แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 940 ไป๋เหยียนเป็นแม่สื่อ
ตอนที่ 940 ไป๋เหยียนเป็นแม่สื่อ
เมื่อทราบทุกสิ่งที่อยากทราบแล้ว หลินม่ายจึงกล่าวลาแขกที่กำลังนินทาอยู่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มและค่อนข้างสุภาพ
ก่อนจะออกไป เธอได้ยินแขกคนนั้นถามแขกคนอื่น ๆ ว่า รู้หรือไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับโยมิ อาซากุสะ?
หลินม่ายลอบนึกคิดในใจ ตอนนี้ทุกคนคงไม่รู้ แต่อีกไม่นานทุกคนจะรู้จากปากที่เปรียบเสมือนลำโพงของคุณ
เวลานี้เธอไม่สนใจเสียงซุบซิบนินทาของแขกเหรื่ออีกต่อไป เดินไปหาแขกผู้หญิงที่พยายามยั่วยุเธอกับโต้วโต้วให้แตกแยกกันก่อนหน้า และเชิญให้พวกเขามากับเธอด้วยน้ำเสียงเย็นชา
สามีของแขกผู้หญิงคนนั้นเป็นหนึ่งในผู้จัดหาวัสดุสำหรับโรงงานเครื่องประดับไป๋เหอของเธอ
ทั้งแขกหญิงและชายคู่นี้ต่างประหลาดใจ เพราะเวลานี้งานเลี้ยงกำลังจะเริ่ม แต่หลินม่ายกลับต้องการเรียกให้พวกเขาออกมาหา โดยไม่ทราบว่าเพราะเหตุใด
แต่พวกเขาต้องออกไปกับหลินม่ายแต่โดยดี เพราะอย่างไรแล้วหลินม่ายก็คือผู้มีพระคุณ
หากหลินม่ายไม่ซื้อของจากโรงงานของพวกเขา โรงงานของพวกเขาอาจจะไม่มีอายุยาวนานถึงเพียงนี้แน่นอน
เมื่อทั้งสามเดินผ่านโต๊ะที่มีการลงทะเบียนของขวัญสำหรับแขกตรงทางเข้าโรงแรม หลินม่ายจึงหยุดฝีเท้าลง
เธอชี้คู่รักที่ยืนอยู่ด้านข้างก่อนจะหันไปกล่าวกับเสิ่นเสี่ยวผิงซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบโซนนี้ว่า “หาซองแดงของครอบครัวนี้แล้วเอามาให้ฉันหน่อย”
เสิ่นเสี่ยวผิงเงยหน้ามองทั้งสองคน ก่อนจะถามชื่อพวกเขา จากนั้นจึงเริ่มคุ้ยซองแดงตรงหน้า
คู่สามีภรรยารู้สึกว่ามีบางอย่างผิดปกติแล้ว ทั้งสองถามหลินม่ายว่าเธอคิดจะทำอะไร?
แต่หลินม่ายไม่ตอบ ก่อนจะหยิบซองแดงจากเสิ่นเสี่ยวผิงยัดใส่กระเป๋าเสื้อโค้ทของตัวเอง
ก่อนจะพาคู่รักนี้ออกไปยืนที่ถนนด้านหน้าของโรงแรม
หล่อนหยิบซองแดงออกจากกระเป๋าแล้วยื่นให้คู่รักทั้งสองคนนั้นทันที
“นี่คือเงินของขวัญที่พวกคุณมอบให้ฉัน ฉันขอคืนให้พวกคุณค่ะ แล้วก็โปรดเชิญทั้งสองคนกลับไปได้แล้ว ฉันไม่ต้อนรับพวกคุณ”
ทั้งคู่ยิ่งตกตะลึงและไม่เข้าใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
คู่รักเหล่านั้นกระวนกระวายจนเหงื่อเม็ดใหญ่ผุดขึ้นบนหน้าผาก “หัวหน้าหลิน พวกเราทำอะไรผิด ทำไมคุณถึงต้องขับไล่เราออกจากงานด้วยล่ะ?”
หลินม่ายพูดถึงเรื่องก่อนหน้านี้ให้พวกเขารับฟัง ใบหน้าของเธอเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม “ฉันรับเลี้ยงโต้วโต้ว พวกคุณก็รู้ดี แต่ภรรยาของคุณยังพูดจาแบบนั้นกับเธอ อย่างนั้นจะให้ฉันปล่อยให้คุณกับภรรยาอยู่ในงานเลี้ยงต่อไปได้ยังไงล่ะคะ? ฉันกลัวว่าหลังจากงานเลี้ยงวันเกิดลูกฉันจบลง ความสัมพันธ์แม่ลูกระหว่างฉันกับโต้วโต้วก็คงจะจบไปด้วย”
เวลานี้ภรรยาของเขากล่าวพึมพำด้วยความเสียใจ “มันก็เป็นเพียงการหยอกล้อที่คนอื่นมักจะทำไม่ใช่เหรอคะคุณหลิน… คุณจะทำให้เรื่องไร้สาระนี้กลายเป็นเรื่องใหญ่เลยเหรอ?”
นี่ไม่ใช่เรื่องไร้สาระ มีผู้ใหญ่สักกี่คนกันที่กล่าวแบบนี้ออกมาโดยไม่มีเจตนาร้าย
ก่อนหลินม่ายจะได้ตอบกลับ เวลานี้สามีของหล่อนตะคอกใส่หน้าของภรรยาตนเองอย่างเกรี้ยวกราด “หุบปากเดี๋ยวนี้!” จากนั้นเขาพยายามกล่าวขอโทษหลินม่ายต่อไป
แต่หลินม่ายโบกมือ “ไม่จำเป็นต้องขอโทษอะไรแล้วล่ะค่ะ และเราสองคนจะไม่มีการร่วมงานกันอีกในอนาคต” หลังพูดจบ เธอก็หันหลังและเดินออกไปทันที
ผู้เป็นสามีพยายามเดินตามหลินม่ายเพื่อขอร้องให้เธอยกโทษให้กับภรรยาของเขา และอย่าได้ยุติธุรกิจที่ทำร่วมกัน
แต่หลินม่ายใจแข็งและไม่คิดยอมแต่โดยดี เธอไม่ยอมแม้แต่จะมองพวกเขาด้วยซ้ำ นับประสาอะไรกับการขอให้เปลี่ยนใจ
เมื่อเห็นว่าผู้เป็นสามีกำลังจะติดตามเข้ามาในโรงแรม หลินม่ายหันไปกล่าวกับเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย “หยุดพวกเขาไว้ อย่าให้เข้ามาเด็ดขาด”
ชายผู้นั้นตกตะลึงอยู่ด้านนอก เขาไม่มีทางเลือกนอกจากหันไปต่อว่าภรรยาของตนก่อนจะเดินกลับไป
ทันทีที่หลินม่ายกลับเข้ามาในโรงแรม ฟางจั๋วหรานส่งคุณปู่ไป๋และคุณย่าไป๋ไปยังที่นั่ง และพาคุณตาหลัวกับคุณยายหลัวมาที่โต๊ะของคุณปู่ฟางและคุณย่าฟาง
ทันทีที่เห็นหลินม่ายเดินเข้ามา เขาเดินไปหาเธอพร้อมกล่าวกระซิบ “งานเลี้ยงกำลังจะเริ่มแล้ว แต่พ่อกับพี่เขยยังไม่มาเลย”
ทันทีที่พูดจบ เขาเห็นพ่อไป๋เดินเข้ามาพร้อมกับไป๋ลู่ และพี่น้องของพวกเขา
ทั้งพ่อและลูกชายทั้งสามถือกระเช้าของขวัญห่อด้วยกระดาษสีแดงสด มันดึงดูดความสนใจจากแขกในงานทันที
ในฐานะครอบครัวลูกเขย ฟางเว่ยกั๋วรีบกล่าวทักทายและรับกระเช้าของขวัญจากคุณพ่อไป๋
ทั้งสองฝ่ายพูดคุยกันอย่างมีความสุข เวลานี้ฟางเว่ยกั๋วจัดแจงที่นั่งให้กับคุณพ่อไป๋เป็นการส่วนตัวแล้ว
ส่วนฟางจั๋วหรานจัดที่นั่งให้กับพี่สะใภ้และเหล่าน้องเขยของเขา เวลานี้ไป๋เหยียนโบกมือ “ลูลู่กับเซี่ยเซี่ยมานั่งที่โต๊ะของฉันสิ”
ไป๋เซี่ยกับไป๋ลู่เดินเข้ามา
ไป๋เหยียนให้ไป๋เซี่ยนั่งลงระหว่างหล่อนกับจ้าวเชี่ยนหรู ส่วนไป๋ลู่นั่งอีกฝั่งด้านข้างของหล่อน
ไป๋เซี่ยหันมองพี่สาวด้วยสายตาประหลาดใจ และรู้สึกว่าที่นั่งของเขาไม่ค่อยเหมาะสมสักเท่าใด
ไม่ควรให้ลูลู่นั่งข้างผู้หญิงคนนี้หรอกเหรอ? ทำไมถึงจัดให้เขานั่งข้างผู้หญิงคนนี้ล่ะ?
ไป๋เหยียนมีเจตนาบางอย่าง ถึงจัดให้ไป๋เซี่ยนั่งข้างกับจ้าวเชี่ยนหรู
ทั้งหล่อนกับจ้าวเชี่ยนหรูมาก่อนเวลาและนัดกันมาแล้วในก่อนหน้านี้
ทั้งสองพูดคุยกันอย่างมีความสุข อีกทั้งไป๋เหยียนยังมีความประทับใจที่ดีต่อจ้าวเชี่ยนหรูด้วย หล่อนรู้สึกว่าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิงที่ดี มีการศึกษา มีเหตุผล รูปร่างสวย และภูมิหลังครอบครัวยอดเยี่ยม
เวลานี้ไป๋เหยียนจึงต้องการแนะนำให้ไป๋เซี่ยรู้จักกับหล่อน แต่หล่อนก็ยังรู้สึกว่าสถานะของตนไม่ได้เหมาะสมเท่าไรนัก ไม่สามารถเปิดประตูแม่สื่อได้เต็มที่ เวลานี้จึงทำได้เพียงวางไป๋เซี่ยให้นั่งลงข้างจ้าวเชี่ยนหรูเท่านั้น
คงจะดีไม่น้อยหากทั้งสองคนนี้รู้จักกันและกัน และพูดคุยกันเองได้ ถึงจะไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง ก็ยังเป็นเพื่อนกันได้
ทว่าไป๋เซี่ยกลับไม่รู้เจตนาของพี่สาว เขาคือสุภาพบุรุษที่ดี ไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าฝ่ายหญิง เพราะกลัวว่าจะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกเกลียดชัง
ไป๋เหยียนเฝ้ามองสถานการณ์ทั้งหมดด้วยความกระวนกระวายเล็กน้อย เวลานี้งานเลี้ยงก็เริ่มต้นขึ้นแล้ว บริกรเสิร์ฟไก่ตุ๋นหนึ่งจานวางไว้กลางโต๊ะอาหาร
ไป๋เหยียนเห็นแล้วว่าจ้าวเชี่ยนหรูมองจานนั้นหลายครั้งทว่าไม่กล้าขยับตะเกียบ
หล่อนจึงเดาว่าเป็นเพราะจานอยู่ห่างไปสักหน่อย เวลานี้หากเอื้อมมือไปคีบ มันจะทำให้ภาพลักษณ์ดูแย่เอาได้
ไป๋เหยียนอดไม่ได้ที่จะกระตุ้นน้องชายของตน “ทำไมเอาแต่ก้มหน้าก้มตากินอยู่คนเดียว คีบไก่ตุ๋นสักชิ้นสองชิ้นให้สหายจ้าวเชี่ยนหรูบ้างไม่ได้หรือไง? ไม่เห็นเหรอว่าหล่อนคีบมันไม่ถึง”
ได้ยินอย่างนั้นแล้ว ไป๋เซี่ยรีบเอื้อมมือคีบไก่สองชิ้นใส่ชามเล็กให้กับจ้าวเชี่ยนหรูทันที
จ้าวเชี่ยนหรูกล่าวขอบคุณอย่างสุภาพ
ไป๋เหยียนหันไปกล่าวกับเธอว่า “ขอบคุณอะไรกัน? เขาเป็นน้องชายของฉันเองค่ะ ชื่อไป๋เซี่ย จบปริญญาโทจากมหาวิทยาลัยของปักกิ่ง สาขาธรณีศาสตร์ เป็นเด็กวิทย์น่ะค่ะ คนพวกนี้น่าเบื่อมากนะคะ เห็นผู้หญิงตักอาหารไม่ถึงก็ยังไม่รู้จักช่วย”
หากจ้าวเชี่ยนหรูไม่โง่เขลา เมื่อไป๋เหยียนกล่าวแนะนำไป๋เซี่ยอย่างนี้ เธอย่อมเข้าใจว่าอีกฝ่ายจะสื่ออะไร
จ้าวเชี่ยนหรูยกยิ้มเขินอายก่อนจะลอบชำเลืองมองไป๋เซี่ยเล็กน้อย
ตัวเขาเองก็ค่อนข้างหล่อ แต่หากเทียบกับฟางจั๋วเยวี่ยแล้วยังค่อนข้างห่างชั้น
เมื่อนึกถึงเรื่องนี้ จ้าวเชี่ยนหรูมองหาฟางจั๋วเยวี่ยที่นั่งอยู่อีกโต๊ะโดยไม่ตั้งใจ
แต่กลับไม่คาดคิดว่าฟางจั๋วเยวี่ยก็กำลังมองมาที่หล่อนด้วยเช่นกัน
ใบหน้าของจ้าวเชี่ยนหรูกลายเป็นสีแดงเรื่อ กลัวว่าฟางจั๋วเยวี่ยจะเข้าใจผิดว่าหล่อนแอบมองเขา
เวลานี้หล่อนลอบถกเถียงในใจว่าไม่ได้แอบมองเขาสักหน่อย เธอแค่จะเปรียบเทียบกับไป๋เซี่ยเท่านั้น
แต่ใครจะเชื่อหล่อน?
จ้าวเชี่ยนหรูก้มหน้าก้มตารับประทานอาหารต่อไปเพื่อปกปิดความอับอาย
เวลานี้บริกรเสิร์ฟลูกชิ้นหัวสิงโตตุ๋นวางไว้กลางโต๊ะเช่นเคย
ไป๋เซี่ยนึกถึงสิ่งที่พี่สาวใหญ่กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ ว่าสมองของเขาด้านชาเกินกว่าจะดูแลผู้หญิงคนไหน เวลานี้เขาจึงตักลูกชิ้นหัวสิงโตตุ๋นใส่ชามเล็กให้กับจ้าวเชี่ยนหรูด้วยตัวเอง
การเคลื่อนไหวที่เรียบง่ายนี้ช่วยบรรเทาความลำบากใจของจ้าวเชี่ยนหรูได้โดยไม่ตั้งใจ คล้ายกับเพื่อนชายที่ดี
แม้จ้าวเชี่ยนหรูจะไม่ใช่เด็กสาวไร้เดียงสา แต่หล่อนก็ต้องรักษาใบหน้าของตัวเอง โดยเฉพาะเมื่ออยู่ต่อหน้าผู้ชายที่หล่อนปฏิเสธ
หลังจากเห็นจ้าวเชี่ยนหรูไม่ปฏิเสธและยอมรับมารยาทของน้องชายตน ไป๋เหยียนลอบยินดีอยู่ภายในใจ
หลินม่ายและสามีของเธอพาเสี่ยวมู่ตงเดินไปพบแขกทีละโต๊ะ
เด็กน้อยมาหาพ่อไป๋กับแม่ไป๋ พ่อไป๋หยอกล้อกับเด็กชายสักครู่ก่อนจะหยิบสร้อยข้อมือทองกับเงินออกมาจากกระเป๋ากางเกงส่งให้เด็กชายตัวเล็กรับไว้
ของขวัญที่เด็กชายได้รับส่วนใหญ่ในวันนี้จะเป็นสร้อยข้อมือทองและเงิน
เวลานี้เสี่ยวมู่ตงยังพูดไม่ได้ แต่เขาก็ดูเข้าใจทุกอย่างรอบตัวแล้ว
พี่เสี่ยวเหวินบอกกับเขาก่อนหน้านี้ว่ากำไลทองและเงินมีค่า เขาไม่ควรโยนทิ้งไปดื้อ ๆ
คุณพ่อไป๋มอบสร้อยข้อมือเงินและทองให้ เขาพูดอ้อแอ้สองสามคำขณะหันมาหาหลินม่าย เป็นเชิงว่าให้หลินม่ายเก็บมันไว้ให้เขา
หลินม่ายหยิบกำไลสองชิ้นจากเขาพร้อมใส่ไว้ในกระเป๋าเสื้อก่อนจะหันไปพูดกับพ่อตัวเองว่า “ซื้อกำไลเงินคู่เดียวก็พอแล้วค่ะ จะซื้อกำไลทองมาทำไมล่ะคะ? พี่ชายกับน้องสาวยังไม่มีครอบครัวเลย พ่อควรจะเก็บเงินไว้ให้พวกเขาแต่งงานนะคะ”
คุณพ่อไป๋ยกยิ้มราวกับมีบางอย่างคิดปิดบัง แต่เขาก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ
งานเลี้ยงวันเกิดของเสี่ยวมู่ตงดำเนินไปจนกระทั่งบ่ายสามโมง
ทุกคนเดินทางมาที่นี่ด้วยความสะดวกสบาย แต่ขณะที่พวกเขาดื่มสุราในงานเลี้ยงและกำลังจะกลับบ้าน ก็พบว่ามีหิมะตกหนักอยู่บนถนน และบนพื้นทั้งหมดเต็มไปด้วยหิมะหนาเตอะ
แขกส่วนใหญ่มีฐานะร่ำรวยและเดินทางด้วยรถยนต์ทั้งสิ้น
พวกเขาเดินทางมาด้วยวิธีที่แตกต่างกันออกไป บางคนใช้รถสาธารณะ และบางคนใช้รถส่วนตัว
ฟางจั๋วหรานและหลินม่ายพร้อมด้วยฟางเว่ยกั๋วกับคนอื่น ๆ ส่งแขกที่มีอายุมากกว่าขึ้นรถทีละคน
ส่วนผู้ที่ไม่มีรถก็รอเรียกแท็กซี่เพื่อส่งพวกเขากลับบ้าน เตรียมการทุกอย่างด้วยความรอบคอบและระมัดระวังอย่างยิ่ง
หลังจากส่งแขกทั้งหมดกลับแล้ว หลินม่ายพร้อมสามีกลับมาที่โรงแรมเพื่อเก็บกวาดลูกอมและบุหรี่ที่ยังเหลืออยู่
คราวนี้เธอหันไปเห็นจ้าวเชี่ยนหรูกำลังปั่นจักรยานกลับบ้าน
หลินม่ายลอบยกนิ้วให้หล่อนในใจ น้อยมากที่หญิงสาวในตระกูลใหญ่จะใช้ชีวิตอย่างเรียบง่าย
หล่อนไม่ใช้รถของครอบครัวเมื่อต้องเดินทางไปไหน แต่กลับใช้รถจักรยานเท่านั้น
จ้าวเชี่ยนหรูถีบจักรยานไปเพียงไม่กี่เมตร สุดท้ายก็ลื่นล้มพร้อมกับรถจักรยานของตน
คุณพ่อไป๋และคนอื่น ๆ ยังไม่ได้ออกจากสถานที่แห่งนี้
ไป๋เหยียนดีใจมากที่เห็นว่าน้องชายมีโอกาสได้แสดงน้ำใจแล้ว
หล่อนกระทุ้งแขนไป๋เซี่ยก่อนจะชี้ไปทางจ้าวเชี่ยนหรู “เสี่ยวจ้าวล้มขนาดนั้น รีบไปช่วยหล่อนเร็วเข้า”
ไป๋เซี่ยรีบวิ่งไปหาจ้าวเชี่ยนหรูทันที
หลินม่ายและสามีที่เห็นเหตุการณ์คิดช่วยจ้าวเชี่ยนหรูเช่นกัน แต่พวกเขาหยุดฝีเท้าเมื่อเห็นไป๋เซี่ยเข้าไปแล้ว
พวกเขาทั้งหมดเป็นคนมีเหตุผล มันคงไม่เลวหากไป๋เซี่ยได้แสดงความดีความชอบในครั้งนี้
ดูเหมือนว่าการล้มของจ้าวเชี่ยนหรูจะไม่ใช่เรื่องเล็กน้อย ขาของหล่อนบาดเจ็บด้วย
ไป๋เซี่ยพยุงให้หล่อนนั่งบนเบาะของจักรยานก่อนจะช่วยเข็นออกไป
เห็นอย่างนั้นแล้วไป๋เหยียนได้แต่ยกยิ้มอย่างยินดี
หลินม่ายหยิบบุหรี่พร้อมด้วยลูกอมที่ยังเหลือให้กับพี่สาวและคุณพ่อไป๋
เพราะนี่ก็ใกล้ถึงวันปีใหม่แล้ว บุหรี่กับลูกอมคงใกล้จะหมด
เวลานี้พ่อไป๋กล่าวออกมาอ้อมแอ้มว่า “ก่อนหน้านี้ลูกบ่นว่าพ่อไม่ควรซื้อสร้อยข้อมือสองคู่ใช่ไหม? ไม่ใช่พ่อหรอกที่เป็นคนซื้อ พ่อน่ะซื้อกำไลเงิน ส่วนกำไลทอง… แม่เป็นคนซื้อ หล่อนขอให้พ่อมอบมันให้กับเสี่ยวมู่ตงในนามของตัวเอง แต่หลังจากมาคิดใคร่ครวญเรื่องนี้แล้ว พ่อก็รู้สึกว่าลูกควรจะรู้ไว้ ถ้าลูกยินดีจะรับกำไลทองนั้นจากแม่ ก็รับไว้เถอะ แต่ถ้าไม่เต็มใจก็คืนมันมาแล้วกัน เดี๋ยวพ่อจะเอาไปคืนแม่ให้”
พ่อไป๋กับลูกสาวเกือบมาสายในวันนี้ก็เพราะคุณแม่ไป๋มาขัดขวางระหว่างทาง เพื่อจะขอร้องให้เขามอบกำไลทองนี้ให้กับเสี่ยวมู่ตง
หลินม่ายหยิบกำไลทองคำเส้นเล็กที่คุณแม่ไป๋ซื้อให้ออกมาอย่างไม่ต้องคิด ก่อนจะยื่นมันคืนให้กับคุณพ่อไป๋
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
วางแผนจับคู่ให้น้องชายเสียแล้วพี่สาวใหญ่ แล้วเนียนมากด้วย
ไหหม่า(海馬)