แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 949 หลินเพ่ยคิดหนี
ตอนที่ 949 หลินเพ่ยคิดหนี
ทันทีที่ชายคนนั้นเดินเข้ามา โจวฉายอวิ๋นกล่าวถามทันทีว่า “วันนี้คุณดื่มนมหรือยัง?”
ทันทีที่พูดจบ เขาเห็นหลินม่ายเข้ามา
ชายผู้นั้นชะงักไปชั่วขณะก่อนจะถามด้วยความประหลาดใจว่า “คุณ… คุณคือคุณหลิน?”
โจวฉายอวิ๋นเผยสีหน้าแดงเรื่อเล็กน้อยก่อนจะแนะนำให้หลินม่ายรู้จักเขา “เขาคือหงตั่งเชิงที่ฉันเคยบอกน่ะ”
ปรากฏว่าชายคิ้วหนาตาโตตรงหน้าคือแฟนหนุ่มของโจวฉายอวิ๋น
หลินม่ายยืดตัวก่อนจะจับมือทักทายกับหงตั่งเชิงอย่างสุภาพ “สวัสดีค่ะ สวัสดี”
หงตั่งเชิงไม่ใช่เด็ก เขาอายุสามสิบปีแล้ว แต่กลับมีนิสัยขี้อายมาก
หลินม่ายเพียงแค่จับมือเท่านั้น แต่ใบหน้าของเขาแดงไปถึงหู
โจวฉายอวิ๋นแนะนำหลินม่ายให้หงตั่งเชิงรู้จักอีกครั้ง “คุณพูดถูกแล้ว เธอคือหัวหน้าหลิน”
หงตั่งเชิงถูมือเบา ๆ ก่อนจะพูดว่า “ผมรู้สึกว่าเคยเห็นคุณหลินในทีวีมาก่อน ตอนแรกผมก็ไม่มั่นใจกลัวว่าจะจำผิด ไม่ได้คิดว่าจะเป็นคุณหลินจริง ๆ น่ะครับ”
หลังพูดจบ เขาวางนมของโจวฉายอวิ๋นลงบนโต๊ะก่อนจะเดินออกไป
หลินม่ายมองแผ่นหลังของเขาก่อนจะพูดขึ้นว่า “แฟนของพี่ดูดีไม่เบา เขารู้จักวิธีดูแลพี่และรู้ด้วยว่าต้องเสิร์ฟนมให้พี่ยังไง”
ใบหน้าของโจวฉายอวิ๋นยกยิ้มอย่างมีความสุข “ฉันก็รู้สึกว่าเขาดูแลฉันดีมากเหมือนกัน และที่สำคัญนิสัยของพวกเราเข้ากันได้ดี ไม่มีใครมากไปกว่าใครหรืออยู่เหนืออะไรกัน”
หลินม่ายยกยิ้มถาม “ยังไงเหรอ?”
“ฉันกับเขาผ่านเรื่องราวคล้าย ๆ กันมาน่ะ ฉันโดนสามีนอกใจ ส่วนเขาก็ถูกภรรยานอกใจ”
หลินม่ายจิบนมก่อนจะพูดขึ้นว่า “แล้วคุณหงรู้ไหมว่าพี่มีภาวะมีลูกยาก?”
“เขารู้แต่เขาไม่รังเกียจ บอกว่าถ้าฉันชอบเด็ก เราก็ไปสถานสงเคราะห์แล้วรับเด็กมาอุปการะได้”
“แล้วพ่อแม่เขาล่ะ? เป็นยังไงบ้าง”
หลินม่ายค่อนข้างกังวล แม้หงตั่งเชิงจะไม่รังเกียจภาวะมีบุตรยากของโจวฉายอวิ๋น แต่พ่อแม่ของเขาอาจไม่ยินดีเช่นนั้น
คนเฒ่าคนแก่ในชนบทยังมีความคิดเช่นนี้อยู่บ้าง อีกทั้งบางคนยังรู้สึกว่าการที่ลูกหลานไม่มีบุตรสืบสกุลคือความอกตัญญู
โจวฉายอวิ๋นตอบกลับ “พ่อแม่ของเขาก็ไม่ได้รังเกียจเหมือนกัน เสี่ยวหงมีพี่ชายและน้องชาย ทั้งสองคนมีลูกชายแล้วด้วย พ่อแม่ของเขาไม่อยากให้เขาสืบสกุลแล้วล่ะ แค่หวังว่าเขาจะมีใครสักคนอยู่ด้วยกันไปตลอดชีวิตก็พอ”
หลินม่ายพยักหน้า “งั้นก็ดีเลย”
โจวฉายอวิ๋นพูดด้วยความเขินอาย “เราจะจัดงานแต่งงานในวันที่แปดของปีนี้ ถ้าเธอพอมีเวลาก็แวะมางานเลี้ยงของพวกเราได้นะ”
หลินม่ายกล่าวตอบรับ ก่อนจะดื่มนมแล้วจากไป
เธอไม่จำเป็นต้องเข้าไปจัดการปัญหาอะไรในสำนักงานใหญ่ หลินม่ายพาคุณย่าฟางและคนอื่น ๆ จากชนบทเข้าสู่เมืองเจียงเฉิง ก่อนจะบินกลับเมืองหลวงในบ่ายวันนั้น
แม้จะเหลือเวลากว่าสิบวันกว่าจะถึงงานฉลองปีใหม่ แต่เวลานี้ทั้งตรอกซอกซอยทั้งหมดในเมืองหลวงเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งงานเฉลิมฉลองแล้ว
ช่วงเย็น สามีภรรยาอยู่ในห้องของตัวเองพร้อมกับเสี่ยวมู่ตง
หลินม่ายหยิบหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่านเพื่อตรวจสอบข่าวคราวในเมืองหลวง เวลานี้เธอหาข้อมูลเกี่ยวกับการประมูลขายทอดตลาดของศาล
แล้วเธอก็ค้นพบมัน ศาลจะขายทอดตลาดเรือนสี่ประสานของพ่ออวี่แม่อวี่ในวันพรุ่งนี้เวลาเก้าโมงเช้า
หลินม่ายรู้สึกโชคดีมากที่ตัวเองกลับมาเมืองหลวงทันเวลา และไม่พลาดงานประมูลเรือนสี่ประสานของตระกูลอวี่
พรุ่งนี้เป็นวันที่หุ้นของนายท่านฉุยที่หลินเพ่ยแนะนำไว้เป็นครั้งที่สามจะร่วงด้วยเช่นกัน
เช้าวันรุ่งขึ้น หลินม่ายได้รับคำยืนยันจากโบรกเกอร์ว่าหุ้นเหล่านั้นร่วงสู่จุดต่ำที่สุดในชั่วข้ามคืน
เธอโล่งใจมากก่อนจะขับรถโรลส์รอยซ์ไปศาลเพื่อเข้าร่วมงานประมูลเรือนสี่ประสานตระกูลอวี่
เมื่อเธอมาถึงสถานที่ประมูล ก็พบว่ามีคนอยู่ภายในสถานที่แห่งนี้ค่อนข้างน้อย
พ่ออวี่กับแม่อวี่เองก็อยู่ที่นี่ด้วย เมื่อเห็นว่ามีคนจำนวนน้อยมารอการประมูลคราวนี้ ใบหน้าของพวกเขายิ่งน่าเกลียด
หลังจากนั้นไม่นาน งานประมูลก็เริ่มต้นขึ้น
เมื่อผู้ประเมินราคามาถึง เขาประกาศว่าเรือนสี่ประสานตระกูลอวี่มีราคาอยู่ที่ 360,000 หยวน เวลานี้ใบหน้าของพ่ออวี่และแม่อวี่ยิ่งเจ็บปวดกว่าเดิม
ราคาประเมินอยู่ที่ 360,000 หยวนเท่านั้น และราคาเริ่มต้นในการประเมินจะต่ำลงไปกว่า 20% ซึ่งมันจะอยู่แถว ๆ 250,000 ถึง 290,000 หยวน ราคานี้ต่ำกว่าที่พวกเขาคิดไว้มาก
แน่นอนว่าราคาที่ศาลเสนอคือ 280,000 หยวน
หากไม่ใช่เพราะมีคนเคาะราคาที่ 300,000 หยวนทันที พ่ออวี่และแม่อวี่คงต้องเสียใจจนตาย
ทุกการเสนอราคาล้วนแต่บีบรัดหัวใจของพ่ออวี่และแม่อวี่
พวกเขาลอบตะโกนอยู่ภายในใจ : เพิ่ม! เพิ่มราคาอีก! อย่าเพิ่มทีละหมื่นสิวะ! เพิ่มทีละแสน!
อย่างไรก็ตามไม่มีใครได้ยินเสียงร่ำร้องของทั้งคู่ และผู้ที่เข้าร่วมการประมูลค่อนข้างระมัดระวังในการเสนอราคาเพราะเกรงว่ามันจะดันราคามากเกินไป
และเมื่อราคามาหยุดที่ 350,000 หยวน ก็ไม่มีใครประมูลต่อ
สุดท้ายแล้ว มีเพียงคนกลุ่มน้อยเท่านั้นที่สามารถซื้อบ้านมูลค่าหลักแสน
เหล่าเศรษฐีในท้องถิ่นที่สามารถจ่ายเงินนับแสนล้วนไม่สนใจบ้านที่พัวพันกับคดีความ และถูกขายออกโดยศาล
พ่ออวี่และแม่อวี่ยิ่งนึกเสียใจ ถ้าพวกเขารู้ว่าราคาของมันจะต่ำมากขนาดนี้ พวกเขาอาจจะต่อรองกับหลินม่ายสักหน่อย หลังจากนั้นพวกเขาน่าจะขายมันได้มากกว่า 350,000 หยวน
แต่โลกใบนี้มียาที่รักษาความเสียใจได้งั้นเหรอ?
บนเวที ผู้ตัดสินการประมูลตะโกน “มีใครจะเสนอราคาอีกไหมครับ?”
พ่ออวี่แม่อวี่และคนอื่น ๆ หันมองหลินม่ายอย่างคาดหวัง
นับตั้งแต่เธอมาถึงที่นี่ เธอยังไม่ยกมือสักครั้ง
เธอยังคงเงียบจนกระทั่งตอนนี้
ในใจของพ่ออวี่และแม่อวี่คล้ายกับติดอยู่ในถ้ำน้ำแข็ง ดูเหมือนว่าพวกเขาไม่สามารถคาดหวังให้หลินม่ายช่วยเหลือได้เลย
ผู้ตัดสินการประมูลมองไปรอบ ๆ กลุ่มคนที่นั่งอยู่ในฝั่งผู้ประมูล เขาสูดลมหายใจสักครู่ก่อนจะพูดขึ้นว่า “350,000 หยวนครั้งที่หนึ่ง 350,000 หยวนครั้งที่สอง”
ขณะที่ผู้ประมูลกำลังจะพูดว่า 350,000 หยวนครั้งที่สาม ในขั้นตอนสุดท้าย
จู่ ๆ หลินม่ายพูดออกมาว่า “เดี๋ยวค่ะ!”
ทันใดนั้น สายตาทุกคู่จับจ้องมาที่เธอทันที
พ่ออวี่และแม่อวี่ถึงกับยกยิ้มมีความสุข ในที่สุดหล่อนก็เคลื่อนไหวสักที!
หลินม่ายเพิ่มราคาตามที่พวกเขาต้องการ แต่ว่าเธอเพิ่มเพียงแค่ 1,000 หยวนเท่านั้น ราคา ณ ตอนนี้คือ 351,000 หยวน
พ่ออวี่และแม่อวี่แทบจะกระอักเลือดด้วยความโกรธจัด
การเพิ่มเงินเพียง 1,000 หยวนนี่นับว่าเป็นการสร้างความอับอายหรือไม่? ไม่เพิ่มยังดีกว่า!
มีคนทำตามและพวกเขาเพิ่มราคากันทีละ 1,000 หยวน
เวลานี้หลินม่ายกล่าวราคา 355,000 หยวน และผู้ชายที่อยู่ใกล้กับเธอหยุดเพิ่มราคาแล้ว
พวกเขามาที่นี่เพื่อรับของราคาถูก ดังนั้นจึงไม่คุ้มค่าหากจะเพิ่มราคา
ผู้ชายคนนั้นจึงไม่กล้าที่จะใส่ราคาอีก
การเพิ่มเงินทีละ 1,000 หยวนจนกระทั่งถึง 5,000 หยวนนั้นมากเกินพอแล้ว นี่คือทักษะทางจิตวิทยา
ท้ายที่สุด หลินม่ายก็ได้รับเรือนสี่ประสานของตระกูลอวี่ไปในราคา 355,000 หยวน
หลังเสร็จสิ้นทุกอย่างแล้ว เธอเดินจากไป
เธอเดินออกจากโรงประมูลมาแล้ว แต่หางตาพลันเหลือบไปเห็นโยมิ อาซากุสะที่อยู่ในมุมหนึ่งไม่ไกลนัก
แต่เธอไม่ได้สนใจอะไรนัก ก่อนจะเดินขึ้นรถและขับออกไป
หลินม่ายคาดเดาถูกต้องแล้ว ร่างที่ยืนหลบมุมอยู่ไม่ไกลเป็นโยมิ อาซากุสะจริง ๆ
เพื่อที่จะหาเงินมาใช้หนี้ธนาคาร หล่อนขายทรัพย์สินทั้งหมดที่สามารถขายได้แล้ว
รวมถึงบ้านหลังใหญ่ที่เพิ่งซื้อในโกลเด้นกลอรี่เรสซิเดนซ์ เสื้อผ้า รองเท้า และถุงเท้าระดับสูงที่หล่อนซื้อก่อนหน้าหมดแล้ว แต่หล่อนก็ยังเป็นหนี้ธนาคารอีกจำนวนมาก
เวลานี้หล่อนสิ้นหวังกระทั่ง… หากชายใดยินยอมช่วยเหลือชดใช้หนี้ให้ หล่อนจะยอมแต่งงานกับเขา
แต่บรรดาผู้คนระดับสูงที่เคยมาวนเวียนรอบกายหล่อนก็หายเข้ากลีบเมฆไปแล้ว
ทั้งหมดที่หล่อนมีคือเรือนสี่ประสานของพ่อแม่ที่จะประมูลขายในวันนี้ เพราะเหตุผลนี้หล่อนจึงมาที่โรงประมูลด้วยเพื่อจะดูยอดเงิน แต่สุดท้ายก็ต้องผิดหวัง
ส่วนหลินม่ายไม่สนใจว่าโยมิ อาซากุสะคิดอะไร เวลานี้เธอกลับมาถึงบ้านและรีบโทรบอกข่าวดีกับฟางจั๋วเยวี่ยทันที และเธอได้รับคำขอบคุณจากเขามากมายไม่รู้จบ
………………………
เวลานี้หลินเพ่ยอยู่ในฮ่องกง หล่อนกำลังเก็บข้าวของเตรียมตัวที่จะหลบหนี
ตลอดทั้งสัปดาห์นี้หล่อนใช้ชีวิตด้วยความหวาดกลัว
นับตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว หุ้นไม่กี่ตัวที่หล่อนบอกให้นายท่านฉุยซื้อควรจะพุ่งขึ้นสักเล็กน้อย เพราะสัปดาห์นี้พวกมันพุ่งขึ้นทุกวัน และวันนี้ควรจะเป็นวันที่มันทะยานขึ้นสู่จุดสูงสุด
แต่ความจริงแล้ว นับตั้งแต่สัปดาห์ที่แล้ว หุ้นไม่กี่ตัวเหล่านั้นเงียบราวกับผีดิบ
จนกระทั่งสัปดาห์นี้ นอกจากมันจะไม่เพิ่มขึ้นแล้ว มันยังลดลงด้วย
หลินเพ่ยรู้สึกสังหรณ์ใจมาก และสัมผัสได้ว่าหุ้นพวกนี้กำลังจะดิ่งลง
เวลานี้หล่อนก็สงสัยว่าอู๋เสี่ยวเจี๋ยนคงบอกข้อมูลหุ้นที่ผิดพลาดให้กับหล่อน
เพราะฉะนั้นหล่อนต้องหนี ถ้าหากไม่หนี หล่อนจะตายตกอย่างอนาถาเมื่อหุ้นทั้งหมดดิ่งพสุธา
หลินเพ่ยเก็บข้าวของพร้อมกับลอบเปิดประตู แต่ขณะที่กำลังจะเดินออกไป หล่อนหยุดฝีเท้าก่อนจะจ้องมองห้องของนายท่านฉุย
หล่อนปล่อยให้นายท่านฉุยเล่นสนุกกับหล่อนมาตั้งนาน ไม่ว่ายังไงเขาก็ต้องจ่ายค่าตัวให้กับหล่อน
เวลานี้มีพนักงานเดินเข้ามา
หลินเพ่ยมีแผนการบางอย่าง หล่อนจะอ้างว่านายท่านฉุยบอกกล่าวให้หล่อนไปเอาของที่ห้องเขาเพื่อเอาไปส่งให้เขาในตอนนี้ แต่ว่าหล่อนไม่มีกุญแจจะเข้าห้อง
หล่อนขอให้พนักงานคนนั้นช่วยเปิดประตูห้องของนายท่านฉุยให้
พนักงานคนนั้นเห็นหลินเพ่ยอยู่กับนายท่านฉุยบ่อยครั้ง พวกเขาเป็นคู่รักและอยู่ด้วยกัน ดังนั้นเขาจึงไปหยิบเอากุญแจสำรองมาเปิดประตูให้หลินเพ่ย
หลินเพ่ยมีความสุขมาก หล่อนเข้าไปด้านในก่อนจะเริ่มคุ้ยหาเงินหรือสิ่งของมีค่าทันที
อย่างไรก็ตาม หล่อนพบเพียงความผิดหวัง ไม่มีเงินแม้สักแดง ส่วนของมีค่าก็ไม่มีแม้แต่เงาเช่นกัน
เวลานี้หล่อนคิดจากไปด้วยความโกรธ
แต่ทันทีที่หล่อนเปิดประตูออกไป ลูกน้องของนายท่านฉุยสองคนเข้ามายืนประกบข้างหล่อนแล้วบิดแขนหล่อนไปด้านหลังเพื่อจับกุมตัว
ที่ผู้ชายสองคนนี้ปรากฏตัวขึ้นทันทีก็เพราะว่าหุ้นที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ของนายท่านฉุยเริ่มจะมีกลิ่นไม่ดี นายท่านฉุยจึงส่งพวกเขาส่งคนมาที่นี่เพื่อสอบถาม
ทั้งสองกลับมาที่โรงแรม และต้องพาตัวหลินเพ่ยไปหาเขาเพื่อตอบคำถามว่าเกิดอะไรขึ้น
ชายทั้งสองรีบกลับมาที่โรงแรม เมื่อเปิดประตูห้องหลินเพ่ยก็ไม่พบใครแล้ว ใบหน้าของพวกเขากลายเป็นซีดเซียวด้วยความตื่นตระหนก
เมื่อทั้งสองกำลังจะแจ้งนายท่านฉุยว่าหลินเพ่ยหนีไปแล้ว พวกเขาไม่คิดว่าจะได้เจอหลินเพ่ยเดินออกมาจากห้องของนายท่านฉุยเสียอย่างนั้น
ทันทีที่เห็นว่าหลินเพ่ยลากกระเป๋าเดินทางออกมา ลูกน้องนายท่านฉุยตบหน้าหล่อนสองครั้ง “อะไร? คิดหนีเหรอ?”
หลินเพ่ยแสร้งทำตัวสั่นคล้ายหวาดกลัว
เพราะการกระทำของหล่อนในตอนนี้ทำให้หล่อนไม่สามารถโกหกได้
หล่อนนึกเสียใจอย่างหนัก เพราะความโลภของตนแท้ ๆ จึงทำให้หล่อนต้องตกอยู่ในสภาพเลวร้าย
ตอนนี้นอกจากจะไม่ได้เงินแล้วก็ยังถูกจับอีกด้วย
เห็นหลินเพ่ยไม่ตอบกลับ ผู้ชายคนนั้นทั้งตบตีเตะต่อยไม่หยุดมือ
หลินเพ่ยถูกตบตีจนกรีดร้องออกมา แต่สุดท้ายหล่อนก็ยังไม่พูด
ชายอีกคนขมวดคิ้วก่อนจะพูดว่า “หยุดลงมือกับมันได้แล้ว ส่งไปให้นายท่านเป็นคนจัดการเองดีกว่า”
หลินเพ่ยตื่นตระหนกจนใบหน้าซีดเซียว หล่อนคุกเข่าลงกับพื้นก่อนจะร้องอ้อนวอน “ได้โปรด! อย่าส่งฉันไปหาพี่ฉุยเลย”
หนึ่งในชายคนนั้นเตะหล่อนจนกลิ้งไปบนพื้น
“ให้พวกเราปล่อยเธอไปงั้นเหรอ? แล้วเธอมีอะไรให้พวกเราบ้างล่ะ?”
หลินเพ่ยรีบตอบ “ฉันบริการพวกคุณบนเตียงได้ ฉันบริการได้นะ!”
ใครจะกล้านอนกับผู้หญิงของเจ้านาย!
ลูกน้องทั้งสองโกรธจัดทันที “นังแพศยา แกมันนังงูพิษจริง ๆ ให้พวกฉันนอนกับแก พวกฉันยอมตายดีกว่า!”
ทั้งสองเริ่มลงมือเตะต่อยหลินเพ่ยอีกครั้ง
ต่อมา ผู้ชายทั้งสองคนพาหลินเพ่ยไปหานายท่านฉุย พร้อมโยนหล่อนลงพื้นราวถุงขยะ
อีกทั้งยังบอกกล่าวกับนายท่านฉุยว่าเมื่อพวกเขาไปถึงโรงแรม หลินเพ่ยลากกระเป๋าเดินทางออกจากห้องกำลังจะหนี
นายท่านฉุยนั่งยอง ๆ ลง เวลานี้หลินเพ่ยหวาดกลัวจนตัวสั่นสะท้าน
หลินเพ่ยคลานเข้าหาเขาราวกับสุนัข เงยหน้าขึ้นมองด้วยสภาพที่น่าสังเวช
นายท่านฉุยยกเท้าขึ้นเชยคางหล่อนก่อนจะถามว่า “เธอลากกระเป๋าเดินทางเข้าไปในห้องฉันทำไม?”
หลินเพ่ยพึมพำ “ฉัน… ต้องการย้ายไปอยู่ห้องคุณ… เพื่อที่เราจะได้นอนด้วยกันตอนกลางคืน”
นายท่านฉุยที่สงบนิ่งก่อนหน้าโกรธจัดทันที เขาเตะหลินเพ่ยจนปลิวออกไปอีกฝั่ง
ร่างของหลินเพ่ยกระแทกประตูรุนแรงก่อนจะล้มลงกับพื้น บ้วนเลือดคำใหญ่ออกจากปาก
นายท่านฉุยตะโกนลั่น “คิดว่าฉันโง่เหรอ! คิดจะใช้เรื่องแบบนี้หลอกลวงฉันหรือไง! เพราะหุ้นที่เธอบอกฉันมันตกหมดไงล่ะ เลยคิดจะหนีใช่ไหม? ก็เลยอยากจะไปหาเงินในห้องของฉันก่อนหนี?”
เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายคาดเดาความจริงได้แล้ว หลินเพ่ยตื่นตระหนกจนเหงื่อชุ่ม “ไม่ค่ะ ฉันไม่ได้จะทำแบบนั้น!”
นายท่านฉุยไม่อยากคุยกับหล่อนอีกต่อไป ก่อนจะสั่งให้ลูกน้องมัดหล่อนไว้ที่มุมห้อง
เวลานี้นายท่านฉุยชี้หน้าหลินเพ่ยแล้วพูดต่อว่า “ถ้าหุ้นไม่กี่ตัวที่เธอบอกมันทำให้ฉันเสียเงิน ฉันฆ่าเธอแน่!”
หลินเพ่ยเบียดเสียดร่างกายของตัวเองอยู่ในมุมห้องก่อนจะภาวนาให้หุ้นทั้งหมดพุ่งทะยานขึ้นสูงสักที
แต่อย่างไรก็ตาม พระเจ้าไม่คิดให้พรหล่อน นับตั้งแต่เที่ยงวัน หุ้นทั้งหมดที่หล่อนบอกให้นายท่านฉุยซื้อก็เรียกว่าร่วงลงเหว มันดิ่งสู่พสุธาจนผู้คนไม่คิดเหลียวมองในตอนบ่าย
ใบหน้าของนายท่านฉุยกลายเป็นมืดมน
เขาลงทุนครั้งใหญ่ในการซื้อหุ้นคราวนี้ และนี่คือเงินจากการที่เขาทำงานหนักทั้งหมด มันหายไปแล้ว
สายตาปรายมองหลินเพ่ยด้วยความโกรธเกรี้ยว อยากจะฉีกหล่อนเป็นชิ้น ๆ ซะเดี๋ยวนี้
หลินเพ่ยรู้สึกหวาดกลัวจนตัวสั่น
สุดท้ายไม่นานนายท่านฉุยก็หยุดความเกรี้ยวกราดในดวงตาเอาไว้
หลินเพ่ยลอบถอนหายใจด้วยความโล่งอก หล่อนแอบรู้สึกยินดีอยู่ในใจ
โชคดีที่นายท่านฉุยยังติดใจในการบริการของหล่อนอยู่ ไม่เช่นนั้นเขาคงไม่ปล่อยหล่อนไปแน่นอน
แต่ขณะที่คิดอย่างนั้น หล่อนก็ได้ยินนายท่านฉุยสั่งลูกสองใกล้เคียงด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น “ตบหน้าสั่งสอนนังสารเลวนี่!”
ลูกน้องคนหนึ่งก้าวไปด้านหน้าก่อนจะคว้าคอหลินเพ่ยขึ้น ตบหน้าหล่อนซ้ำแล้วซ้ำเล่า
หลินเพ่ยกรีดร้องออกมาไม่รู้จบหลังจากถูกตบไม่รู้กี่ครั้ง
นายท่านฉุยขมวดคิ้วเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อว่า “เสียงดังจริง ๆ เลาะฟันมันออกให้หมด ดูซิยังจะกล้าเสียงดังอีกไหม”
หลินเพ่ยได้ยินอย่างนั้นก็หวาดกลัวจนลนลาน
หล่อนผลักลูกน้องของนายท่านฉุยออกทันที
ก่อนจะคลานเข้าหานายท่านฉุยแล้วกอดขาเข้าไว้แน่น ซุกไซ้ใบหน้ากับรองเท้าหนังอย่างน่าสมเพช “พี่ฉุย ปล่อยฉันไปเถอะ ฉันจะไม่ร้องอีกแล้ว ปล่อยฉันไปเถอะนะ”
นายท่านฉุยเตะหล่อนอีกครั้ง “แกทำให้ฉันเสียเงินมากขนาดนี้และยังอยากให้ฉันปล่อยไปอีกงั้นเหรอ! ฝันไปเถอะ!”
ทันใด ชายทั้งสองลากตัวหลินเพ่ยออกมา
เวลานี้ชายที่เคยตบหลินเพ่ยก่อนหน้าหยิบไม้หน้าสามขึ้นมาแล้วเสียบเข้าไปในปากของหลินเพ่ย จากนั้นเขาเริ่มกระทุ้งอย่างบ้าคลั่ง
เลือดไหลทะลักออกจากปากของหลินเพ่ย ขณะที่ฟันของหล่อนถูกเลาะออกมาทีละซี่
หลินเพ่ยเจ็บปวดจนไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่ก็ไม่กล้าจะส่งเสียงดัง
เมื่อหลินเพ่ยสูญเสียฟันทั้งปากไปแล้ว นายท่านฉุยสั่งให้ลูกน้องของเขาถอดเสื้อผ้าหลินเพ่ยออกทั้งหมด แล้วให้ลูกน้องของเขาใช้ก้นบุหรี่จี้ร่างกายของหล่อน
เวลานี้หลินเพ่ยเจ็บปวดจนไม่สามารถแบกรับได้อีก จนกระทั่งเป็นลมล้มพับไป
นายท่านฉุยไม่ต้องการที่จะสร้างปัญหาในเมืองฮ่องกง เพราะกลัวว่าจะไม่สามารถจัดการได้
หลังจากเห็นว่าหลินเพ่ยหมดสติไปแล้ว เขาบอกให้ลูกน้องหยุดมือ
เขาวางแผนที่จะส่งหลินเพ่ยกลับไปที่จังหวัด H แล้วค่อยทรมานหล่อนเต็มรูปแบบ… จากนั้นค่อยฆ่าทิ้ง
หลินเพ่ยยังไม่ได้หมดสติจริง ๆ ทั้งหมดเป็นการแกล้งทำ
เมื่อเห็นอีกฝ่ายหยุดมือแล้ว หล่อนรู้สึกโล่งใจอย่างบอกไม่ถูก
หล่อนเชื่อว่าตราบใดที่ยังมีชีวิตอยู่ หล่อนจะสามารถหนีรอดไปได้
ขณะนั้นเอง มีอันธพาลกลุ่มหนึ่งผลักประตูเข้ามาพร้อมกับส่งเทปลึกลับให้กับนายท่านฉุย
………………………………………………………………………………………………………………………
สารจากผู้แปล
น่าจะลดทิฐิลงแล้วขายไปตั้งแต่ตอนนั้น ขายตอนนี้รู้สึกเจ็บปวดยิ่งกว่าเดิมอีก ช่วยไม่ได้แล้วล่ะ
ยัยเพ่ยจะตายคามือนายท่านฉุยยังไงบ้างนะ ดูท่าทางนายท่านฉุยจะเป็นพวกฆ่าได้ฆ่าเสียด้วย
ไหหม่า(海馬)