แม่ปากร้ายยุค 80 - ตอนที่ 965 สตาร์ไลท์พลาซ่า
ตอนที่ 965 สตาร์ไลท์พลาซ่า
หลังจากนั้นไม่นาน แขกเหรื่อก็เริ่มมาถึงที่ละคน
ครั้นผู้จัดการโม่เห็นหลินม่าย เขาจึงขอเปลี่ยนที่นั่งกับใครบางคนเพื่อนั่งลงข้างเธอ
เขาบอกเธอว่ามีโครงการก่อสร้างในเมือง เป็นการสร้างประตูสาธารณะที่ถนนสี่แยก
เขาอยากได้รับสิทธิ์ในการก่อสร้างและกำลังจะรายงานเรื่องนี้ต่อหลินม่าย แต่ปรากฏว่าหลินม่ายมาร่วมฉลองงานแต่งงานของหลี่หมิงเฉิงด้วย เขาจึงใช้โอกาสพูดคุยกับเธอ
หลินม่ายตอบกลับว่าเทศบาลสามารถรับงานนี้ได้ด้วยตัวเอง
ต่อให้เป็นแค่การสร้างถนน มันก็สามารถทำกำไรได้ประมาน 20%
โครงการสามารถเริ่มต้นได้ด้วยการจ่ายเงินล่วงหน้าเล็กน้อย และจะได้รับคืนตามความคืบหน้ารายเดือน ความเสี่ยงมีน้อยมาก แต่กำไรกลับสูง
ผู้จัดการโม่ยังคงลังเล ก่อนจะพูดต่อว่า “งานประมูลถนนสายนี้ของเทศบาลมีเงื่อนไขผูกมัดด้วยนะครับ”
หลินม่ายหยิบน่องไก่ส่งให้เสี่ยวมู่ตงในอ้อมแขนเคี้ยวเล่น “เงื่อนไขอะไรเหรอคะ?”
“ก็คือถ้าเราสามารถประมูลงานก่อสร้างในเมืองนี้ได้ เราจะเป็นสานต่อโครงการ… สตาร์ไลท์พลาซ่าครับ”
คำว่า ‘สตาร์ไลท์พลาซ่า’ ราวกับสายฟ้าฟาดลงในใจของหลินม่าย
สตาร์ไลท์พลาซ่าเป็นห้างสรรพสินค้าที่รวมเอาร้านค้าและอาคารสำนักงานต่าง ๆ เข้าด้วยกัน เป็นการลงทุนและสร้างโดยองค์กรที่ได้รับการสนับสนุนจากไต้หวันในปี 1984
ผู้คนในฮ่องกง มาเก๊า และไต้หวันเชื่อถือเรื่องโชคลางมาก และเมื่อนักธุรกิจชาวไต้หวันเริ่มก่อสร้างสตาร์ไลท์พลาซ่า ทุกอย่างก็ไม่เคยราบรื่นสักครั้ง
ประการแรก พวกเขาไม่สามารถลงเสาเข็มได้ ต้องนิมนต์พระเกจิชื่อดังจากวัดเป่าตงมาสวดมนต์นานสองถึงสามวัน แล้วยังต้องบูชารูปแกะสลักหินมังกรเขียวและพยัคฆ์ขาวมานั่งบนพื้นเพื่อให้สามารถลงเสาเข็มได้
และหลังจากนั้นก็เกิดอุบัติเหตุอย่างต่อเนื่องทั้งเล็กใหญ่ไม่จบสิ้น
เห็นว่ายังต้องปิดสองสามชั้นเพราะรองผู้อำนวยการประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ และต้องสูญเสียขาไป
จากนั้นผู้จัดการทั่วไปที่ทำหน้าที่ดูแลอาคารก็ประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์เช่นเดียวกัน และยังต้องรักษาตัวในห้องผู้ป่วยหนัก
จากนั้นผู้บริหารหลายคนในบริษัทก็เริ่มประสบปัญหาไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
นักธุรกิจชาวไต้หวันพยายามคุยกับหมอดูเพื่อปรับฮวงจุ้ย
ซินแสกล่าวไว้ว่าเป็นเพราะมีวิทยาลัยหลายแห่งรอบอาคาร และมีคนหนุ่มสาวจำนวนมากอยู่ในบริเวณนี้ มันจึงก่อตัวเป็นกระแสน้ำวนขนาดใหญ่ดูดกลืนเอาพลังงานไปหมดสิ้น
หากทรัพย์สมบัติและโชคของสตาร์ไลท์พลาซ่ายังถูกดูดกลืนเช่นนี้ สตาร์ไลท์พลาซ่าก็จะต้องประสบแต่โชคร้ายตลอดไป
ไม่มีทางที่จะลบล้างได้นอกจากรื้อถอนวิทยาลัยทั้งหมดโดยรอบ
นักธุรกิจชาวไต้หวันคนนั้นไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากล้มเลิกการก่อสร้างสตาร์ไลท์พลาซ่า
แต่การก่อสร้างสตาร์ไลท์พลาซ่านั้นใช้เงินไปแล้วจำนวนมาก จึงค่อนข้างเป็นที่เสียดายเมื่อถูกโยนทิ้งร้าง
ดังนั้นนักธุรกิจชาวไต้หวันจึงขอให้ผู้นำเมืองช่วยหาคนมารับช่วงต่อให้ ตราบใดที่คนผู้นั้นยินยอมรับช่วงต่อ เขายินดีลงทุนให้สิบล้านหยวนเพื่อเปิดโรงงานในเจียงเฉิง
การลงทุนสิบล้านหยวนเพื่อสร้างโรงงานสามารถสร้างงานสร้างอาชีพได้ และยังบรรเทาปัญหาการจัดจ้างงานในเจียงเฉิงได้อีกด้วย
เช่นนี้ผู้นำเมืองจึงตัดสินใจช่วยนักธุรกิจชาวไต้หวันและหาคนมารับช่วงต่อ ดังนั้นพวกเขาจึงคิดจะรวมโครงการสตาร์ไลท์พลาซ่าและโครงการสร้างถนนทางหลวงเข้าด้วยกัน
อีกทั้งเหตุการณ์ประหลาดเกี่ยวกับสตาร์ไลท์พลาซ่าในก่อนหน้านี้ก็แพร่กระจายไปทั่วทั้งเจียงเฉิงแล้ว
ในชีวิตที่แล้วหลินม่ายคิดจะซื้อร้านค้าที่ชั้นหนึ่งของโครงการสตาร์ไลท์พลาซ่าด้วย แต่เพราะเธอหวาดกลัวข่าวลือเหล่านี้จึงต้องหยุดชะงักไป
ดูเหมือนว่าในชาติที่แล้ว ประมาณปลายปี 1986 นักธุรกิจชาวไต้หวันอีกคนหนึ่งซึ่งกล่าวอ้างว่าเป็นคนขยันได้ครอบครองสตาร์ไลท์พลาซ่าและดำเนินการสร้างห้างสรรพสินค้าด้วยตนเอง อีกทั้งกิจการก็เฟื่องฟูไม่รู้จบ
เพราะห้างสรรพสินค้าแห่งนี้รายล้อมไปด้วยมหาวิทยาลัย จึงเป็นแหล่งช็อปปิ้งของเหล่าบรรดาอาจารย์และนักศึกษาจากมหาวิทยาลัยมาจับจ่ายใช้สอยอย่างคึกคัก
นอกจากนั้นในเวลาต่อมา รัฐบาลให้ความสำคัญในการสนับสนุนพื้นที่โดยรอบเพื่อสร้างแหล่งท่องเที่ยวใกล้เคียง
นักพัฒนาบางคนสร้างที่อยู่อาศัยระดับสูงจำนวนมาก รวบรวมเหล่าคนร่ำรวยไว้ที่มุมถนน และธุรกิจของสตาร์ไลท์พลาซ่าก็ยิ่งดีขึ้นไปอีก
โครงการสตาร์ไลท์พลาซ่าก็เพิ่มราคาขึ้นด้วยเช่นกัน
ในใจของหลินม่ายเต็มไปด้วยความเสียใจ เกลียดตัวเองที่ไม่ยอมซื้อร้านในโครงการสตาร์ไลท์พลาซ่าเพราะความโง่เขลาของตัวเอง
ดังนั้นนั้นจึงกล่าวได้ว่า จุกตายนั้นกล้าหาญ หิวตายนั้นขี้ขลาด
ในชีวิตนี้หลินม่ายกล้าหาญ เธอยอมถูกบีบคอจนตายดีกว่าอดตาย
เธอบอกผู้จัดการโม่ให้จัดการได้เลย
หลังจากดื่มฉลองงานแต่งงานแล้ว หลินม่ายพาเด็กน้อยทั้งสามกลับบ้านเพื่อไปเก็บกระเป๋าและตรงสู่สนามบิน
เธอรีบออกจากประตูโรงแรมและพบเจอร่างคุ้นเคยปรากฏขึ้นไม่ไกลนัก
มองเพียงครั้งเดียวเธอก็จดจำได้ว่านั่นคือเสี่ยวหม่าน
ในระหว่างนั่งอยู่ในงานเลี้ยง หลินม่ายได้พบเจอแขกเหรื่อมากมายและไม่ได้พบกับเสี่ยวหม่าน
เธอคิดว่าหลี่หมิงเฉิงไม่ได้เชิญเสี่ยวหม่านมาร่วมงาน หรืออาจจะเป็นเพราะเสี่ยวหม่านอับอายเกินกว่าจะมาที่นี่
เธอไม่คิดมาก่อนว่าอีกฝ่ายจะซ่อนตัวอยู่นอกโรงแรมและแอบดูงานแต่งงานของหลี่หมิงเฉิงไกล ๆ
หล่อนรักหลี่หมิงเฉิงงั้นเหรอ แล้วถ้ารัก ทำไมถึงไม่อยากคบหากับเขา?
แต่ถ้าหากไม่รัก จะมาลอบแอบดูงานแต่งงานของเขาทำไม
เธอรู้สึกสับสนกับคนตรงหน้าจริง ๆ
เวลานี้เธอให้กุญแจกับเสี่ยวเหวินและให้เขาพาโต้วโต้วกลับบ้านไปก่อน
ส่วนเธออุ้มเสี่ยวมู่ตงเอาไว้พร้อมกับเดินตามเสี่ยวหม่าน
เธอไม่สามารถวิ่งเร็วได้หากมีเด็กชายตัวน้อยอยู่ในอ้อมแขน เวลานี้เสี่ยวหม่านจึงขึ้นรถแท็กซี่ตรงหน้าและจากไปอย่างรวดเร็ว
หลินม่ายไม่มีทางเลือกนอกจากยอมแพ้ และกลับบ้านพร้อมกับเสี่ยวมู่ตง
ทันทีที่เธอมาถึงถนนตงถิง ร่างในชุดสีแดงพุ่งออกมาจากข้างถนนพร้อมกับเข้าขวางทางเธอเอาไว้
หลินม่ายค่อยๆ พิจารณา จึงเห็นว่าเป็นว่านเสียน
เธอพร้อมกับเสี่ยวมู่ตงในอ้อมแขนถอยห่างออกมาหลายก้าวก่อนจะถามออกไปอย่างระมัดระวัง “ต้องการอะไร?”
เห็นหลินม่ายกังวลอย่างนั้น ว่านเสียนถึงกับคำรามลั่น “รู้จักกลัวด้วยเหรอ? แต่ทำไมตอนแยกฉันกับหมิงเฉิงถึงไม่หวาดกลัวบ้าง!”
หลังพูดจบ หล่อนยกมีดขึ้นพร้อมกับคิดจ้วงแทงหลินม่าย “นังสารเลว ไปตายซะ!”
“แกนั่นแหละไปตาย!” หลินม่ายไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้เธอแน่นอน เวลานี้เธอเตะอีกฝ่ายจนกระเด็นไปหลายเมตร
ตราบใดที่เธอพอจะมีเวลา เธอจะฝึกฝนทักษะการต่อสู้เสมอ เพื่อให้มีร่างกายที่แข็งแรงและมีพละกำลัง
ว่านเสียนถูกเตะจนเลือดกบปาก แต่ก็ยังยืนขึ้นอย่างดื้อด้านและหยิบมีดสั้นบนพื้นขึ้นมาจ้วงแทงอีกครั้ง
ทว่าพระเจ้าไม่มอบโอกาสนั้นให้เธออีกแล้ว
เพื่อนบ้านของหลินม่ายกลับมาจากการซื้อผัก เขาเห็นเหตุการณ์นี้และบุกเข้ามาอย่างรวดเร็ว เพียงก้าวเดียวก็ถีบว่านเสียนจนกระเด็นลอยไปไกลก่อนจะกดร่างของหล่อนไว้กับพื้น
ว่านเสียนไม่สามารถลุกขึ้นได้อีกครั้งไม่ว่าจะดิ้นรนมากแค่ไหน
หลังเกิดเรื่องราวนี้ เธอก็ไม่สามารถไปไหนได้อีกนอกจากไปลงบันทึกประจำวันไว้ที่สถานีตำรวจ
มีพยานเห็นเหตุการณ์หลายคนว่าว่านเสียนพยายามฆ่า แม้หล่อนอยากจะปฏิเสธแค่ไหนก็ไม่สามารถทำได้ ตอนนี้ก็ถูกควบคุมตัวเข้าสู่ศูนย์กักกันเรียบร้อยแล้ว
หลินม่ายอุ้มเสี่ยวมู่ตงและเดินออกจากสถานีตำรวจพร้อมกับเพื่อนบ้านคนนั้น
ทั้งสองพูดคุยกันมาตลอดทาง จนกระทั่งหลินม่ายรู้ว่าเพื่อนบ้านชายคนนี้ชื่ออู่เจิ้นหัว
เธอต้องการเชิญเขาไปรับประทานอาหาร แต่ว่าเขาปฏิเสธ
เมื่อแม่และเด็กชายตัวน้อยกลับมาถึงบ้าน เสี่ยวเหวินและโต้วโต้วรีบเข้ามาถามว่าทำไมถึงกลับมาช้า
หลินม่ายไม่ต้องการให้พวกเขารู้ว่าเธอกับเสี่ยวมู่ตงตกอยู่ในอันตราย และไม่ต้องการให้ฟางจั๋วหรานทราบเรื่องนี้
ดังนั้นเธอจึงโกหกเพื่อหลบเลี่ยงประเด็นนี้ แต่ถูกเสี่ยวมู่ตงเปิดโปง
เขากล่าวด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้ว “ไม่ใช่แบบนั้น”
เสี่ยวเหวินรีบถาม “เป็นแบบไหนล่ะ?”
แม้เสี่ยวมู่ตงจะพูดกระท่อนกระแท่นและไม่สามารถอธิบายเรื่องราวได้ชัดเจน แต่เสี่ยวเหวินกับโต้วโต้วก็เข้าใจสิ่งที่เขาจะสื่อ
ลูกทั้งสองคนรีบถามหลินม่ายอย่างห่วงใยว่าบาดเจ็บตรงไหนหรือไม่
หลินม่ายลูบหัวเล็ก ๆ ทั้งสองก่อนจะตอบด้วยรอยยิ้ม “ไม่จ้ะ”
จากนั้นก็บอกเด็ก ๆ ว่าอย่าพูดเรื่องนี้กับฟางจั๋วหราน
เด็กน้อยทั้งสองคนพยักหน้า ส่วนเสี่ยวมู่ตงเมื่อเห็นพี่ชายและพี่สาวพยักหน้าแล้ว เขาจึงพยักหน้าตาม
……
หลังรับประทานอาหารมื้อเย็น ฟางจั๋วหรานโทรมาถามหลินม่ายว่าทำไมวันนี้ถึงยังไม่กลับมาที่เมืองหลวง
หลินม่ายบอกกับเขาว่าเธอมีเรื่องโครงการที่ต้องพูดคุยสักหน่อย และมันล่าช้าไปมาก จึงได้กลับเมืองหลวงพรุ่งนี้แทน
ฟางจั๋วหรานจึงยอมผ่อนคลายลง
วันรุ่งขึ้น หลังจากรับประทานมื้อเช้าที่บ้าน ทั้งสี่คนเดินทางออกจากบ้านพร้อมกระเป๋าเดินทางเตรียมไปขึ้นเครื่องบิน
หลังจากเดินออกจากประตูลานบ้าน แม่ว่านก็วิ่งออกมาจากที่ไหนไม่ทราบ
หล่อนต้องการจะฉีกร่างของหลินม่ายเป็นชิ้น ๆ แต่ก็ยังหวาดกลัว เวลานี้จึงยืนห่างออกไประยะหนึ่งพร้อมกับตะโกน
คำสาปแช่งนั้นจับใจความได้ว่าหลินม่ายจะต้องตายตกอย่างเลวร้าย
หลินม่ายประชดกลับ “ครอบครัวของคุณต่างหากที่กำลังจะตาย ลูกสาวคนเล็กของคุณอยู่ในคุกแล้ว แล้วลูกสาวคนโตยังโดนข้อหาพยายามฆ่า จึงได้เข้าไปอยู่ในคุกเป็นเพื่อนน้องสาว ครอบครัวของคุณพังพินาศอย่างนี้แต่ยังมีเวลามาต่อว่าคนอื่น!”
เสียงก่นด่าของแม่ว่านดังก้องจนเพื่อนบ้านทั้งหมดออกมาดู
อู่เจิ้นหัวเดินออกมาจากบ้านหลังได้ยินเสียงสาปแช่งชุดใหญ่
เขาไม่พูดอะไรมาก เพียงแต่เรียกสุนัขตัวใหญ่ของตนออกมาพร้อมชี้ไปที่แม่ว่านแล้วออกคำสั่ง “หวางไฉ ไล่หล่อนไป!”
หมาป่าตัวใหญ่พุ่งเข้าหาแม่ว่านราวกับลูกศรหลุดจากคันธนู มันส่งเสียงเห่าพร้อมข่มขู่อย่างหนัก เขี้ยวในปากถูกเผยออกทุกซี่สร้างความหวาดกลัวให้ผู้พบเห็นไปทั่ว
แม่ว่านตื่นตระหนกหวาดกลัวจนตัวสั่น หันหลังพร้อมวิ่งหนีจนรองเท้าหลุด อับอายจนแทบจะแทรกแผ่นดินหนี
หลินม่ายกล่าวขอบคุณด้วยรอยยิ้ม
เมื่อเห็นว่าเธอกับทุกคนกำลังลากกระเป๋าเดินทาง อู่เจิ้นหัวถามขึ้นว่า “พวกคุณจะกลับแล้วเหรอครับ?”
หลินม่ายพยักหน้า “เด็กสองคนนี้ต้องกลับไปเรียนแล้วค่ะ”
อู่เจิ้นหัวถามต่อ “คุณจะไปสนามบินหรือสถานีรถไฟล่ะ เดี๋ยวผมไปส่ง”
หลินม่ายเหลือบมองผู้หญิงที่เดินออกมาจากบ้านของอู่เจิ้นหัวและมองเธออย่างระมัดระวัง ก่อนจะพูดว่า “ไม่เป็นไรค่ะ”
มีแท็กซี่ผ่านมาพอดี หลินม่ายเรียกแท็กซี่ก่อนจะพาเด็กทั้งสามคนขึ้นรถ
อู่เจิ้นหัวหันกลับมาด้วยความหดหู่ก่อนจะเดินเข้าบ้าน
แต่เวลานี้หยางฉินผู้เป็นภรรยาของเขากำลังจ้องมองรถแท็กซี่ที่หลินม่ายกับเด็ก ๆ เพิ่งขึ้นไปด้วยแววตาดุร้าย
เขาจึงถามออกไปน้ำเสียงราบเรียบ “ที่พวกเขาไม่กล้าขึ้นรถของผม เป็นเพราะคุณไปสร้างความหวาดกลัวให้พวกเขาเหรอ?”
ใบหน้าของหยางฉินมืดมน “ฉันผิดหรือไงที่ไม่ให้นังจิ้งจอกนั่นนั่งรถคุณ?”
อู่เจิ้นหัวรู้สึกรำคาญ “จิตใจของคุณแคบยิ่งกว่าปลายเข็ม และคุณก็จับตามองผมตลอดทั้งวันอย่างกับผมจะหายไปไหน ผมกับเสี่ยวหลินเกือบจะได้มีสัมพันธ์อันดีต่อกัน แต่คุณกลับเข้ามาขัดขวางเส้นทางความรวย! สร้างแต่ปัญหาจริง ๆ!”
หลังจากนั้นเขาเดินเข้าบ้านด้วยความโกรธ
หยางฉินเดินตามหลังพร้อมตะโกนลั่น “พูดมาให้ชัด ๆ เลยสิว่าใครกันแน่ที่ชอบสร้างปัญหา? เห็นๆ อยู่ว่าคุณอยากจะก้อร่อก้อติกสาวสวย อยากจะเจ้าชู้ไก่แจ้กับพวกหล่อน แต่คุณแค่พูดจาให้ดูดีเท่านั้นแหละ!”
………………………………………………………………………………………………………………………..
สารจากผู้แปล
ลูกสาวโดนขังคุกสองคน สมใจป้าไหมล่ะ ต่อจากนี้ป้าก็ไม่ต้องขายลูกสาวกินแล้ว
ผู้ชายคนนี้จะมาดีมาร้ายน้อ?
ไหหม่า(海馬)