แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 142 ร้านผ้าไหม
กงจี้พยักหน้าอย่างเย่อหยิ่ง “ข้าไม่ดื่ม ดมดูก็รู้แล้วว่าเป็นชาหลงจิ่งก่อนฝนตก มันธรรมดาเกินไป ข้าไม่ชิน”
เจียงป่าวชิงเดาว่ากงจี้น่าจะเป็นพวกรักความสะอาดเกินไป นางนำชากลับไปวางบนโต๊ะหินด้วยท่าทางอ่อนโยนเชื่อฟัง
เดิมทีกงจี้ก็เป็นที่สนใจของผู้คนอยู่แล้ว เมื่อเขาทำตัวแบบนี้ มันก็ยิ่งเป็นที่ดึงดูดสายตาของผู้คนมากกว่าเก่า
ชายหนุ่มที่แต่งกายดูดีราวกับเป็นคุณชายมีฐานะสองสามคนเดินอย่างทะนงองอาจมาพร้อมกับสาวใช้ การแสดงท่าทางภายนอกของพวกเขาคือ ‘อยากผูกมิตร’ กับกงจี้ แต่ความเป็นจริงคือจะเข้ามาหาผลประโยชน์จากกงจี้
ท่าทางของกงจี้แสดงออกประมาณว่า ‘คนธรรมดาอย่างพวกเจ้าไม่คู่ควรที่จะมาคุยกับข้า’
เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ทำให้พวกคุณชายเหล่านั้นนึกสงสัยว่าบุคคลลึกลับคนนี้มาจากที่ไหนกัน
ถึงอย่างไรกงจี้ก็ถูกกล่อมเกลาและเติบโตมาในสภาพแวดล้อมแบบคนร่ำคนรวยมาตั้งแต่ยังเล็ก ความสูงส่งซึมอยู่ในกระดูกของเขามาแต่ไหนแต่ไรแล้ว แม้ว่าเขาแทบจะไม่ได้แสดงสีหน้าท่าทางอะไรออกมา มันก็เพียงพอให้ขู่ขวัญคนโง่ที่ไม่เคยเห็นโลกภายนอกเหล่านี้ได้
ผู้คนที่สามารถมาร่วมอยู่ในงานเลี้ยงวันเกิดของท่านซุนจงอี้นั้น ส่วนใหญ่จะเป็นผู้มีหน้ามีตา มีเชื้อตระกูลอยู่ในจังหวัดหยูเฟิง แต่อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่กล้าผลีผลามทำอะไรกับคนที่สืบหาเบื้องหลังความจริงยังไม่ได้อย่างกงจี้
ทั้งสองฝ่ายรู้กันว่าอีกฝ่ายเป็นพวกที่เข้ากับตนไม่ได้
จ้องหน้าจ้องตากันอยู่สักพัก คุณชายอ้วนลงพุงคนหนึ่งแกว่งพัดไปมาแล้วเดินท่องกลอนมาทางกงจี้ เขาโค้งกำปั้น ก้มศีรษะให้กงจี้เล็กน้อย “ไม่ทราบว่าคุณชายท่านนี้มาจากที่ไหนรึ ? ทำไมข้า เหลียงจื้อถงถึงไม่เคยเห็นเจ้าที่หยูเฟิงเลย ?”
กงจี้แค่นเสียงหัวเราะ แต่ยังคงแสดงท่าทางประมาณว่า ‘คนธรรมดาไม่คู่ควรที่จะคุยกับข้า’ เช่นเดิม
เมื่อสักครู่ ตอนที่คุณชายคนอื่น ๆ เจอเรื่องเช่นว่า เข้าหน้าไม่ได้หรือจับต้นชนปลายของกงจี้ไม่ได้และไม่กล้าผลีผลามทำอะไรนั้น แม้พวกเขาจะรู้สึกอัดอั้นตันใจแค่ไหนก็ทำอะไรไม่ได้
ทว่าเหลียงจื้อถงคนนี้เป็นคนเน่าทั้งนอกทั้งใน ถือว่าเป็นกากเดนสังคม เป็นพวกคนที่ความคิดกับการกระทำตรงกัน
เหลียงจื้อถงเห็นกงจี้ไม่สนใจ เขาจึงส่งเสียงประหลาดใจออกมาเล็กน้อยพลางเก็บพัดกลับไป สุดท้ายสายตาของเขาก็ไปหยุดที่เจียงป่าวชิงผู้ซึ่งยืนหมดหนทางอยู่ข้าง ๆ กงจี้
เมื่อมองนาง ดวงตาเขาเป็นประกายทันที
เดิมทีเจียงป่าวชิงก็เป็นคนที่มีรูปร่างหน้าตาสวยพริ้มเพราอยู่แล้ว วันนี้เมื่อได้มาแต่งกายดูดี ถึงแม้ว่านางจะอายุยังน้อย แต่ความอ่อนวัยสดใสของนางมันกินใจผู้ที่ได้พบเห็นมาก
เหลียงจื้อถงคนนี้ชอบสตรีรูปร่างหน้าตางดงามอย่างเจียงป่าวชิง เขาจ้องนางตาแทบถลนก่อนจะกลับมาวางมาดนิ่งและพูดกับกงจี้ว่า “หึ ๆ สาวใช้ข้างกายเจ้าดูดีมาก เจ้าสนใจมอบนางให้ข้าหรือเปล่าล่ะ แล้วข้าจะมอบสาวงามให้เจ้าห้าคนเลยเป็นยังไง ?”
เหลียงจื้อถงเสนออย่างฉะฉาน ถึงอย่างไรนี่ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกที่คนในครอบครัวร่ำรวยจะมอบหรือแลกสาวงามกัน ปัญญาชนบางคนยังคิดว่าเรื่องแบบนี้เป็นเรื่องที่ไม่ได้ผิดแปลกอะไรด้วยซ้ำ
กงจี้มีสีหน้าอย่างไรก็ไม่ทราบ แต่เจียงป่าวชิงที่ยืนอยู่ข้างเขารู้สึกหนาววาบไปทั้งตัว
“เจ้าคือเหลียงจื้อถงใช่ไหม ?” น้ำเสียงกงจี้เย็นชามาก สายตาของเขาก็เย็นยะเยือกราวกับน้ำค้างแข็ง “เจ้าเป็นลูกชายคนเดียวของนายอำเภอเหลียงโหย่วซินใช่หรือเปล่า ?”
เมื่อเหลียงจื้อถงได้ยินกงจี้เปิดโปงสถานะของตน พัดในมือพลันกางออกด้วยท่วงท่าสง่างามที่เขาแสนจะภาคภูมิใจ ตอนที่เขาตอบกงจี้ เขาก็พัดให้ตัวเองเบา ๆ “ใช่ เจ้ามีความรู้เยอะพอสมควรเลยหนิ”
กงจี้หัวเราะเย็นชาแล้วพูดขึ้นอย่างช้า ๆ “ร้านผ้าไหมที่ถนนสายใหม่ของเจ้า ผลกำไรไม่แย่เลยใช่ไหมล่ะ ?”
“แน่นอนว่าร้านผ้าไหมของข้า…” น้ำเสียงภาคภูมิใจของเหลียงจื้อถงราวกับถูกตัดขาดและหยุดลงอย่างกะทันหัน ดูเหมือนเขาเพิ่งจะได้ยินบางสิ่งที่น่ากลัวเป็นอย่างยิ่ง ใบหน้าของเขาถึงได้บูดบึ้งถึงขนาดนั้น
“เดี๋ยวก่อน… ทะ… ทำ… ทำไมเจ้าถึงรู้ ?” เหลียงจื้อถงติดอ่าง พูดไม่คล่องแล้ว
กงจี้ชำเลืองสายตาเย็นชามองไปเล็กน้อย “แล้วเจ้าคิดว่าไงล่ะ ?”
เหลียงจื้อถงออกแรงส่ายพัดไปมาเพื่อบดบังเหงื่อตรงหน้าผากของเขา พลางพยายามทำเป็นพูดเล่นเรื่องอื่น “เฮ้อ! วันนี้ร้อนจริง ๆ นะเจ้าว่าไหม…?”
ความเป็นจริงคือ เพียงแค่เขานึกถึงเบื้องหลังของร้านผ้าไหมที่ถนนสายใหม่ร้านนั้น เขาก็ขาดความมั่นใจอย่างสิ้นเชิง ร้านผ้าไหมนั้นเป็นแหล่งรายได้เพียงเล็กน้อยจากรายได้ใหม่ของเขากับผู้เป็นพ่อ แล้วเหตุใดคนอื่นถึงรู้เรื่องนี้ได้ ?
หากพูดตามหลักการ โดยปกติรายได้เล็ก ๆ น้อย ๆ นี้ถือว่าไม่มีอะไรผิดแปลก ในวงการของชนชั้นข้าราชการ มีใครบ้างไม่ทำรายได้ที่ไม่ส่งผลกระทบถึงโดยรวมแบบนี้กัน และมันไม่ถือว่าเป็นเรื่องใหญ่อะไรเลย
แต่เบื้องหลังของร้านผ้าไหมนี้กลับเป็นเรื่องที่พูดถึงไม่ได้ง่าย ๆ อย่างที่คิด
ก่อนหน้านี้เขาก็เพิ่งซื้อเด็กผู้หญิงสวย ๆ มาหลายคน สภาพการเงินของเขาจึงอยู่ในช่วงติดขัดเล็กน้อย โชคดีที่มีคนส่งมอบร้านขายสินค้าให้เขาพอดี เขาจึงรับไว้อย่างขอบพระคุณในน้ำใจของฝ่ายนั้น ทว่ารับไว้แล้วกลับเป็นการรับปัญหามาด้วยเสียอย่างนั้น
ที่แท้… ร้านผ้าไหมที่ไม่ค่อยเป็นที่สนใจร้านนี้ ถูกครอบครัวหนึ่งยึดมาจากทรัพย์ส่วนหนึ่งในสินสอดของพี่สะใภ้ผู้เป็นหญิงหม้ายคนใหม่ แล้วนำมามอบให้เหลียงจื้อถงเพื่อให้เขารักษามันไว้
หากเป็นเช่นนี้ความจริงก็ไม่มีอะไร ทว่าเมื่อหญิงหม้ายคนนั้นเห็นว่าคุณชายผู้ซึ่งเป็นบุตรของนายอำเภอยื่นมือเข้ามามีส่วนร่วมกับเรื่องนี้ ประกอบกับนางเป็นคนกล้าหาญ ด้วยความสิ้นหวัง นางจึงตัดสินใจไปกระโดดแม่น้ำเพื่อตามสามีของนางไป
แต่หลังจากที่ล้วงขึ้นมากลับพบว่าในท้องของหญิงหม้ายที่จมน้ำตายยังมีเด็กอีกหนึ่งคน!
ครอบครัวที่บีบบังคับพี่สะใภ้ผู้เป็นหญิงหม้ายให้ตัดสินใจจบชีวิตตัวเองเกิดความหวาดกลัวทันที พวกเขายึดสินสอดหญิงหม้ายไม่พอ ยังจะบีบบังคับจนทำให้สายเลือดของพี่ชายขาดผู้สืบเชื้อสายอีกต่างหาก …สองสิ่งนี้เป็นเรื่องที่พูดพร้อมกันไม่ได้
เหลียงจื้อถงหยิบมันหวานร้อนจัดจนลวกมือขึ้นมา เขาเกือบโมโหจนตายอยู่แล้ว แต่… ของที่เข้าปากไปแล้ว แน่นอนว่าไม่สามารถคายออกมาได้
เหลียงจื้อถงถูกเหลียงโหย่วซินพ่อของเขาจัดการลงโทษอย่างโหดเหี้ยมไปแล้วหนึ่งรอบ ทว่าหลังจากที่จัดการเสร็จ เหลียงโหย่วซินยังต้องอดทนเก็บกวาดเรื่องยุ่ง ๆ ให้ลูกชายคนเดียวของเขา และใช้เวลาสักพักใหญ่ถึงจะควบคุมเรื่องนี้ไว้ได้
เรื่องมันผ่านมาแล้วโดยที่มีคนไม่มากรู้เรื่องนี้ เหลียงจื้อถงจึงคิดว่าเรื่องมันคงจบไปทั้งแบบนั้น แต่ทำไม… ไอ้คุณชายนั่งรถเข็นคนนี้ถึงรู้เรื่องนี้ได้ ?
เหลียงจื้อถงขาดความมั่นใจไปชั่วขณะ เขาพัดไปด้วยชำเลืองมองกงจี้ไปด้วย เจอแบบนี้เขาไม่มีแก่ใจแลกเปลี่ยนสาวใช้สวย ๆ กับกงจี้อีกแล้ว
กงจี้หัวเราะในลำคอ สายตาสอดส่ายสังเกตเหลียงจื้อถงก่อนที่ปากร้าย ๆ ของเขาจะแค่นเสียงพูดออกมา “เจ้านี่มันโง่เหมือนหมูจริง ๆ!”
สำหรับเหลียงจื้อถง คำว่า ‘หมู’ ไม่ต่างอะไรกับคำต้องห้ามที่ใครก็อย่าได้กล้าพูดคำนี้กับเขา แต่ตอนนี้กลับมาถูกไอ้คุณชายนั่งรถเข็นพูดใส่หน้าว่า ‘หมู’ เขาจึงโมโหจนแทบจะเข้าไปต่อยกงจี้อยู่รอมร่อ
เขารีบเรียกคนรับใช้ของตัวเอง แต่เจียงป่าวชิงก็เดินเข้ามาขวางตรงหน้ากงจี้ได้ถูกเวลาพอดี “เจ้าคิดจะทำอะไรกับท่านชายของข้า ?! เจ้ารู้หรือเปล่าว่าท่านชายของข้าเป็นใคร ?! กล้านักนะ!”
นางเล่นบทบาทของสาวใช้ผู้ซื่อสัตย์ที่สาบานว่าจะปกป้องเจ้านายได้อย่างสมจริงสมจัง
เหลียงจื้อถงยังไม่รู้จริง ๆ เขาสังเกตเจียงป่าวชิงด้วยสายตาเจือความลามกและมีความขวยเขินปะปนอยู่เล็กน้อย “แม่สาวน้อย ถ้าอย่างนั้นเจ้าลองบอกข้าสิว่าเจ้านายของเจ้าเป็นใคร”
‘ไอ้โย! นางไม่ได้สวยอย่างเดียว น้ำเสียงของนางยังไพเราะน่าฟังอีกด้วย ถ้าถึงเวลาขึ้นเตียง เขาคงจะ… หึ ๆ ๆ ๆ ๆ…’ เหลียงจื้อถงคิดลามกในใจ
ถึงแม้ว่าเหตุการณ์ลักษณะนี้ กงจี้จะเคยบอกเจียงป่าวชิงมาก่อนว่ามันอาจมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น และเขาก็สอนเจียงป่าวชิงเองว่านางจะต้องสงบนิ่งและเปิดเผยสถานะจริง ๆ ของเขาในเวลาที่เหมาะสม
แต่ตอนนี้ ตอนที่เกิดเรื่องขึ้นจริง ๆ กงจี้กลับควบคุมอารมณ์แทบไม่ได้ ยิ่งตอนที่มองเหลียงจื้อถงที่จ้องเจียงป่าวชิงด้วยสายตาท่าทางหื่นกาม ดวงตาเขาก็ค่อย ๆ หรี่ลงและความรู้สึกอยากจะฆ่าคนพลันผุดขึ้นมาในใจ
ผู้ที่เคยเรียนศิลปะป้องกันตัวมามักจะไวต่อกระแสสังหาร ไป๋จีถอนหายใจอยู่ที่หลังรถเข็นอย่างเงียบ ๆ และคิดในใจว่าเห็นทีเหลียงจื้อถงคนนี้ คงจะใช้ชีวิตจนเบื่อแล้ว ถึงคิดอยากฆ่าตัวตายไปซะได้
ยั่วโมโหใครไม่ยั่ว มายั่วกงจี้