แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 24 มีฝีมือ
ตอนที่ 24 มีฝีมือ
เจียงป่าวชิงยิ้มไร้เดียงสา และชี้ไปที่ใบหน้าครึ่งซีกอันบวมช้ำของตัวเอง “ท่านอา ท่านอาดูหน้าข้าสิ ข้าว่าไม่เหมาะที่จะออกจากบ้านเลยนะเจ้าคะ”
นี่เป็นบาดแผลที่หลีโผจื่อทำไว้เมื่อวาน
แต่โจซื่อกลับไม่คิดเช่นนั้น “เจ้าก็บอกว่าตัวเองไม่ระวังและหกล้มลงไปเอง เด็ก ๆ หกล้มนิดหน่อยเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้หรอก”
เจียงป่าวชิงชมพฤติกรรมไร้ยางอายของโจซื่อในใจ ‘หาเหตุผลเก่งจริง ๆ เลยนะท่านอา!’ แต่นางก็อยากไปเห็นนอกหมู่บ้านอยู่เหมือนกัน ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิม นอกจากถูกจับตัวไปขายครั้งนั้นแล้ว นางก็ไม่ได้มีภาพความทรงจำเกี่ยวกับโลกภายนอกหมู่บ้านเลย
ทว่าหากมีอะไรเกิดขึ้นในอนาคต นางกลัวว่าจะไม่รู้ว่าจะหนีไปทางไหนดีนี่สิ
เจียงป่าวชิงแสร้งทำเป็นลำบากใจ นางลังเลอยู่สักครู่ สุดท้ายก็ตอบรับเรื่องนี้จนได้
โจซื่อดีใจมาก และคิดในใจว่าเด็ก ๆ นี่กล่อมง่ายจริง ๆ นางไม่พูดถึงเรื่องที่จะให้ขนมปังนึ่งกับเจียงป่าวชิงอีก ทำเพียงสั่งเล็กน้อยเท่านั้น “เจ้าจัดการตัวเองให้เรียบร้อย ข้าจะกลับไปเอาของที่ห้องสักหน่อย จากนั้นก็เตรียมออกเดินทางได้เลย”
ตอนนี้ในอ้อมอกของเจียงป่าวชิงยังมีเศษเงินที่หามาได้ แล้วนางจะไปสนใจขนมปังนึ่งครึ่งชิ้นนั้นทำไมกันเล่า รวมถึงนางก็ไม่คิดเล็กคิดน้อยต่อท่าทีของโจซื่อด้วย “ได้เจ้าค่ะ ตอนที่ท่านอาจะไปก็ตะโกนเรียกข้าแล้วกันนะเจ้าคะ”
โจซื่อชมเจียงป่าวชิงว่าเป็นเด็กดี จากนั้นนางก็ซ่อนขนมปังนึ่งครึ่งชิ้นในแขนเสื้อ ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไปทันที
เจียงป่าวชิงส่งเสียงหัวเราะเล็กน้อย จากนั้นนางก็กลับไปจัดการตัวเองโดยหวีผมใหม่ แต่นางไม่มีชุดที่เหมาะกับการออกไปข้างนอกเลย จึงพยายามเลือกชุดที่แม้จะเต็มไปด้วยรอยปะทว่าก็ดูสะอาดสะอ้านชุดหนึ่งมาใส่
นางไม่กล้าทิ้งเศษเงินไว้ในบ้าน เพราะถึงอย่างไรเจียงเอ้อยาก็ไม่ได้ค้นตู้ของนางเพียงแค่ครั้งสองครั้ง นางนำเศษเงินนั้นกับเข็มเย็บผ้าที่ถูลับคมเสร็จแล้วไปวางในเศษผ้า จากนั้นก็พกติดตัวและรอโจซื่อมาเรียก
โจซื่อกลับมาที่ห้อง นางเปิดตู้ที่ใช้เก็บเงิน หยิบทองแดงห้าแผ่นออกมาอย่างแน่วแน่และเก็บมันอย่างระมัดระวัง เสร็จแล้วนางก็มองการแต่งตัวของตัวเองจากในกระจก แล้วค่อยค้นกิ๊บกลวงสีเงินที่ค่อนข้างเก่าออกมาเพื่อนำมาติดตกแต่งบนศีรษะ
เมื่อทำอะไรเสร็จ โจซื่อก็มาเรียกพอดี
ที่ที่ตระกูลหม่าอยู่เรียกว่าหมู่บ้านวัวเหลือง ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากชีหลี่โวเท่าไหร่นัก เพียงแค่ข้ามภูเขาเล็ก ๆ ลูกหนึ่งก็ถึงแล้ว และบ้านของพวกเขาจะอยู่ในที่ลุ่มอีกด้านหนึ่งของภูเขา
โจซื่อพาเจียงป่าวชิงเดินเลียบไปบนถนนเส้นเล็ก ๆ ในหมู่บ้าน ทั้งสองได้เจอกับซุนต้าหูที่กำลังเตรียมรถล่อเพื่อจะออกไปนอกหมู่บ้านพอดี
เมื่อซุนต้าหูเห็นเจียงป่าวชิง ใบหน้าของเขาก็ขึ้นสีแดงเรื่อเล็กน้อย เขาไม่กล้ามองนางจึงเลือกที่จะทักทายโจซื่อด้วยท่าทางที่ไม่เป็นธรรมชาติแทน “อาโจ…”
โจซื่อตาเป็นประกายทันที
เรื่องที่ซุนต้าหูชอบเจียงป่าวชิงนั้นนางก็เคยได้ยินมาบ้าง เมื่อก่อนนางยังหัวเราะเยาะและหาว่าซุนต้าหูสมองกลวงอยู่เลย แม้แต่คนปัญญาอ่อนเขาก็ยังชอบได้
ถึงจะหัวเราะเยาะเขา แต่ตระกูลเจียงก็เอาเปรียบเขาไม่น้อย เวลามีเรื่องอะไร พวกเขาก็จะให้ซุนต้าหูไปส่งของให้ ทว่าเมื่อถึงเวลาให้เงิน พวกเขาก็มักจะให้เงินเขาไม่ครบอยู่บ่อยครั้ง
เดิมทีซุนต้าหูเป็นคนที่ซื่อสัตย์อยู่แล้ว พ่อแม่ของเขาเสียไปแล้ว จึงเหลือเพียงเขากับล่อแก่ ๆ หนึ่งตัว เขาใช้รถล่อในการไปรับส่งคนเพื่อเลี้ยงปากท้องไปวัน ๆ ด้วยเงินที่น้อยนิดนั้น เมื่อมาเจอพฤติกรรมเช่นนี้ของตระกูลเจียง เขาก็พูดอะไรไม่ได้ ทำได้เพียงยิ้มอย่างซื่อ ๆ และปล่อยให้เรื่องมันผ่านไปทั้งอย่างนั้น
“ต้าหู เจ้ากำลังจะไปที่ไหนหรือ ?” โจซื่อทักทายเจียงต้าหูอย่างเป็นกันเอง
ซุนต้าหูตอบอย่างตรงไปตรงมา “ข้าจะไปลากของที่หมู่บ้านจางผิงสักหน่อย”
ความดีใจของโจซื่อแสดงออกมาทางสีหน้า นางพูดขึ้น “ไอ้หยา! บังเอิญจริง ๆ เลย ข้ากับป่าวชิงเรากำลังจะไปหาญาติที่หมู่บ้านวัวเหลืองอยู่พอดี เจ้าให้เราติดรถไปด้วยได้หรือไม่ ?”
ซุนต้าหูมองเจียงป่าวชิงเล็กน้อย จากนั้นเขาก็หน้าแดงและรีบเบี่ยงสายตาไปทางอื่นทันที ที่แท้ดวงตาของน้องชิงก็สวยเช่นนี้นี่เอง…
ซุนต้าหูพยักหน้าด้วยใจที่ลุกลน เขาตอบรับโจซื่อ
อันที่จริงหมู่บ้านวัวเหลืองกับหมู่บ้านจางผิงก็ไม่ถือว่าอยู่ทางเดียวกัน มากสุดคือครึ่งทาง จากนั้นก็ต้องเปลี่ยนทางจากทางแยก และถ้าจะไป ๆ มา ๆ ก็คงจะเสียเวลาไม่น้อยเลย
แต่ซุนต้าหูกลับไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ในใจของเขา ร่างกายของน้องชิงอ่อนแอมาก ถึงขนาดหน้าตาเหลืองซูบเลยก็ว่าได้ และเขากลัวว่าลมจะพัดพาน้องชิงไป เขาควรไปส่งนาง
ต่อให้เส้นทางจะไม่อยู่ในทางเดียวกัน ก็ต้องทำให้มันอยู่ในทางเดียวกันให้ได้ ไม่อย่างนั้นเขาไม่วางใจ
เจียงป่าวชิงไม่รู้ทาง นางเห็นซุนต้าหูตอบรับโดยที่ไม่ลังเลอะไร จึงคิดว่ามันเป็นทางผ่านจริง ๆ รองเท้าขาด ๆ ของนางแทบจะเผยให้เห็นนิ้วเท้าอยู่รอมร่อ ถ้าหากว่าสามารถเดินบนถนนในภูเขาที่ขรุขระได้จะดีมาก เจียงป่าวชิงเงยหน้ายิ้มให้ซุนต้าหูเล็กน้อย “ขอบคุณนะเจ้าคะพี่ต้าหู”
ใบหน้าของซุนต้าหูร้อนผ่าวไปถึงบนศีรษะ เขาหันหน้าไปอีกทางเพราะไม่กล้ามองเจียงป่าวชิง
เจียงป่าวชิงใช้มือปิดหน้าครึ่งซีกของตัวเอง นางลืมไปเสียสนิทว่าสภาพใบหน้าของตัวเองตอนนี้น่ากลัวมากเพียงใด…
รถล่อของซุนต้าหูเป็นรถทื่อ ๆ คันหนึ่ง หลังจากที่โจซื่อกับเจียงป่าวชิงขึ้นไปบนรถ เมื่อแน่ใจว่าทั้งสองคนนั่งคงที่แล้ว ซุนต้าหูถึงจะโบกแส้เล็กน้อย จากนั้นรถล่อก็เคลื่อนที่ทันที
ตอนที่เจียงป่าวชิงอยู่ในยุคปัจจุบัน ความสุขที่สุดของช่วงวัยเด็กก็คือการได้นอนบนรถม้าในชนบท และชมท้องฟ้าสีครามกับเมฆสีขาวอย่างสบายอารมณ์ รถม้าที่สั่นสะเทือนไปมาก็เหมือนเปลธรรมชาติขนาดใหญ่ที่นอนสบาย
เจียงป่าวชิงไม่คิดว่าตอนนี้ตัวเองจะสามารถย้อนความสุขในวัยเด็กกลับมาได้อีกครั้ง นางนั่งอยู่ตรงริมรถอย่างมีความสุขพลางแกว่งเท้าไปมาและมองทัศนียภาพในป่าไปด้วย
ซุนต้าหูแอบหันไปมองทางด้านหลังเล็กน้อย เมื่อเห็นว่าบนใบหน้าของเจียงป่าวชิงประดับด้วยรอยยิ้ม นัยน์ตาของเขาก็เป็นประกายทันที เขารู้สึกว่าในหน้าอกมีอะไรบางอย่างกำลังจะระเบิดออกมาทำนองนั้น และเขาก็ไม่กล้ามองเจียงป่าวชิงอีก
เพราะมีรถมาส่ง ไม่นานก็มาถึงหมู่บ้านวัวเหลือง จากนั้นซุนต้าหูก็จอดรถล่อไว้ตรงข้างทาง
โจซื่อแสร้งทำเป็นจะล้วงเงินออกมาจากในแขนเสื้อ และทำเป็นพูดถาม “ต้าหู ค่ารถของพวกข้าสองคนเท่าไหร่หรือ ?”
ซุนต้าหูรีบโบกมือไปมาทันที “ช่างเถอะขอรับ ถึงอย่างไรก็เป็นทางผ่าน…”
ได้ยินดังนั้น โจซื่อจึงเอามือออกมาจากในแขนเสื้อ จากนั้นนางก็ชมซุนต้าหูด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม “ก็ใช่ เราเป็นคนในหมู่บ้านเดียวกัน จะออกไปไหนก็ต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน”
ซุนต้าหูรีบพยักหน้า เขายังคงไม่กล้ามองเจียงป่าวชิง จากนั้นเขาก็รีบบังคับรถล่อจากไปอย่างรวดเร็ว
โจซื่ออารมณ์ดีอย่างเห็นได้ชัด จนกระทั่งนางจ่ายเงินสี่สลึงเพื่อซื้อลูกกวาดที่ด้อยคุณภาพจากร้านขายของชำสภาพเก่าตรงทางเข้าหมู่บ้านวัวเหลืองเท่านั้นแหละ ท่าทางเจ็บปวดใจก็ถูกแสดงออกมา
ท่าทางของนางเหมือนจ่ายเงินสี่สลึงเสียที่ไหนกัน ถ้าบอกว่าจ่ายเงินสี่ตำลึงก็ยังมีคนเชื่อเลย
เจียงป่าวชิงเดินตามหลังโจซื่ออย่างว่าง่าย ตลอดทางที่มา ถือว่านางจำทางได้ประมาณหนึ่ง จุดประสงค์ในครั้งนี้จึงสำเร็จเกินครึ่งแล้ว
เห็นได้ชัดว่าโจซื่อเคยมาที่หมู่บ้านวัวเหลือง แต่เหมือนนางจะไม่รู้ว่าบ้านตระกูลหม่าอยู่ที่ไหน จึงแวะถามทางกับคนในหมู่บ้าน
ผู้หญิงคนนั้นดูแก่กว่าโจซื่อไม่กี่ปี นางกำลังกอดกะละมังที่ใส่เสื้อผ้าเปียกไว้ในอ้อมกอด คงจะเพิ่งกลับมาจากไปซักผ้าที่แม่น้ำ
ใบหน้าของโจซื่อเต็มไปด้วยรอยยิ้ม “พี่สาว ข้าถามหน่อยสิ พี่รู้ทางไปบ้านของหม่าเฉิงหยวนไหมจ๊ะ ?”
ผู้หญิงคนนั้นได้ยินโจซื่อถามถึงบ้านของหม่าเฉิงหยวน ดวงตาของนางก็เป็นประกายทันที นางสังเกตโจซื่อเล็กน้อย สายตาของนางสาละวนอยู่ที่กิ๊บสีเงินที่ติดอยู่ตรงจอนผมของโจซื่อสักครู่ ดูเสร็จนางก็เบะปาก และเมื่อหันมาเห็นเจียงป่าวชิง นางก็ไม่ตอบคำถามของโจซื่อแต่อุทานคำว่า ‘ไอ้หยา’ ออกมาแทน
“ไอ้หยา! เด็กคนนี้ไปโดนอะไรมาหรือ ?”
โจซื่อยิ้มอย่างเก้อเขินเล็กน้อย “ตอนมาไม่ได้ระวัง นางหกล้มลงไปเอง”
ผู้หญิงคนนั้นเบะปากเล็กน้อย จากนั้นก็ทำการสังเกตโจซื่ออีกครั้ง “เจ้าหาบ้านหม่าเฉิงหยวน มีธุระอะไรหรือ ?”
โจซื่อจะบอกได้อย่างไรว่าที่นางมาที่บ้านหม่าเฉิงหยวนก็เพราะจะมาพูดเรื่องแต่งงาน นางจึงยิ้มอย่างเก้อเขินอีกครั้ง “ข้าเป็นญาติห่าง ๆ ของพวกเขา นี่ก็มาเยี่ยมญาติ…” พูดเสร็จนางก็ยกลูกกวาดในมือขึ้นเล็กน้อยเพื่อแสดงให้เห็นว่าตนเองมาเยี่ยมญาติจริง ๆ โดยที่ของฝากคือลูกวาด
เมื่อหญิงผู้นั้นเห็นลูกกวาดที่ด้อยคุณภาพถุงนั้น นางก็ยิ่งเบะปากมากกว่าเดิม คิดว่านางไม่รู้หรืออย่างไรว่านี่เป็นลูกกวาดด้อยคุณภาพที่ขายในราคาสี่สลึงตรงทางเข้าหมู่บ้าน สุดท้ายนางก็พูดขึ้นอย่างหมดความสนใจ “ได้ พวกเจ้าตามข้ามาก็แล้วกัน บ้านของหม่าเฉิงหยวนอยู่ติดกับบ้านของข้านี่เอง”
โจซื่อดีใจมาก นางเดินตามหญิงผู้นั้นไปโดยพูดบ้างไม่พูดบ้าง นางอยากสอบถามเรื่องของหม่าเฉิงหยวนแบบอ้อม ๆ
หญิงผู้นั้นไม่ได้คิดอะไรมากมาย นางพูดขึ้น “อย่าหาว่าข้านินทาเลยนะ แต่ลูกชายคนเล็กของตระกูลหม่าน่ะไม่เท่าไหร่หรอก วัน ๆ ไม่หยิบจับทำการใด ๆ ไม่ต่างจากคนเสเพลในหมู่บ้านนักหรอก” เหมือนนางจะนึกเรื่องอะไรออก จึงหัวเราะออกมาอย่างเหน็บแนมก่อนจะพูดต่อ “แต่ถือว่าใช้ได้อยู่ แม่ของเขายังมาคุยโม้กับข้าอยู่เลย บอกว่าเฉิงหยวนของพวกเขามีฝีมือมาก ยังไม่ทันแต่งงานก็ไปทำหญิงบ้านอื่นท้องโตเสียแล้ว”
เปรี้ยง!
เจียงป่าวชิงมองเห็นสีหน้าของโจซื่อที่ราวกับถูกฟ้าผ่า ได้ยินดังนั้นนางก็ตกตะลึงและชะงักอยู่กับที่ทันที