แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 953 พ่อแม่ตั้งคำถามไม่หยุด
ตอนที่ 953 พ่อแม่ตั้งคำถามไม่หยุด
ในวันส่งท้ายปีเก่า หลินเพ่ยและอู๋เสี่ยวเจี๋ยนก็เดินทางกลับมาถึงหมู่บ้านสกุลอู๋
ด้วยความช่วยเหลือของหลินม่ายในทุกวันนี้ นอกเหนือจากครอบครัวสามีของโจวฉายอวิ๋นและครอบครัวของอู๋เสี่ยวเจี๋ยนแล้ว มีชาวบ้านในหมู่บ้านสกุลอู๋คนไหนบ้างที่ไม่มีชีวิตที่มั่งคั่ง?
ในวันส่งท้ายปีเก่า ทุกครอบครัวทำลูกชิ้นทอด รากบัวชุบแป้งทอด ต้มซุปรากบัวซี่โครง… รวมถึงอาหารอร่อยทุกชนิด
กลิ่นหอมของอาหารอันโอชะต่าง ๆ อบอวลไปทั่วหมู่บ้าน
ท้องของหลินเพ่ยและอู๋เสี่ยวเจี๋ยนล้วนว่างเปล่า ส่งเสียงร้องดังโครกคราก
ตอนนี้ต่อให้เป็นของเสียร้อน ๆ สักชิ้นอยู่ตรงหน้า พวกเขาก็พร้อมกินอย่างไม่ลังเล
กลิ่นหอมของอาหารเลิศรสอบอวลไปทั่วหมู่บ้าน ทำให้ปากของพวกเขาเต็มไปด้วยน้ำลายไหลย้อย
ในวันส่งท้ายปีเก่า ผู้ใหญ่ทุกคนอยู่ที่บ้านเพื่อเตรียมอาหารมื้อค่ำที่สำคัญที่สุดของปี นั่นคืองานเลี้ยงส่งท้ายปีเก่า
แม้แต่ลูกที่โตมากพอต่างก็มาช่วยพ่อแม่เลือกผัก ปอกกระเทียม ขูดขิง และอื่นๆ
ในหมู่บ้านมีเด็กผู้ชายอายุไม่เกินห้าหรือหกขวบเพียงไม่กี่คนที่วิ่งเล่นอย่างมีความสุข
เมื่อเหล่าเด็กชายเห็นอู๋เสี่ยวเจี๋ยนและหลินเพ่ยที่ร่างกายสกปรก เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง และชายหนุ่มยังมีขาเพียงข้างเดียว พวกเขาทั้งหมดต่างก็จ้องมองด้วยความประหลาดใจ
พวกเขาไม่อยากจะเชื่อเลยว่ายังมีคนยากจนแบบนี้อยู่ด้วย!
เด็กชายตัวเล็กมองว่ามันเป็นเรื่องแปลกประหลาด จึงวิ่งไปบอกพ่อแม่ของพวกเขา
พ่อแม่ของพวกเขาคิดว่ามีคนร้ายมาที่หมู่บ้าน จึงวิ่งออกจากบ้านไปดู ก่อนพบว่าเป็นอู๋เสี่ยวเจี๋ยนที่กลับมาพร้อมหญิงสาวผู้ใช้ผ้าเช็ดหน้าปิดบังใบหน้า
นึกย้อนไปครั้งสุดท้ายที่อู๋เสี่ยวเจี๋ยนกลับมา พี่น้องของเขาล้วนหายตัวไปกันหมด
กลับมาคราวนี้ไม่เห็นพี่น้องของเขากลับมาด้วย แต่กลับพาหญิงสาวปิดบังใบหน้ามาบ้าน แล้วยังเสียขาไปข้างหนึ่ง เกิดอะไรขึ้นกับเขากันแน่?
ใจที่รักการซุบซิบนินทาของทุกคนพลันลุกเป็นไฟ
เนื่องจากเด็กทั้งหมดหายไปภายในวันเดียว ตำรวจจึงหาพวกเขาไม่พบ
อู๋จินกุ้ยและเหยาชุ่ยฮวาได้รับผลกระทบอย่างหนัก ทั้งคู่เหมือนศพเดินได้ที่ใช้ชีวิตไปวัน ๆ
พวกเขาไม่นึกอยากแม้กระทั่งเตรียมอาหารเย็นส่งท้ายปีเก่า
ขณะที่อู๋เสี่ยวเจี๋ยนผลักประตูด้วยใจกังวลและเดินเข้าไป เขาก็เห็นอู๋จินกุ้ยและเหยาชุ่ยฮวานั่งอยู่ในห้องนั่งเล่นเหมือนกับซากศพ มองเขาด้วยสายตาว่างเปล่าและไม่มีปฏิกิริยาใด ๆ
เมื่อเห็นสิ่งนี้ ขอบตาอู๋เสี่ยวเจี๋ยนอดไม่ได้ที่จะแดงระเรื่อ
ทั้งสองเป็นพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด และได้เห็นกันมานานกว่า 20 ปี ยามนี้พวกเขาดูซีดเซียวและอ่อนแอ เขาจึงรู้สึกผิดอยู่ในใจ
เวลานี้เขากำลังรู้สึกผิดในใจ เพื่อที่จะให้หลินเพ่ยทำศัลยกรรมพลาสติก เขาจึงขายพี่น้องทั้งหมดด้วยมือของตัวเอง นี่เป็นเรื่องถูกต้องแล้วหรือ
หลินเพ่ยสังเกตเห็นทุกการแสดงออกบนใบหน้าของอู๋เสี่ยวเจี๋ยน
หล่อนกัดฟันด้วยความเกลียดชัง
หญิงสาวสาปแช่งอยู่ในใจ ไอ้สุนัขรับใช้ตัวนี้ ฉันอุตส่าห์ยอมอยู่ด้วย แต่นายยังกล้าคิดรู้สึกผิด ช่างไม่รู้ที่ต่ำที่สูงเสียเลย!
หล่อนสาปแช่งบรรพบุรุษของอู๋เสี่ยวเจี๋ยนแปดร้อยชั่วอายุคนอย่างเงียบงันครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่บนใบหน้ากลับเต็มไปด้วยความไม่สบายใจ ความอึดอัดใจ และการตำหนิตัวเอง ซึ่งทำให้อู๋เสี่ยวเจี๋ยนทุกข์ใจ
เขาจับมือหลินเพ่ยแน่นเพื่อให้หล่อนมั่นใจ จากนั้นเรียกขานทั้งสองด้วยความอาย “พ่อ แม่”
จากนั้นอู๋จินกุ้ยและเหยาชุ่ยฮวาก็ตอบสนอง
เหยาชุ่ยฮวาถามอู๋จินกุ้ยด้วยความไม่อยากเชื่อ “แกได้ยินลูกชายคนโตเรียกเราไหม?”
อู๋จินกุ้ยพยักหน้า “ไม่เพียงแค่ได้ยินลูกชายคนโตเรียกเราเท่านั้น ฉันยังเห็นเขาด้วย แต่ทั้งหมดเป็นเพียงความฝัน อย่าคิดมากเลย”
เมื่ออู๋เสี่ยวเจี๋ยนได้ยินสิ่งนี้ น้ำตาสองสายไหลอาบแก้มทันที เขาคุกเข่าลงพื้นพร้อมกล่าวว่า “พ่อ แม่ นี่ไม่ใช่ความฝัน ผมกลับมาแล้วจริงๆ
อู๋จินกุ้ยและภรรยาเดินเขาไปหาอู๋เสี่ยวเจี๋ยน ก่อนเอื้อมมือไปสัมผัสเขา
เหยาชุ่ยฮวาหันไปถามอู๋จินกุ้ยว่า “มันให้ความรู้สึกที่เหมือนจริงมาก ไม่เหมือนกับความฝัน ฉันควรกัดตัวเองสักครั้งเพื่อดูว่ามันเจ็บไหม จะได้รู้ว่านี่คือความจริงหรือความฝัน”
นางยกมือข้างหนึ่งขึ้นกัด จากนั้นก็กรีดร้องด้วยความเจ็บปวด
แต่ดวงตาของนางเต็มไปด้วยความประหลาดใจ “ตาเฒ่า มันเจ็บมาก นี่ไม่ใช่ความฝัน!”
อู๋จินกุ้ยกัดตัวเองและพยักหน้ารับครั้งแล้วครั้งเล่า “ไม่ใช่ความฝัน มันคือเรื่องจริง ลูกรักของเรากลับมาแล้ว
สองสามีภรรยาน้ำตาไหลด้วยความปีติ
เหยาชุ่ยฮวาปาดน้ำตา มองไปยังขากางเกงที่ว่างเปล่าของอู๋เสี่ยวเจี๋ยน ก่อนเบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจและถามด้วยเสียงสั่นเครือว่า “เสี่ยวเจี๋ยน ลูกรัก… ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้?”
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนกัดฟันและพูดว่า “เรื่องมันยาวครับ แต่ทั้งหมดเกิดขึ้นเพราะนังหลินม่าย”
จากนั้นเขาโกหกเพื่อใส่ความหลินม่าย ว่าเธอเป็นคนทำให้เขาสูญเสียขาไปข้างหนึ่ง
ไม่ว่าอย่างไร เป้าหมายหลักคือการทำให้พ่อแม่ของเขาดูแคลนหลินม่าย
อู๋จินกุ้ยและภรรยาหลงเชื่อโดยง่ายดาย พวกเขาต่างพากันด่าทอหลินม่ายอย่างรุนแรง
ยังไม่ทันที่อู๋เสี่ยวเจี๋ยนจะร้องออกมาว่าเขาหิว อารมณ์ของทั้งคู่ก็สงบลงเล็กน้อย
ในที่สุดเหยาชุ่ยฮวาก็สังเกตเห็นหลินเพ่ยซึ่งเบียดเสียดอยู่ตรงมุมห้อง
นางถามอย่างมีความหวัง “เสี่ยวเจี๋ยน ผู้หญิงที่มีผ้าเช็ดหน้าปิดบังคือใคร? เป็นน้องสาวของแกหรือเปล่า?”
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนชะงักและพูดว่า “มะ… ไม่ หล่อนคือ… ลูกสะใภ้ของพ่อแม่ครับ”
เหยาชุ่ยฮวาไม่เหมือนกับแม่สามีส่วนใหญ่ นางไม่ได้มีความสุขตามปกติเมื่อได้ยินว่าลูกชายมีภรรยาแล้ว
นางมองหลินเพ่ยตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างสงสัย “ภรรยาของแก? แกแต่งงานแล้วหรือ? แล้วทำไมภรรยาแกถึงต้องปิดหน้าปิดตาด้วย นี่หมายความว่าอย่างไร?”
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนบอกกล่าวพ่อแม่ของเขาล่วงหน้า “คือ… ภรรยาของผมขี้เหร่ไปบ้าง หล่อนเลยปิดหน้าไว้”
อู๋จินกุ้ยพูดอย่างหงุดหงิดว่า “แม้หล่อนจะไม่สะสวยมากมายอะไร แต่ก็ควรให้พ่อแม่สามีได้เห็นหน้า บอกหล่อนให้ถอดผ้าปิดหน้าออกซะ!”
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากมองไปทางหลินเพ่ยอย่างช่วยไม่ได้
หลินเพ่ยดุด่าอู๋จินกุ้ยและภรรยาของเขาอย่างเลือดเย็นในใจ แต่สุดท้ายก็ยกมือขึ้นปลดผ้าเช็ดหน้าที่ปิดไว้ออกอย่างเชื่อฟัง
อู๋จินกุ้ยและภรรยาตกใจกับรูปลักษณ์ที่น่าสะพรึงกลัวของหล่อนจนถอยหลังไปหลายก้าว แต่พวกเขาก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว
เหยาชุ่ยฮวาจ้องมองดวงตาของหลินเพ่ยอย่างใกล้ชิด
แม้ว่าหล่อนจะเสียโฉม แต่ก็ไม่มีใครที่จำหล่อนไม่ได้
เพราะความร้ายกาจในดวงตาของหล่อนไม่เคยเปลี่ยนไปเลยสักนิด
ความชั่วร้ายที่ไม่สามารถปกปิดได้นี้ทำให้เหยาชุ่ยฮวาจดจำหล่อนได้
เหยาชุ่ยฮวาชี้ไปที่หลินเพ่ยด้วยใบหน้าหมองหม่น และถามอู๋เสี่ยวเจี๋ยนอย่างไม่มั่นใจว่า “หล่อนคือหลินเพ่ยนังหญิงสารเลวคนนั้นหรือเปล่า?”
สิ่งที่อู๋เสี่ยวเจี๋ยนเกลียดที่สุดในชีวิตคือ เวลาที่มีคนมาดูหมิ่นเทพธิดาของเขา
หากเป็นในอดีต อู๋เสี่ยวเจี๋ยนอาจยอมให้เหยาชุ่ยฮวาดุด่าหลินเพ่ยแบบนี้
เนื่องจากในเวลานั้นหลินเพ่ยไม่ได้มีชีวิตที่น่าสังเวช
แต่ตอนนี้หลินเพ่ยกำลังติดตามเขา อดทนต่อความยากลำบาก ขาดอาหารและเครื่องดื่ม และแม้กระทั่งทุกข์ทรมานจากการเสียโฉมที่ผู้อื่นก่อขึ้น
เขาไม่มีเวลาแม้แต่จะรู้สึกสงสารหล่อน แล้วเขาจะทนให้คนอื่นดูหมิ่นหล่อนได้อย่างไร?
แม้แต่พ่อแม่ของเขาเองก็ไม่ได้รับอนุญาตให้ทำเช่นนั้น!
สิ้นเสียงของเหยาชุ่ยฮวา อู๋เสี่ยวเจี๋ยนก็คำรามด้วยความโกรธ “หยุดเรียกหล่อนว่าหญิงสารเลวได้ไหม! แม่เห็นสถานการณ์ปัจจุบันของผมหรือเปล่า ถึงกระนั้นเพ่ยเพ่ยก็ยังเต็มใจแต่งงานกับผม พ่อกับแม่เองก็ต้องพึ่งพาหล่อน แต่กลับดูถูกหล่อนแบบนี้ แม่ยังเป็นมนุษย์อยู่หรือเปล่า!”
เมื่อเห็นอู๋เสี่ยวเจี๋ยนตวาดใส่แม่ของเขาเพราะตนเอง หลินเพ่ยพลันรู้สึกมีความสุขอยู่ในใจ
แต่หล่อนกลับเข้าไปห้ามปรามและบอกให้เขาหยุด
สายตาที่จริงใจคู่นั้นทำให้อู๋เสี่ยวเจี๋ยนรู้สึกว่าหล่อนเป็นคนใจกว้างและใจดี เขาจึงหันกลับไปด่าทอผู้เป็นแม่แรงขึ้น
เหยาชุ่ยฮวาถูกลูกชายของดุจนไม่กล้าด่าอีก ก้มหน้าลงอย่างอับอาย ขณะเหลือบมองหลินเพ่ยด้วยสายตาไม่พอใจเป็นครั้งคราว
ลูกชายผู้หลงผิดและโง่เขลาของนางไม่เข้าใจเจตนาชั่วร้ายในคำพูดของหลินเพ่ย ขณะที่นางได้ยินเจตนาที่แท้จริงในทุกประโยค
ยิ่งหลินเพ่ยพยายามห้ามปรามเขามากเท่าใด อู๋เสี่ยวเจี๋ยนกลับยิ่งด่าทอนางมากเท่านั้น จนทำให้นางแทบอยากคว้ามีดมาฟันหญิงคนนั้นสักแผล
อู๋จินกุ้ยทนมองจากด้านข้างไม่ได้ เขาคำรามใส่อู๋เสี่ยวเจี๋ยน “พอแล้ว! หุบปากซะ!”
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนหยุดด่าทอแม่ของตนและพูดอย่างเย่อหยิ่ง “เราสองคนยังไม่ได้กินข้าวเลย ทำไข่ลวกให้พวกเราสองชามได้ไหม”
เหยาชุ่ยฮวาเหลือบมองหลินเพ่ยเล็กน้อย ก่อนจะเดินเข้าครัวไปอย่างไม่เต็มใจ
อู๋จินกุ้ยถามอย่างระมัดระวัง “เสี่ยวเจี๋ยน ในวันนั้นน้องๆ ของแกหายไปกับแกนี่ พวกเขาไปกับแกใช่ไหม?”
หลินเพ่ยมองไปที่อู๋เสี่ยวเจี๋ยนอย่างประหม่า
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนตอบกลับอย่างใจเย็น “ใช่ครับ”
อู๋จินกุ้ยดีใจมาก “แล้วน้องๆ ของแกล่ะ? ทำไมถึงไม่กลับมาด้วยกัน?”
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนโบกมือ “อย่าพูดถึงเลย ตั้งแต่ที่น้องๆ ตามผมไปที่กว่างโจว ไม่ว่าผมจะบอกพวกเขายังไง พวกเขาก็ไม่ยอมกลับมา”
หลังจากหยุดครู่หนึ่ง เขาพูดอีกครั้ง “เมืองใหญ่มีสิ่งแปลกใหม่ล่อตามากมาย ใครเล่าจะอยากกลับชนบท!”
เหยาชุ่ยฮวาทำไข่ลวกสองชามแล้วนำออกมาวางบนโต๊ะอาหาร “น้องๆ ของแกอยู่ในกว่างโจวไม่มีเงินไม่ใช่เหรอ พวกเขาจะกินดื่มกันยังไง?”
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนนั่งลงที่โต๊ะอาหารพร้อมกับหลินเพ่ย ก่อนแบ่งไข่ลวกครึ่งหนึ่งในชามของตัวเองให้หล่อน
เขากัดไข่ลวกโดยไม่คำนึงว่าร้อนแค่ไหน ก่อนที่จะกลืนมันลงไปอย่างรวดเร็ว
จากนั้นเขาตอบคำถามของเหยาชุ่ยฮวา “น้องๆ ของผมหางานทำในกว่างโจวได้หมดแล้วแหละ แม่ยังกังวลว่าพวกเขาจะไม่มีอะไรกินอีกหรือ? พวกเขากินอยู่ดีกว่าแม่มาก ได้กินปลาและเนื้อสัตว์แทบทุกมื้อ”
เหยาชุ่ยฮวาตกตะลึงไปชั่วขณะ “ไม่ใช่ว่าแกใช้เงินที่น้องๆ แกทำงานได้ไปหมดแล้วนะ?”
“ไม่ใช่นะ!” อู๋เสี่ยวเจี๋ยนโกหกราวกับว่ามันเป็นเรื่องจริง
อู๋จินกุ้ยถามว่า “แกพาน้อง ๆ ไปทำงานที่กว่างโจว ทำไมถึงไม่บอกทางบ้านบ้างเลย? มันทำให้พวกเรากังวล”
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนกินไข่ลวกในชามของเขาหมดทั้งสองฟองแล้ว กระนั้นก็ยังไม่อิ่มท้อง
แต่เขาทำได้แค่รออาหารเย็นวันส่งท้ายปีเก่า
เขาพูดกับอู๋จินกุ้ยว่า “น้อง ๆ ตามผมไปทำงานที่กว่างโจว ผมไม่รู้เรื่องนี้เลยด้วยซ้ำ ผมไม่รู้กระทั่งผมลงจากรถไฟและพบว่าพวกเขาแอบตามผมมา แล้วผมจะบอกพ่อแม่ได้อย่างไร?”
“แต่แกจากไปโดยไม่บอกเราสักคำ” อู๋จินกุ้ยไม่ได้เชื่อคำโกหกของเขาอย่างง่ายดายนัก
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนพูดพลางตีหน้าเศร้า “คราวที่ผมกลับบ้านตอนนั้น พ่อกับแม่เอาแต่ดุด่าผม ผมอารมณ์ไม่ดีจึงไม่ได้บอกลา และแอบกลับออกไป”
อู๋จินกุ้ยถอนหายใจอย่างหนักด้วยความรู้สึกผิด
เหยาชุ่ยฮวาหันไปถามลูกชาย “เสี่ยวเจี๋ยน พ่อกับแม่ไปกว่างโจวเพื่อเจอกับน้อง ๆ ได้ไหม?”
หลังจากไม่เห็นลูกอีกสามคน เหยาชุ่ยฮวาก็รู้สึกไม่สบายใจอยู่เสมอ
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนตอบกลับ “ทำไมจะไม่ได้ล่ะ? ตราบใดที่พ่อแม่จ่ายค่าเดินทางได้”
เหยาชุ่ยฮวาและสามีนิ่งเงียบทันทีเมื่อได้ยินสิ่งนี้ ครอบครัวของพวกเขายากจนมาก แล้วจะเดินทางไปกว่างโจวได้อย่างไร?
อู๋เสี่ยวเจี๋ยนกล่าวด้วยความเข้าอกเข้าใจ “ผมกับเพ่ยเพ่ยกลับมาคราวนี้ ไม่ได้คิดจะจากไปไหนอีก เราสองคนตัดสินใจที่จะเปิดฟาร์มไก่เพื่อหารายได้ เมื่อได้เงินจากการเลี้ยงไก่แล้ว ผมกับเพ่ยเพ่ยจะพาพ่อกับแม่ไปกว่างโจวเพื่อเยี่ยมน้อง ๆ ก็ได้”
เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะเลี้ยงไก่ เขาแค่พยายามหาข้ออ้างเพื่อหลอกโกงเงินจากพ่อแม่ จากนั้นเขาและหลินเพ่ยจะหลบหนีและเริ่มต้นใหม่ด้วยกันอีกครั้ง
สำหรับเส้นทางในอนาคต พวกเขาจะลองทำทีละขั้นตอนและดูว่าสิ่งต่าง ๆ เป็นอย่างไร
เหยาชุ่ยฮวาพยักหน้ารับอย่างช่วยไม่ได้
………………………………………………………………………………………………………………………….
สารจากผู้แปล
โกหกพ่อแม่เพื่อผู้หญิงคนชั่วคนหนึ่งขนาดนี้ สักวันเรื่องก็จะแดงขึ้น ระวังบาปกรรมตามทันนะ
ไหหม่า(海馬)