แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 941 โต้วโต้วอยากสวมเครื่องประดับทอง
ตอนที่ 941 โต้วโต้วอยากสวมเครื่องประดับทอง
เมื่อทั้งครอบครัวกลับจากโรงแรม หลินม่ายถอดเครื่องประดับทองคำทั้งหมดออกจากร่างกายของเสี่ยวมู่ตง
แน่นอนว่าของเหล่านี้สามารถสวมใส่ในงานเลี้ยงวันเกิดได้ แต่มันดูอึดอัดเกินไปหน่อยหากใส่มันในวันปกติ
เวลานี้โต้วโต้วพูดขึ้นมาอย่างอดไม่ได้ “แม่จ๋า หนูอยากใส่เครื่องทองพวกนี้”
นับตั้งแต่รับโต้วโต้วมาเลี้ยง หลินม่ายจะซื้อเครื่องประดับทองคำให้เป็นของขวัญสำหรับหล่อนในวันเกิดทุกปี แต่เพราะอีกฝ่ายไม่ค่อยอยากจะสวมใส่ และไม่เคยบอกกล่าว เธอเลยไม่ได้ใส่ให้ แต่วันนี้หล่อนกลับพูดว่าต้องการใส่มัน
หลินม่ายถามอย่างประหลาดใจ “ทำไมจู่ ๆ อยากจะใส่ขึ้นมาล่ะจ๊ะ?”
โต้วโต้วเม้มปากก่อนจะกล่าวเสียงแผ่ว “คุณน้าคนนั้นบอกว่าน้องชายหนูมีเครื่องประดับทองใส่เยอะแยะ แต่ของหนูไม่มีเพราะถูกเก็บมาเลี้ยง หนูอยากใส่เครื่องทองเพราะอยากให้พวกเขาเห็นว่าถึงแม่จะเก็บหนูมาเลี้ยง แต่แม่ก็รักพวกเราเท่ากัน”
หลินม่ายไม่คิดว่าโต้วโต้วจะถูกคนอื่นโน้มน้าวอย่างง่ายดายเช่นนี้มาก่อน
เธอกำลังคิดว่าควรจะสอนเด็กน้อยอย่างไรดี แต่เวลานี้เสี่ยวเหวินที่ยืนอยู่ด้านข้างกล่าวขึ้นว่า “แล้วคุณอาปฏิบัติกับเธอดีไหม? แค่นี้ก็ไม่รู้เหรอว่าคุณอารักหรือไม่รัก?”
โต้วโต้วพยักหน้า “รู้ค่ะ”
เสี่ยวเหวินพูดต่อ “ถ้าเธอรู้แล้ว อย่างนั้นจะอยากพิสูจน์ให้คนอื่นรู้ทำไม?”
โต้วโต้วก้มหน้าลงเงียบไปเนิ่นนาน
หลินม่ายลูบศีรษะน้อย ๆ อย่างอ่อนโยนก่อนจะพูดว่า “สิ่งที่พี่เสี่ยวเหวินพูดออกมาก็มีเหตุผลนะจ๊ะ ไม่จำเป็นต้องสนใจคำพูดของคนอื่นหรอก ปกติแล้วเราจะไม่สวมใส่เครื่องทองในวันปกติ แต่เราจะสวมใส่ในวันสำคัญเท่านั้นจ้ะ”
โต้วโต้วยิ้มกว้างทันที “ถ้าอย่างนั้นแม่ก็จะใส่เครื่องทองให้หนูใช่ไหม!”
เครื่องประดับทองคำทั้งหมดที่หลินม่ายซื้อให้โต้วโต้วล้วนอยู่ในห้องของเธอ
เธอเข้าไปในห้อง ก่อนจะหยิบจี้สร้อยคอทองคำซึ่งผูกไว้ด้วยเชือกสีแดงสวมใส่ให้กับโต้วโต้ว “ใส่สักสองวันแล้วกัน เดี๋ยวหลังวันปีใหม่ค่อยถอดออก”
หลินม่ายไม่อยากให้โต้วโต้วใส่สร้อยคอทองคำไปโรงเรียน เพราะกลัวว่าหล่อนจะกลายเป็นคนโอ้อวด
โต้วโต้วพยักหน้าก่อนจะมองจี้ทองคำที่ลำคอ เวลานี้เธอพึมพำ “เล็กจัง”
หลินม่ายตอบว่า “มันไม่เล็กเกินไปหรอก จี้นี้หนักตั้ง 6-7 กรัม มันเป็นขนาดสำหรับเด็ก อีกอย่างจี้ทองนี้ไม่ใช่ว่าผู้ใหญ่ทุกคนจะมีได้”
“แต่ว่า… น้องชายมีทั้งกำไลทองล็อกเก็ตทอง หนักเยอะกว่าของหนูอีก”
“ห้ามเปรียบเทียบ!” หลินม่ายดุ
โต้วโต้วเม้มปากแน่น
เธออยากจะสอนโต้วโต้วต่ออีกสักหน่อย แต่โทรศัพท์ดังขึ้นก่อน เธอจึงต้องปลีกตัวไปรับสาย
สายนี้มาจากผู้กำกับภาพยนตร์เรื่องมนต์รักเขาหลูซาน เขาถามหลินม่ายว่าจดจำข้อตกลงที่ให้ไว้กับเขาได้หรือไม่
หลินม่ายคิดสักครู่ก่อนจะพูดว่า “ฉันไม่เคยตกลงอะไรกับคุณนะคะ!”
ผู้กำกับหวงกล่าวเตือน “คุณคงลืมไปแล้วล่ะสิ ผมเคยบอกว่าอยากจะสร้างภาพยนตร์เกี่ยวกับนักศึกษาหญิง และจะให้คุณเป็นนางเอกเบอร์หนึ่ง”
เวลานี้หลินม่ายจดจำเหตุการณ์นั้นได้แล้วตอบกลับอย่างไม่ค่อยยินดีนัก “แต่ฉันไม่ได้สัญญานี่คะ”
“งั้นก็สัญญาซะสิ”
หลินม่ายพูดต่อ “ฉันแต่งงานจนมีลูกแล้ว จะไปเล่นเป็นนางเอกได้ยังไงคะ?”
ผู้อำนวยการหวงประหลาดใจเล็กน้อย “คุณรวดเร็วขนาดนั้นเชียวเหรอ? แต่งงานและมีลูกรวดเร็วขนาดนี้!”
หลินม่ายพูดต่อว่า “หากวันใดคุณได้พบกับคนที่อยากจะแก่ชราไปด้วยกัน คุณก็จะรู้สึกว่าเวลาผ่านไปเร็วล่ะค่ะ”
ฟางจั๋วหรานที่นั่งอยู่ใกล้ ๆ ถึงกับอบอุ่นใจเมื่อได้ยินอย่างนั้น
ทั้งสองพูดคุยกันพักหนึ่ง แต่หลินม่ายตั้งใจแล้วว่าจะไม่ยอมรับข้อเสนอ เวลานี้ผู้กำกับหวงจึงต้องถอดใจยอมแพ้
หลังจากพูดคุยกันเสร็จแล้ว หลินม่ายก็ลืมเรื่องที่จะสอนโต้วโต้วไปสนิท
วันปีใหม่สากลมีวันหยุดแค่วันเดียวเท่านั้น หลินม่าย เสี่ยวเหวิน โต้วโต้วต้องไปโรงเรียนในวันพรุ่งนี้
ระหว่างรับประทานมื้อเย็น จู่ ๆ ฟางจั๋วหรานก็พูดขึ้นว่าพรุ่งนี้เขาจะไปทำงานเป็นวันแรก
ทั้งครอบครัวถึงกับตกตะลึง
คุณย่าฟางถามทันที “ตกลงกันไว้ว่าจะไปทำงานในเดือนมีนาคมไม่ใช่เหรอ?”
ฟางจั๋วหรานตักปลาตุ๋นใส่ชามของคุณย่าฟางแล้วพูดว่า “อาการบาดเจ็บของผมหายเป็นปกติแล้วล่ะครับ ถ้ายังอยู่ที่บ้านต่อไปผมจะกลายเป็นคนไร้ประโยชน์นะครับ”
ฟางเว่ยกั๋วและคนอื่น ๆ พยายามโน้มน้าวให้ฟางจั๋วหรานพักฟื้นจากการบาดเจ็บสักระยะแล้วค่อยกลับไปทำงาน
แต่สุดท้ายแล้วเขาไม่ยินยอม และบอกว่าอาจจะฟื้นตัวช้าเล็กน้อย แต่สามารถทำการผ่าตัดช่วยเหลือคนได้ถึงสองสามคนแล้ว
เมื่อฟางจั๋วหรานยืนกรานอย่างนั้น ทุกคนจึงทำได้เพียงยินยอม
ในตอนกลางคืน หลินม่ายนอนเคียงข้างเขาบนเตียง เธอหนุนแขนของเขาอย่างใกล้ชิดแล้วถามว่า “อาการบาดเจ็บของคุณดีขึ้นแล้วเหรอคะ? พรุ่งนี้ยังไม่ต้องไปทำงานหรอก หลังปีใหม่สากลค่อยไปก็ได้นะคะ”
ฟางจั๋วหรานจูบหน้าผากของเธอก่อนจะพูดว่า “ยังไม่หายดีหรอกครับ แต่ก็หายเก้าในสิบแล้วแหละ ผมพอทำงานได้อยู่ ไม่ต้องห่วงนะ”
แล้วจะไม่ให้หลินม่ายกังวลได้อย่างไร?
เช้าวันต่อมา ฟางเว่ยกั๋วพร้อมครอบครัวก็กลับไป
ฟางจั๋วเยวี่ยวางแผนซื้อเรือนสี่ประสานเมื่อปีที่ผ่านมาแล้ว เวลานี้เขากับเถาจืออวิ๋นจึงออกไปรับชมเรือนสี่ประสานด้วยความสบายใจ
ฟางเว่ยกั๋วและคนอื่น ๆ ออกไปหมดแล้ว ได้เวลาออกไปทำงานกับเรียนหนังสือ
หลินม่ายเรียกแท็กซี่ให้ฟางจั๋วหราน ขณะไปส่งเขาขึ้นรถ เธอก็เน้นย้ำกับเขาว่า “การทำงานวันแรก คุณทำแค่เรื่องที่ทำได้ก็พอนะคะ ถ้าร่างกายยังไม่พร้อม คุณก็อย่าเพิ่งรับเคสผ่าตัดหนักเลยนะ นอกจากจะดูแลตัวเองไม่ได้ มันจะเป็นการทำร้ายคนไข้ด้วย”
หลินม่ายไม่ใช่คนจู้จี้ แต่ฟางจั๋วหรานกลับรู้สึกว่าการที่ภรรยาจู้จี้กับตนในคราวนี้ค่อนข้างดีไม่น้อย
ทั้งหมดนี้เป็นเพราะภรรยารักเขามาก
เขายกยิ้มมีเสน่ห์ให้กับหลินม่าย เมื่อภรรยาพูดจบแล้วเขากล่าวตอบคำเบา “ผมรู้แล้วครับ”
จากนั้นหลินม่ายก็ส่งเขาขึ้นรถ และนั่งแท็กซี่ไปมหาวิทยาลัยเช่นกัน
บนรถแท็กซี่ ฟางจั๋วหรานพักสายตาพร้อมเอนหลังพิงเบาะ เขาได้ยินคนขับแท็กซี่พูดขึ้นว่า “ภรรยาบ่นขนาดนั้นแต่คุณก็ยังอารมณ์ดีได้ ถ้าเป็นผมคงต่อว่าหล่อนไปแล้วล่ะครับ”
ฟางจั๋วหรานยกยิ้มก่อนจะตอบกลับว่า “นั่นเป็นเพราะคุณไม่รู้ถึงเจตนาของคำเหล่านั้น”
คนขับสบถคำเบาหลังจากได้ยินคำพูดนั้น เขารู้สึกไม่เห็นด้วยอย่างยิ่ง
เมื่อฟางจั๋วหรานมาถึงโรงพยาบาล การปรากฏตัวของเขาทำให้เกิดความวุ่นวายในทันที
ทั้งแพทย์และพยาบาลปรี่เข้าหาเขาทีละคน อีกทั้งยังมีคนกล่าวกระซิบกระซาบว่าศาสตราจารย์ฟางดูหน่อมแน้มขึ้นมาก
มุมปากของฟางจั๋วหรานกระตุกเล็กน้อย
คนเหล่านี้มีครูสอนภาษาจีนเป็นครูสอนคณิตศาสตร์หรืออย่างไร? ทำไมจึงใช้คำว่าหน่อมแน้มเพื่อบอกลักษณะของผู้ชาย?
หลังจากเลิกเรียนในช่วงบ่าย หลินม่ายก็เรียกแท็กซี่ไปยังไซต์ก่อสร้างโกลเด้นกลอรี่เรสซิเดนซ์
เมื่อสองวันก่อนเจียวอิงจวิ้นโทรหาเธอ
เขาเล่าให้ฟังว่าชาวบ้านเห็นการสร้างอาคารล้อมรอบหมู่บ้าน
บ้านเตี้ย ๆ ของพวกเขาถูกล้อมรอบแน่นหนา และยังมีทางเข้าออกทางเดียว เวลานี้พวกเขากระวนกระวายราวกับมดเหยียบกระทะร้อน
บวกกับความจริงที่ว่าเฟสแรกของบ้านในโกลเด้นกลอรี่เรสซิเดนซ์กำลังลดราคา ซึ่งหลังที่ถูกที่สุดมีราคาเพียง 70,000 หยวนเท่านั้น
ไม่มีชาวบ้านคนไหนไม่รู้สึกอิจฉาร้อน บ้านเก่า ๆ ของพวกเขาไม่สามารถขายได้แม้จะลดราคาเหลือ 10,000 หยวน
ชาวบ้านลอบเข้าหาเจียวอิงจวิ้นเพื่อขอเซ็นสัญญารื้อถอน และจัดตั้งกลุ่มเพื่อขอเซ็นสัญญาอย่างโปร่งใส
อีกทั้งยังกล่าวด้วยว่าพวกเขายินดีที่จะไม่รับค่าย้ายถิ่นฐาน เพียงแค่ชำระค่าบ้านหลังใหม่ในอัตราส่วน 1:1 ก็พอ
เจียวอิงจวิ้นรู้สึกว่าชาวบ้านเหล่านั้นได้รับการลงโทษสาสมแล้ว และถึงเวลาต้องยุติเรื่องนี้เสียที
หลินม่ายเองก็คิดจะหยุดเรื่องนี้เช่นกัน
ชาวบ้านมารวมตัวกันอยู่ในสำนักงานของเจียวอิงจวิ้นในช่วงบ่ายทันทีที่ได้ยินว่าหลินม่ายจะเข้ามาเพื่อพูดคุยการรื้อถอน
ทันทีที่หลินม่ายปรากฏตัว ชาวบ้านก็ตื่นเต้นจนบ้าคลั่งราวกับเห็นเทพยดามาโปรด เวลานี้พวกเขาร้องขอและอ้อนวอนให้หลินม่ายรื้อถอนบ้านของตนเสีย
หลินม่ายบอกให้ทุกคนหยุด ก่อนจะตกลงเซ็นสัญญารื้อถอนกับพวกเขาอย่างไม่ค่อยพอใจนัก
เธอพูดซ้ำไปซ้ำมาหลายครั้งว่าไม่มีค่าย้ายถิ่นฐานทั้งหมดให้อีกแล้ว และกล่าวถามชาวบ้านซ้ำ ๆ ว่ายังยินดีจะเซ็นหรือไม่?
ชาวบ้านทุกคนตอบกลับทันทีว่ายินดี
สิ่งที่ชาวบ้านคิดในเวลานี้คือต้องการลงนามในสัญญารื้อถอนเท่านั้นก็เพียงพอ สิ่งอื่นพวกเขาไม่ต้องการแล้ว
สุดท้ายเงื่อนไขการรื้อถอนของหลินม่ายก็ไม่ต่ำเกินไป และพวกเขาเห็นด้วยกับเงื่อนไขเหล่านั้น
หลังจากจัดการเรื่องราวเสร็จสิ้นแล้ว หลินม่ายก็ขอตัวกลับก่อน
เจียวอิงจวิ้นส่งเธอออกจากไซต์ก่อสร้างพร้อมกับเรียกแท็กซี่ให้
เขายกยิ้มก่อนจะพูดว่า “ผมคิดว่าคุณหลินจะเซ็นสัญญารื้อถอนกับชาวบ้านด้วยเงื่อนไขเดิมเสียอีก ไม่คิดว่าคุณจะยกเลิกผลประโยชน์ล่อใจก่อนหน้าทั้งหมด”
โดยปกติแล้ว เขามองหลินม่ายว่าเป็นคนคุยง่ายและค่อนข้างมีความปรานี
แม้แต่อาหารทั้งสามมื้อสำหรับแรงงานต่างถิ่นในไซต์ก่อสร้างก็ยังฟรี และยังให้กินจนอิ่ม ไม่ต้องกังวลว่าจะได้รับหมูเพียงไม่กี่ชิ้น
เจียวอิงจวิ้นไม่คิดมาก่อนว่าต่อให้หัวหน้าหลินจะขุ่นเคืองชาวบ้านเหล่านี้มากแค่ไหน แต่ก็คงจะไม่ยอมยกเลิกผลประโยชน์ทดแทนการรื้อถอนเหล่านั้น
แต่เขาคิดผิด เธอยกเลิกทุกสิ่งและเหลือแค่ที่จำเป็นเท่านั้น และนี่เป็นเรื่องที่เขาคาดไม่ถึงมาก่อน
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
โต้วโต้วเริ่มงอแงแล้วน้า ยิ่งโตยิ่งเข้าวัยต่อต้าน
ตอนนั้นถ้ายอมเซ็นย้ายบ้านก็ได้ประโยชน์มากกว่านี้ มาเสียดายทีหลังก็ช้าไปแล้วล่ะ
ไหหม่า(海馬)