่แล้วจะทำอะไรก็ได้นะ! ตอนนี้คุณอาจจะสนุกปาก แต่ฉันจะทำให้คุณต้องเสียใจ!” สิ้นเสียงคำ หล่อนจ้องมองหลินม่ายเขม็ง
เนื่องจากรัศมีของฟางจั๋วหรานแข็งแกร่งมากเกินไปจนหล่อนไม่กล้ามองเขา
เมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว พวกเขาก็คิดว่าหลินม่ายอ่อนแอกว่า จึงกล้าที่จะจ้องมองไปที่เธอ
ทว่าความนุ่มนวลของหลินม่ายเป็นเพียงภาพลักษณ์ผิวเผิน แท้จริงเธอมีรัศมีที่น่าเกรงขามยิ่งกว่าใคร
หญิงสาวคนนั้นและหลินม่ายมองหน้ากันแค่เพียงครึ่งนาทีก่อนที่หล่อนจะยอมแพ้ ขณะที่หัวใจเต้นรัวลั่นด้วยความตื่นตระหนก
ครูประจำชั้นเสี่ยวเหวินเป็นแฟนตัวยงของหลินม่าย ด้วยความกลัวว่าหลินม่ายจะเดือดร้อน จึงเรียกเธอออกไป
ฟางจั๋วหรานเดินตามออกไปเช่นกัน
ครูประจำชั้นกระซิบกับหลินม่ายว่า พ่อของเด็กชายที่ถูกทุบตีคือผู้อำนวยการสำนักการศึกษาในเขตซีเฉิง
หล่อนเกลี้ยกล่อมหลินม่ายและเสี่ยวเหวินให้ยอมรับความผิดพลาดต่อแม่และลูกชายคู่นั้น แล้วเธอจะพยายามช่วยไกล่เกลี่ยเพื่อให้อีกฝ่ายมั่นใจว่าเสี่ยวเหวินจะไม่ทำผิดพลาดอีก และปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป
หลินม่ายเยาะเย้ย “ลูกชายของผู้อำนวยการมีอำนาจบาตรใหญ่มาจากไหน เสี่ยวเหวินของฉันสมควรถูกตำหนิแล้วหรือไง?”
ครูประจำชั้นของเสี่ยวเหวินไม่คาดคิดว่าหลินม่ายจะดื้อรั้นขนาดนี้ “ถึงคุณจะเป็นดาราดัง เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ แต่เจ้าหน้าที่เทศมณฑลไม่ได้มีอำนาจเท่ากับเจ้าหน้าที่ระดับสูงนะคะ ถอยออกมาคนละก้าวเพื่อให้เรื่องราวจบลงด้วยดีเถอะค่ะ”
ฟางจั๋วหรานพูดขึ้น “ในฐานะมนุษย์ เราไม่เคยถอยหนี รู้แต่วิธีก้าวไปข้างหน้าเท่านั้น”
ครูประจำชั้นหุบปากทันที
หล่อนรู้ว่าด้วยภูมิหลังและเส้นสายของหลินม่าย เธอจะไม่เสียเปรียบหากต้องเผชิญหน้ากับผู้อำนวยการสำนักงานการศึกษาประจำเขต
แต่เป็นตัวหล่อนและครูใหญ่ที่ต้องโชคร้าย
ผู้อำนวยการศึกษาธิการเขตจะตำหนิพวกเขาว่าจัดการเรื่องนี้ได้ไม่ดี จากนั้นจะเป็นเรื่องยากสำหรับพวกเขาที่จะได้รับการเลื่อนตำแหน่งและขึ้นค่าจ้างในอนาคต
นั่นเป็นเหตุผลที่หล่อนพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้หลินม่ายยอมแพ้ หล่อนจะได้ไปประจบประแจงผู้อำนวยการศึกษาธิการเขต
แต่หลินม่ายและสามีไม่ยอมทำตามคำแนะนำ ดังนั้นหล่อนจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องยอมแพ้
ไม่ว่าจะเป็นผู้บังคับบัญชาโดยตรง ผู้อำนวยการสำนักการศึกษา หรือตัวหลินม่ายเอง คนเหล่านี้ล้วนไม่ใช่คนที่ครูประจำชั้นแบบหล่อนสามารถสร้างความขุ่นเคืองให้ได้
ทั้งสามเดินกลับเข้าไปในห้องครูใหญ่
หลินม่ายถามเสี่ยวเหวินต่อหน้าทุกคน ว่าทำไมเขาถึงตีเด็กคนนั้น และมันเป็นอย่างที่เธอคาดเดาหรือไม่
เสี่ยวเหวินพยักหน้าและตอบกลับคำเบา “มันเป็นแบบที่อาพูดครับ”
หลินม่ายถามอย่างเคร่งขรึม “เธอไม่ได้โกหกใช่ไหม?”
เสี่ยวเหวินตอบกลับด้วยความโกรธ “ผมน่ะเหรอโกหก? มีนักเรียนมากกว่า 20 คนในชั้นเรียนที่กำลังดูอยู่ คุณอาถามพวกเขาก็ได้ แล้วคุณอาจะรู้เอง”
หลินม่ายถามเด็กชายร่างอ้วนอีกครั้ง “เสี่ยวเหวินพูดความจริงหรือเปล่า?”
เด็กชายร่างอ้วนลังเลอยู่นาน จากนั้นก็พยักหน้า
เขาไม่สามารถโกหกเรื่องนี้ได้
มันเป็นอย่างที่เสี่ยวเหวินพูด คนทั้งชั้นรู้ความจริง และครูประจำชั้นเองก็เช่นกัน
หลินม่ายถามรายละเอียดเพิ่มเติมกับเด็กชายร่างอ้วน
เด็กชายร่างอ้วนกำลังจะตอบ แม่ของเขาสั่งห้ามไม่ให้พูด เขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องหุบปาก
หลินม่ายกล่าวกับเสี่ยวเหวิน “เธอเล่ามา”
เสี่ยวเหวินบอกว่าเด็กชายร่างอ้วนล้อที่เขาไม่มีพ่อแม่ และเป็นสุนัขขอทานที่อาศัยอยู่บ้านของคนอื่นเพื่อกินอาหารเหลือ
เสี่ยวเหวินให้เหตุผลกับเขาในตอนแรก โดยบอกว่าตนเองไม่ใช่สุนัข และครอบครัวอาหลินที่รับเลี้ยงเขาไม่เคยให้กินอาหารเหลือ แต่ทุกคนร่วมโต๊ะกินอาหารด้วยกันเสมอ
เด็กชายร่างอ้วนไม่เพียงปฏิเสธที่จะรับฟังคำอธิบายเท่านั้น แต่ยังเรียกเขาว่าสุนัขขอทานกำพร้าพ่อแม่อีกด้วย
และนั่นคือตอนที่เสี่ยวเหวินตีเขา
หลังจากรับฟังสิ่งนี้ หลินม่ายหันกลับมาและเผชิญหน้ากับครูใหญ่ “เหตุและผลของเหตุการณ์นั้นชัดเจนอยู่แล้ว เป็นเด็กอ้วนคนนี้ที่ยั่วยุก่อน ทำไมถึงลงโทษเสี่ยวเหวินของฉันคนเดียวล่ะ?”
ครูใหญ่กล่าว “แล้วใครบอกให้ลูกของคุณไปตีคนอื่นล่ะ!”
หลินม่ายตอกกลับ “แล้วใครขอให้เด็กนั่นปากพล่อยแบบนี้!”
แม่ของเด็กชายร่างอ้วนกล่าวคำเคร่งขรึม “ลูกฉันผิดที่ล้อเด็กคนอื่น แต่แทนที่จะไปฟ้องครู เขากลับมาตีลูกฉันทำไม?”
เสี่ยวเหวินแทรกขึ้น “ผมฟ้องครูประจำชั้นหลายครั้งแล้ว แต่คุณครูไม่เคยจัดการเรื่องนี้เลยสักครั้ง”
ใบหน้าของครูประจำชั้นเปลี่ยนเป็นสีม่วง หล่อนอธิบายอย่างสิ้นหวังว่าตนไม่คาดคิดว่าเรื่องราวจะบานปลายใหญ่โต และหล่อนก็ยุ่งกับงานมาก จึงไม่มีเวลาจัดการกับเรื่องดังกล่าว
หล่อนพูดด้วยรอยยิ้มแห้ง “มันเป็นเรื่องปกติน่ะค่ะที่เด็กผู้ชายจะทะเลาะกันบ้าง บางครั้งพวกเขาทะเลาะกันไม่กี่นาทีที่แล้ว ก่อนจะกลับมาเล่นด้วยกันเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น โดยทั่วไปเมื่อเจอสถานการณ์เช่นนี้ ฉันชอบที่จะจัดการกับมันอย่างใจเย็นและปล่อยให้เด็กตกลงกันเอง”
แต่ทั้งหลินม่ายและแม่ของเด็กชายร่างอ้วนก็ไม่ยอมรับคำอธิบายของหล่อน
แม่ของเด็กชายร่างอ้วนไม่ได้โง่เขลา แม้เสี่ยวเหวินจะไม่มีพ่อแม่ แต่ผู้ปกครองของเขาก็ไม่ใช่คนธรรมดา
หล่อนไม่ได้งี่เง่าพอที่จะยืนกรานและแข็งกร้าวกับหลินม่าย
ยิ่งกว่านั้นหล่อนได้ลองพยายามเผชิญหน้ากับพวกเขาโดยตรงมาก่อน ไม่เพียงแต่พวกเขาไม่กลัวหล่อน และยังพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าตนเองน่าเกรงขามกว่าหล่อนอีกด้วย
คนฉลาดย่อมต้องรู้สถานการณ์ปัจจุบันและทำตัวอย่างเหมาะสม ในเมื่อเผชิญหน้าแล้วไม่ชนะ จึงเป็นการดีกว่าที่จะยอมสงบศึก
แม่ของเด็กชายร่างอ้วนกังวลว่าจะหาทางออกจากสถานการณ์ไม่ได้ แต่เมื่อได้ทราบว่าครูประจำชั้นมีส่วนรู้เห็น หล่อนจึงโยนความผิดทั้งหมดไปที่ครูประจำชั้น
กล่าวโทษครูประจำชั้นที่จัดการปัญหาไม่ดี ทำให้เด็กทั้งสองคนทะเลาะเบาะแว้งกัน
ครูประจำชั้นรู้สึกผิดมาก กระทั่งหลั่งน้ำตาออกมาไม่หยุด
เสี่ยวเหวินบอกเล่าถึงสถานการณ์ให้หล่อนฟังแล้ว แต่หล่อนนิ่งเฉยไม่จัดการ มันคงไม่เป็นแบบนี้หากไม่ใช่เพราะพ่อของเด็กชายร่างอ้วนเป็นผู้อำนวยการสำนักการศึกษา ส่วนเสี่ยวเหวินเป็นเพียงเด็กกำพร้า
หล่อนตั้งใจแน่วแน่ที่จะประจบผู้อำนวยการสำนักการศึกษา แต่สุดท้ายมันกลับล้มเหลว และทำให้ตัวเองตกที่นั่งลำบากยิ่งกว่าเดิม
ภรรยาของผู้อำนวยการฝ่ายการศึกษาให้บทเรียนอย่างหนักกับครูประจำชั้น จากนั้นขอให้ลูกชายตัวอ้วนขอโทษเสี่ยวเหวิน โดยให้พูดว่าเขาจะไม่ดูถูกอีกฝ่ายอีก
เนื่องจากอีกฝ่ายเต็มใจที่จะประนีประนอม หลินม่ายจึงไม่คิดไล่บี้อย่างเอาเป็นเอาตาย อย่างไรเสียอีกฝ่ายก็มีอำนาจและอิทธิพลอยู่บ้าง
หลินม่ายบอกให้เสี่ยวเหวินและเด็กชายร่างอ้วนยอมรับความผิดพลาดของตัวเองเช่นกัน
ท้ายที่สุดพวกเขายังเป็นแค่เด็ก เริ่มแรกพวกเขาเก็บงำความแค้นที่รุนแรงต่อกันราวกับศัตรูคู่อาฆาต แต่หลังจากจับมือกันและสงบศึก เด็กชายร่างอ้วนก็เริ่มปฏิบัติต่อเสี่ยวเหวินในฐานะเพื่อน โดยยื่นขนมให้ แต่เสี่ยวเหวินปฏิเสธอย่างสุภาพ
ประสบการณ์ชีวิตของเขาทำให้เขามีหลักการและแน่วแน่มากกว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน
การคืนดีเป็นเรื่องหนึ่ง แต่เขาจะไม่ยอมรับขนมจากคนที่เคยทำให้เขาอับอายในอดีต
ทั้งสองครอบครัวออกจากสำนักงานครูใหญ่พร้อมกัน ขณะที่หลินม่ายทำให้ครูใหญ่กับครูประจำชั้นถึงกับน้ำตาคลอในขณะเดิน
เธอพูดกับเด็กชายร่างอ้วนอย่างจริงจังว่า “วันนี้เราโชคดีมาก ที่ค้นพบว่าความขัดแย้งระหว่างเด็กสองคนเกิดจากการละเลยหน้าที่ของครูประจำชั้น มิฉะนั้นด้วยอารมณ์ที่พลุ่งพล่านของฉัน เมื่อเสี่ยวเหวินถูกลงโทษอย่างไม่ยุติธรรม ฉันคงจะสร้างปัญหานี้ให้ใหญ่ยิ่งกว่าเดิม หากเกิดกรณีนั้นขึ้น ผู้อำนวยการและครอบครัวของคุณจะต้องถูกฉันทำร้ายโดยไม่ได้ตั้งใจอย่างแน่นอน และนั่นจะไม่เป็นผลดีกับใครเลย”
แม่ของเด็กชายร่างอ้วนเหงื่อแตกพลั่ก
เมื่อกลับไปถึงบ้าน หล่อนได้เล่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นในโรงเรียนให้สามีฟัง
ด้วยความกลัวที่ยังคงอยู่ หล่อนก็พูดว่า “ขอบคุณพระเจ้าที่ฉันพลิกสถานการณ์ได้เร็ว ไม่อย่างนั้นคงเป็นเรื่องยากที่จะรับมือกับหลินม่าย หล่อนอาจพยายามปลดคุณออกจากตำแหน่งเป็นแน่ พวกเขายอมปล่อยเราไปแบบนี้ เราคงต้องทำอะไรบ้างแล้ว คุณไปทักทายผู้อำนวยการโรงเรียนประถมแห่งมหาวิทยาลัยชิงต้า จัดการครูใหญ่และครูประจำชั้นซะ พวกเขากล้าข่มเหงนักเรียนเพียงเพื่อประจบคุณได้อย่างไร?”
ผู้อำนวยการสำนักการศึกษาพยักหน้ารับพลางครุ่นคิด “ผมจะต่อสายถึงผู้อำนวยการทันที”
เขาสร้างภาพลักษณ์ของความซื่อตรงและความชอบธรรมได้ เขาจึงยินดีมากที่จะทำเช่นนั้น
ไม่กี่วันต่อมา ทั้งครูประจำชั้นและครูใหญ่ถูกลงโทษทางวินัย
คนหนึ่งกลายเป็นครูสอนวิชาสามัญและอีกคนกลายเป็นเจ้าหน้าที่ธรรมดา อย่างไรก็ตามสิ่งเหล่านี้จะเป็นเรื่องเล่าไปอีกยาวนาน
หลินม่ายและสามีขับรถออกจากโรงเรียนพร้อมกับเสี่ยวเหวิน ก่อนตรงไปยังโรงแรมเพื่อรับแม่และลูกชายของเถาจืออวิ๋น
ระหว่างทางหลินม่ายบอกกับเสี่ยวเหวินว่า ถึงแม้เขาจะไม่มีพ่อแม้ แต่ขอให้นับเธอเป็นญาติคนหนึ่งในอนาคต และเรียกเธอว่าอาหญิง
คำเรียกอาหญิงทำให้รู้สึกใกล้ชิดมากกว่าคุณอา ในที่สุดใบหน้าที่เศร้าหมองของเด็กชายก็ยิ้มออกมา
หลินม่ายและสามีไปรับแม่เถาและฉีฉีจากโรงแรมเพื่อพากลับบ้าน เมื่อโต้วโต้วเห็นฉีฉี เธอกรีดร้องออกมาอย่างมีความสุข
เสี่ยวเหวินเหลือบมองทั้งสองคนด้วยสีหน้าไม่ชัดเจน จากนั้นกลับไปที่ห้องเพื่อเก็บกระเป๋านักเรียน
เถาจืออวิ๋นเข้ามาช่วยผู้เป็นแม่ยกของไปยังชั้นบนพร้อมกับหลินม่ายและฟางจั๋วหราน
เมื่อเห็นว่าหล่อนมีผมยุ่งเหยิงและหน้าตาค่อนข้างโทรม หลินม่ายจึงถามด้วยความประหลาดใจ “เกิดอะไรขึ้นกับพี่ จั๋วเยวี่ยทำตัวหยาบคายกับพี่อีกแล้วเหรอ?”
เถาจืออวิ๋นตอบกลับ “ไม่ใช่”
หลังจากจัดของให้กับแม่และลูกชายแล้ว เถาจืออวิ๋นพาหลินม่ายไปยังห้องที่คุณย่าฟางเตรียมไว้ให้ ก่อนเล่าเรื่องทั้งหมดให้เธอฟัง
ปรากฏว่าหลังจากที่หลินม่ายออกไป เถาจืออวิ๋นเดินไปข้างเตียงของฟางจั๋วเยวี่ยเพื่อพูดคุยและเกลี้ยกล่อมให้เขาเข้ารับการผ่าตัด
ก่อนที่หล่อนจะทันพูดจบประโยค เขาก็อุ้มหล่อนขึ้นแล้วโยนออกไปนอกห้อง เกือบทำให้หล่อนเสียการทรงตัว
หล่อนวิ่งเข้าไปในห้องของเขาอย่างกล้าหาญและถูกโยนออกมาอีกครั้ง
หลินม่ายถามด้วยความงุนงง “ทำไมเขาถึงทำแบบนั้นล่ะ? ไม่กลัวเป็นการทำร้ายพี่หรือยังไง”
เถาจืออวิ๋นก้มหน้าลงและพูดว่า “เขาบอกว่าเพราะฉันทิ้งเขาไป ดังนั้นเขาจึงจะทิ้งฉันบ้างเป็นการตอบแทน”
หลินม่ายไม่รู้ว่าควรจะแสดงสีหน้าอย่างไรดี “แล้วจั๋วเยวี่ยยกโทษให้พี่แล้วหรือยัง?”
เถาจืออวิ๋นพยักหน้า “ยกโทษแล้ว”
“แล้วยังไงต่อ?”
“แล้วเขาก็หลับไป ส่วนฉันลงมาอยู่ข้างล่าง”
เมื่อเถาจืออวิ๋นพูดแบบนั้น แก้มของหล่อนก็แปรเปลี่ยนเป็นสีแดงระเรื่อ
หลังจากที่ฟางจั๋วเยวี่ยยกโทษให้หล่อน เขาจับมือของหล่อนแน่นและไม่ยอมปล่อย โดยบอกว่าหากเขาปล่อยมือ หล่อนอาจหายไปจากชีวิตเขาอีก
หลินม่ายถาม “จั๋วเยวี่ยตกลงรับการผ่าตัดไหม?”
เถาจืออวิ๋นส่ายหัว “ยังไม่ยอม ฉันจะเกลี้ยกล่อมเขาตอนที่ตื่นขึ้นอีกครั้ง เวลานั้นเขาควรจะตอบตกลง”
หลินม่ายพยักหน้า “ดีมาก”
ในเวลานี้โต้วโต้ววิ่งขึ้นมาชั้นบนและเรียกพวกเธอให้ลงไปรับประทานอาหารเย็นที่ชั้นล่าง
หลินม่ายหันไปพูดกับเถาจืออวิ๋น “พี่ลงไปกินอาหารเย็นที่ชั้นล่างก่อน เดี๋ยวฉันจะแวะไปหาจั๋วเยวี่ยสักหน่อย”
เธอเดินมาที่ประตูห้องของฟางจั๋วเยวี่ย และค่อย ๆ ผลักประตูให้เปิดออก ก่อนเห็นฟางจั๋วเยวี่ยนั่งอยู่บนพื้นกระเบื้องข้างเตียง ขณะกอดเข่าร้องไห้เหมือนเด็กน้อย
หลินม่ายผงะและรีบเข้าไปหา “เป็นอะไรไป ทำไมมานั่งร้องไห้ตรงนี้?”
ฟางจั๋วเยวี่ยเงยหน้าอันหล่อเหลาที่เต็มไปด้วยคราบน้ำตาพลางพูดอย่างน่าสงสารว่า “พี่สะใภ้ จืออวิ๋นจากไปแล้ว หล่อนบอกว่าจะไม่ทิ้งผมไปไหนอีก แต่หล่อนก็โกหกผม…”
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
บกพร่องในหน้าที่ครูประจำชั้นเพื่อจะเดินทางลัด ผลคือซวยกว่าเดิมอีก โทษใครไม่ได้นะคุณครู โทษตัวเองเถอะที่มาเล่นงานผิดคน
ไหหม่า(海馬)