แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 942 ภรรยาหัวหน้าผู้รับเหมาหู
ตอนที่ 942 ภรรยาหัวหน้าผู้รับเหมาหู
หลินม่ายพูดอย่างใจเย็น “ถึงฉันอยากจะทำแบบนั้น แต่ความเป็นจริงก็ทำไม่ได้หรอก ถ้าฉันทำเช่นนั้น ครั้งต่อไปที่เราพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ จะมีครัวเรือนที่ถือครองมากขึ้นซึ่งก่อให้เกิดปัญหา แต่ครัวเรือนที่ถูกรื้อถอนจะไม่ประสบความสูญเสียใด ๆ หากพวกเขาชนะข้อเรียกร้องผ่านการประท้วง พวกเขายังได้รับประโยชน์มากขึ้นอีกด้วย แล้วทำไมครัวเรือนเหล่านั้นถึงไม่ทำเช่นเดียวกันล่ะ? แล้วเราจะทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ต่อไปได้อย่างไร? ที่ทำแบบนี้ เพราะฉันอยากจะเชือดไก่ให้ลิงดูกับครัวเรือนที่ต้องเผชิญกับการรื้อถอนบ้านในภายหน้าต่างหาก”
เมื่อเธอกลับถึงบ้าน ก็พบว่าฟางจั๋วหรานเลิกงานกลับมาแล้ว
หลินม่ายถามเขาว่าเหนื่อยจากงานไหม ร่างกายทนไหวหรือเปล่า
วันนี้เป็นวันแรกที่ฟางจั๋วหรานกลับไปทำงานหลังได้รับบาดเจ็บ เธอจึงเป็นห่วงเขามาก
การผ่าตัดยากยิ่งกว่าการเคลื่อนย้ายอิฐ และต้องใช้แรงใจแรงกายอย่างมาก
ฟางจั๋วหรานลูบศีรษะของเธอพลางบอกว่า “สามีของคุณไม่ได้อ่อนแอขนาดนั้นนะ วันนี้ผมผ่าตัดไปสองเคส ยังรู้สึกกระปรี้กระเปร่าอยู่เลย”
ความจริงแล้วเขาทำการผ่าตัดได้มากกว่าสองครั้ง แต่หัวหน้าของเขาปฏิเสธเพราะเกรงว่าร่างกายเขาจะทนไม่ไหว
ฟางจั๋วหรานยกแขนของหลินม่ายที่ถูกมีดเฉือน “ช่วงนี้งานผมไม่ค่อยหนัก คุณควรจะหาเวลาไปโรงพยาบาลให้ผมรักษาอาการบาดเจ็บที่แขนของคุณอีกครั้ง หลังวันสิ้นปี อากาศจะอุ่นขึ้นอีก และอีกไม่กี่เดือนก็จะเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว หากคุณไม่รีบกำจัดรอยแผลเป็นนั้นก่อนฤดูร้อน การใส่เสื้อแขนสั้นหรือแขนกุดจะดูน่าเกลียดมาก!”
หลินม่ายดึงแขนของตัวเองกลับ “ฤดูใบไม้ผลิยังมาไม่ถึง คุณก็นึกถึงฤดูร้อนแล้ว”
ถึงจะพูดอย่างนั้น ในตอนเที่ยงของวันต่อมา หลินม่ายก็ไปโรงพยาบาลที่ฟางจั๋วหรานทำงานอยู่
หลินม่ายถามอย่างกระวนกระวายขณะอยู่บนเตียงผ่าตัดว่า “การรักษาซ้ำจะเจ็บมากไหม?”
“ผมจะให้ยาชาเฉพาะที่ มันไม่เจ็บเท่าไหร่”
หลินม่ายถามอย่างสงสัย “แล้วจะลบรอยแผลเป็นด้วยการผ่าตัดได้หรือ?”
เมื่อเผชิญหน้ากับภรรยาของเขา ฟางจั๋วหรานดูอดทนเป็นพิเศษ “แน่นอนสิ”
หลินม่ายกลอกตาและพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ทำให้แขนฉันกลับมามีกำลังเหมือนที่เคยให้ได้นะคะ ตั้งแต่ที่แขนข้างนี้เจ็บ มันก็ไม่แข็งแรงเหมือนเมื่อก่อน กระทั่งข้าวสารแค่สิบชั่งยังไม่มีแรงยกเลย”
ผู้ช่วยที่อยู่ข้าง ๆ อดไม่ได้ที่จะหัวเราะ เมื่อกี้เธอกำลังถามสามีอย่างกังวล ตอนนี้เธอกลับกำลังเรียกร้องเขา
ฟางจั๋วหรานตอบรับอย่างจริงจัง
ทักษะทางการแพทย์ของฟางจั๋วหรานนั้นยอดเยี่ยมและซับซ้อนมาก
ภายในเวลาไม่ถึงชั่วโมง แผลเป็นยาว 1 ฉื่อของหลินม่ายก็ได้รับการรักษา แต่น่าเสียดายที่พันผ้าก๊อซไว้มิดจนมองไม่เห็นแผล
พริบตาเดียวก็เป็นวันเสาร์ และทันทีที่หลินม่ายกลับจากโรงเรียนในตอนบ่าย ไป๋เหยียนพี่สาวคนโตก็โทรมา
ถามเธอว่าพวกเขาพอจะแนะนำหญิงสาวที่เข้ากับไป๋เซี่ยได้บ้างไหม
หลินม่ายชะงักไปครู่หนึ่งก่อนตอบกลับ “ในวันงานเลี้ยงวันเกิดของเสี่ยวมู่ตง ฉันเห็นพี่ชายช่วยเข็นรถให้จ้าวเชี่ยนหรูที่ได้รับบาดเจ็บกลับบ้าน พวกเขาสองคนไม่สปาร์กกันเลยเหรอคะ?”
ไป๋เหยียนที่อยู่ปลายสายถอนหายใจ “พี่ชายเธอน่ะสมองทึบอย่างกับอะไรดี… เฮ้อ อย่าพูดถึงเรื่องนี้เลย”
หลินม่ายแอบถาม “เป็นเพราะเสี่ยวจ้าวไม่ชอบพี่ชาย หรือพี่ชายที่ไม่ชอบเสี่ยวจ้าวกันคะ?”
“ไม่ใช่แบบนั้น พอพี่ชายเธอพาเสี่ยวจ้าวที่เท้าแพลงกลับถึงบ้าน เขาก็จากไปโดยไม่ได้นัดเจอกับหล่อนอีกเลยล่ะ…”
หลินม่ายตกตะลึงครู่หนึ่ง “ฉันไม่มีใครเหมาะสมที่จะแนะนำให้รู้จักกับพี่ชายเลยค่ะ ถ้าจั๋วหรานกลับมา ฉันจะลองถามเขาดู”
เวลานี้อากาศหนาวเกินไป จึงอยากกินหม้อไฟเพื่อให้ร่างกายอบอุ่น
ทันทีที่เดินไปยังประตูห้องครัว เธอก็ได้ยินเสียงร้องดังลั่นจากนอกลาน “โอ้ย นี่ก็ใกล้จะถึงวันปีใหม่แล้ว พวกเขากำลังพยายามฆ่าครอบครัวเราหรือไง?”
เมื่อได้ยินเสียงของคนแปลกหน้า อาหวงรีบวิ่งไปที่ประตูลานเหมือนลูกศรพุ่งออกจากคันธนูและส่งเสียงเห่าไม่หยุด
น้าถูที่กำลังเตรียมอาหารเย็นขมวดคิ้ว “ใครกัน? ถึงได้มาเอะอะหน้าบ้านคนอื่น”
หล่อนวางทุกอย่างในมือลงและแง้มประตูออกไปดู ก่อนจะเห็นว่าเป็นเป็นหญิงชาวชนบทอายุราวสามสิบปีและลูกน้อยอีกห้าคนยืนอยู่นอกบ้าน
เด็ก ๆ ล้วนมีร่างกายสกปรกมอมแมม แล้วยังมีประกายแสงของความเจ้าเล่ห์แวบผ่านดวงตาของพวกเขา
สมาชิกในครอบครัวทั้งหกอ้าปากร้องคร่ำครวญเสียงดังระงม
น้าถูพูดอย่างหัวเสีย “ไปร้องตะโกนหน้าประตูบ้านตัวเองได้ไหม? มาเอะอะโวยวายหน้าประตูบ้านคนอื่นแบบนี้หมายความว่ายังไง?”
หญิงชนบทวัยกลางคนปาดน้ำตาและน้ำมูกออก สายตาของเธอกวาดสายตามองไปรอบ ๆ บ้านพลางถามขึ้น “นี่คือบ้านของหลินม่ายใช่ไหม?”
น้าถูไม่ตอบ แต่ถามอย่างสงสัยว่า “คุณเป็นใคร?”
หญิงชนบทวัยกลางคนตบต้นขาของหล่อนและเริ่มร้องไห้อีกครั้ง “โอ้ย นี่คนรวยเขาทำตัวสูงส่งกันแบบนี้น่ะเหรอ พวกเขากำลังพยายามทำให้ครอบครัวเราตายทั้งเป็น!”
หลินม่ายเดินเข้ามาถาม “คุณเป็นใครคะ? มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่า?”
“คุณคงเป็นหลินม่ายสินะ” หญิงชนบทวัยกลางคนมองหลินม่ายตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาเหยียดหยาม
“คุณถามว่าฉันเป็นใครงั้นเหรอ? คุณสร้างความเดือดร้อนให้เรามากมาย แต่กลับเดาไม่ออกด้วยซ้ำว่าฉันเป็นใคร! สามีของฉันก็คือหัวหน้าผู้รับเหมาแซ่หูที่คุณส่งเข้าคุกไปยังไงล่ะ”
หลินม่ายเข้าใจสถานการณ์ได้ในทันที ก่อนตอบกลับด้วยท่าทางประชดประชัน “ที่แท้ก็เป็นภรรยาของฆาตกรที่พยายามจะฆ่าฉันโดยยืมมือคนอื่น ฉันก็นึกว่าเป็นบุคคลสำคัญที่ไหนทำไมฉันนึกไม่ออก แต่กลับกลายเป็นภรรยาของฆาตกรนี่เอง!”
บรรดาเพื่อนบ้านได้ยินเสียงร้องไห้ต่างพากันวิ่งออกไปดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น หลังได้ยินแบบนั้น พวกเขาก็ชี้ไปทางหญิงชนบทวัยกลางคน
ภรรยาของฆาตกรมาออกอาละวาดงั้นเหรอ?
ถึงกับวิ่งโร่มาถึงหน้าบ้านของเหยื่อเพื่อสร้างปัญหาเชียว
หญิงชนบทคนนี้พูดพลางตีหน้าเศร้า “สามีของฉันทำผิดกฎหมาย แต่เขาติดคุกไปแล้วไม่ใช่หรือไง? ทำไมถึงต้องให้ศาลยึดทรัพย์สินและบ้านของฉัน แล้วยังจ่ายค่ารถของคุณด้วย? คุณพยายามที่จะฆ่าครอบครัวของเรา?”
หลินม่ายพูดด้วยสีหน้าเย็นชา “สามีของคุณติดคุกเพราะพยายามฆ่าคน อย่าสับสนกับความจริงที่ว่าต้องชดเชยรถสองคันที่เสียไปเพราะการกระทำของเขาสิ”
ผู้หญิงคนนั้นกลอกตาและร้องไห้ “คุณร่ำรวยขนาดนี้ ยังจะขอให้เราจ่ายค่ารถอีก เราจะมีจ่ายได้อย่างไร? คุณพยายามฆ่าครอบครัวของฉันชัดๆ…”
ขณะที่ร้องไห้ หล่อนก็แอบดูปฏิกิริยาของหลินม่าย
ฟางจั๋วเยวี่ยและเถาจืออวิ๋นเพิ่งกลับมาจากข้างนอก หลังเห็นฉากนี้ พวกเขาขมวดคิ้วด้วยความขยะแขยงพลางถามหลินม่ายว่าเกิดอะไรขึ้น
หลินม่ายบอกพวกเขาในไม่กี่คำ
ฟางจั๋วเยวี่ยกล่าวกับน้าถูด้วยสีหน้าดุร้าย “ไปสถานีตำรวจและแจ้งความจับแม่ลูกพวกนี้ทั้งหมด ในเมื่อคุณกล่าวหาว่าพี่สะใภ้ว่าเป็นคนรวยใจร้ายนัก เราก็จะแสดงให้เธอเห็นว่าการเป็นคนรวยใจร้ายมันเป็นยังไง เราจะปล่อยให้พวกคุณแม่ลูกกินข้าวกับคนในคุกไปจนตาย!”
ท้ายที่สุดหล่อนก็เป็นหญิงชนบทผู้โง่เขลาและไร้ยางอาย
เมื่อได้ยินว่าพวกหล่อนแม่ลูกกำลังจะถูกจับเข้าคุก หล่อนก็หน้าซีดเผือดด้วยความตกใจ ก่อนหนีไปราวกับหนูท่อหนีน้ำท่วม
ฟางจั๋วเยวี่ยเดินเข้ามาหาหลินม่ายและพูดด้วยรอยยิ้ม “พี่สะใภ้ ผมเก่งไหม”
หลินม่ายพูด “น่าทึ่งมาก น่าทึ่ง!”
เธอสามารถพูดถ้อยคำเหล่านั้นเช่นกัน แต่เธอไม่กล้า
แม้ว่าคำพูดเหล่านั้นจะทำให้ผู้คนหวาดกลัว แต่พวกเขาก็มีแนวโน้มที่จะสร้างความวุ่นวายอีก ถึงกระนั้นฟางจั๋วเยวี่ยกลับพูดโดยไม่คำนึงถึงผลที่ตามมา
ช่างเถอะ สิ่งที่พูดไปแล้วยากที่จะเอาคืน เธอหวังว่ามันจะไม่เกิดปัญหาภายหลัง
คนกลุ่มหนึ่งเข้ามาในห้องนั่งเล่น หลินม่ายทำนมมอลต์ให้พวกเขาและถามว่า “วันนี้มีบ้านไหนที่พวกเธอชอบไหม?”
“เราซื้อเรือนสี่ประสานแบบวงเดียวไปแล้ว”
ฟางจั๋วเยวี่ยขอให้เถาจืออวิ๋นแสดงใบรับรองอสังหาริมทรัพย์ที่เขาเพิ่งได้รับให้กับหลินม่ายและคุณปู่ฟางดู
เขาพูดกับหลินม่าย “จืออวิ๋นกับผมจะกลับไปเมืองเจียงเฉิงในวันพรุ่งนี้
พี่สะใภ้ ช่วยเราทำความสะอาดบ้านได้ไหม”
มันเป็นเรื่องเล็กน้อย หลินม่ายจึงพยักหน้าเห็นด้วย
ในตอนกลางคืน หลังจากทั้งคู่เข้าไปในห้องพร้อมเสี่ยวมู่ตง หลินม่ายก็พูดถึงคำขอของไป๋เหยียน
ฟางจั๋วหรานคิดอยู่ครู่หนึ่งและพูดว่า “มีพยาบาลชื่อหลัวเหวินจิ้งในแผนกของผม คุณลองถามพี่ชายของคุณว่าเขาอยากไปนัดบอดไหม ถ้าเขาว่าง ผมจะนัดกับเสี่ยวหลัวให้”
จากนั้นหลินม่ายก็โทรหาไป๋เซี่ย
เมื่อไป๋เซี่ยได้ยินว่าเธอมาขอให้เขาไปนัดบอด เขาก็ต่อต้านอย่างมาก “เธอกับน้องเขยมีชีวิตที่หวานชื่นดีอยู่แล้ว จะมารบกวนฉันทำไม ฉันไม่อยากมีความรักตอนนี้”
หลินม่ายและสามีไม่ชอบที่จะเป็นแม่สื่อเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจที่จะยอมแพ้
…………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
จะเอาอะไรไปสู้อะ สามีคุณทำผิดฐานเจตนาฆ่าเค้าขนาดนั้น เค้าไม่แจ้งคุณเข้าคุกจริงๆ ก็นับว่าเมตตาแล้ว
ไหหม่า(海馬)