แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 28 เข้าเมือง
ตอนที่ 28 เข้าเมือง
แน่นอนว่าซุนต้าหูไม่ยอมให้ป้าตู่เข้าไปตบเจียงป่าวชิง เขารีบเข้าไปขวางป้าตู่และจับแขนของนางไว้ทันที “ป้าตู่ ทำไมป้าถึงต้องลงไม้ลงมือด้วยขอรับ ?”
ขณะนี้ป้าตู่โกรธจนแทบจะพ่นไฟออกมาได้อยู่แล้ว “เจ้าเท้าเล็กนั่นต่างหากที่รังแกชู่เชิงของข้าก่อน มันทำร้ายจนชู่เชิงของข้าตกจากรถ!”
เดิมทีเจียงป่าวชิงรอให้ป้าตู่พุ่งเข้ามาแล้วนางตั้งใจจะหลบหลีกอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นซุนต้าหูเป็นเช่นนี้ นางจึงชักขากลับเงียบ ๆ และพูดเสียงใสอยู่ที่ด้านหลังซุนต้าหูว่า “ป้าตู่เจ้าคะ ป้าอย่าไม่มีเหตุผลแบบนี้สิเจ้าคะ ก็เห็นอยู่ว่าหลานของป้าชนข้าจนข้านั่งไม่นิ่งและเกือบตกลงไปอยู่รอมร่อ ข้าจะไปมีแรงเหลือเพื่อทำให้เขาตกลงจากรถอีกได้อย่างไรล่ะเจ้าคะ ?”
ซุนต้าหูเชื่อเจียงป่าวชิงสนิท เขาพยักหน้าอย่างคล้อยตาม “ใช่ น้องชิงพูดมีเหตุผล”
และมันเป็นอย่างคำพูดนี้จริง ๆ คนจำนวนไม่น้อยที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งเห็นและได้ยินคำว่า ‘เจ้าชนข้าทำไม ?’ ของเจียงป่าวชิงเมื่อสักครู่เช่นกัน
อีกอย่าง เด็กสองคนเป็นเด็กในหมู่บ้านทั้งคู่ ใครนิสัยอย่างไร คนในหมู่บ้านย่อมรู้ดีอยู่แล้ว
เด็กชายตู่ชู่เชิงคนนี้ เนื่องจากคนในบ้านถือหางเขามาตั้งแต่เล็ก เขาจึงเติบโตมาเป็นเด็กที่มีนิสัยชอบกดขี่ข่มเหง และยังเป็นหัวโจกในการลักขโมยไก่กับหมาในหมู่บ้านอีกด้วย
แต่เจียงป่าวชิง เด็กหญิงอดีตคนปัญญาอ่อนนี้ ทุกคนรู้ดีว่าต่อให้นางจะโดนรังแกเพียงใด นางก็ไม่กล้าสวนกลับเลย แม้ว่าช่วงนี้จะได้ยินมาว่านางหายจากอาการป่วยปัญญาอ่อนแล้ว แต่เมื่อวันก่อนนางยังคงถูกหลีโผจื่อแห่งตระกูลเจียงทุบตีจนต้องกรีดร้องไปทั่วอยู่เลย บนใบหน้าและลำคอนางก็ยังเป็นรอยบวมช้ำจนแทบจะดูไม่เป็นผู้เป็นคน
และอีกอย่างหนึ่ง เจียงป่าวชิงก็ตัวเล็กแค่นี้ นางจะทำให้ตู่ชู่เชิงที่แข็งแรงพอ ๆ กับลูกวัวตัวเล็กนั้นล้มลงไปได้อย่างไร ?
ป้าตู่คนนี้ก็พูดมั่ว ๆ ไปได้
จากนั้นก็มีคนพูดเกลี้ยกล่อมอยู่ด้านข้าง “พอแล้วหน่า… ก็แค่หกล้มลงไปอย่างไม่ระมัดระวังเองไม่ใช่รึ ? อีกอย่าง เด็กมันไม่ได้เป็นอะไรสักหน่อย คนตระกูลตู่ เจ้ารีบพาหลานเจ้าขึ้นมาเถอะ พวกข้าจะรีบไปงานประชุม อย่าทำให้ต้องเสียเวลากันอีกเลย”
“ใช่ ข้าเองก็จะรีบไปทำมาหากิน ถ้าถึงตอนนั้นผักของข้าไม่สด เจ้าชดใช้ค่าเสียหายให้ข้าไหมเล่า ?”
“รีบช่วยหลานเจ้าขึ้นมาเถอะ เรื่องแค่นี้เอง ทำเป็นโวยวายไปได้”
ป้าตู่ถูกคำพูดของคนรอบข้างล้อมเอาไว้ ทำให้นางหน้าแดงยิ่งขึ้น นางไม่ได้อับอายแต่รู้สึกโกรธมากกว่า
นางจ้องซุนต้าหูที่ยืนบังอยู่ตรงหน้าเจียงป่าวชิงด้วยสายตาเหี้ยมโหด เมื่อเห็นว่าคนในหมู่บ้านไม่อยู่ข้างตน นางก็ไม่มีทางอื่น ทำได้เพียงหันไปโอ๋หลาน “ชู่เชิง เดี๋ยวพอไปในอำเภอแล้ว ย่าจะซื้อของเล่นซื้อลูกอมให้เจ้าเยอะ ๆ เลยนะ”
ได้ยินดังนั้น ตู่ชู่เชิงถึงจะยอมขึ้นรถไปอย่างไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่นัก แต่ตู่ชู่เชิงนั้น เขาไม่เคยเสียเปรียบแบบนี้มาก่อนจึงยังไม่อยากยอมแพ้ เดิมทีเขายังอยากที่จะสร้างปัญหาให้กับเจียงป่าวชิงอยู่ แต่ใครจะไปรู้ว่าเจียงป่าวชิงจะเงยหน้าขึ้นมามองเขาพอดี ใบหน้าของนางยิ้มแย้ม แต่แสงในตาของนางกลับดูน่ากลัวยิ่งนัก
ตู่ชู่เชิงตัวสั่นเล็กน้อย
หลังจากนั้น ตลอดทางก็ถือว่าปลอดภัยอยู่พอสมควร
นอกจากตอนที่ป้าตู่พูดคุยกับคนอื่น ๆ แต่สายตาอาบยาพิษของนางกลับมองมาที่เจียงป่าวชิงบ่อย ๆ แล้ว ก็ไม่มีอะไรอีก
กำแพงเมืองของอำเภอฉือเจียมีมานานหลายปีแล้ว และยังไม่ได้รับการซ่อมแซมในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา ถ้าหากดูจากระยะไกลก็ค่อนข้างทรุดโทรมพอสมควร อีกทั้งยังไม่ได้ตระหง่านตระการตามากนัก
ที่ประตูเมืองมีเพียงเพิงเก็บค่าธรรมเนียมซึ่งทำอย่างลวก ๆ มากตั้งอยู่ และมีทหารสองสามคนยืนอยู่ที่นั่นด้วยท่าทีเกียจคร้าน พวกเขากำลังตะโกนให้คนที่เดินผ่านไปมาจ่ายค่าธรรมเนียมเพื่อเข้าเมือง
ซุนต้าหูจอดรถล่อไว้ไม่ไกลจากเพิงเก็บเงิน จากนั้นก็ตะโกนอย่างสุภาพตามปกติ “ทุกคนเข้าไปในเมืองเองนะขอรับ ก่อนช่วงบ่ายก็มาเจอกันที่นี่เหมือนเดิม”
พวกชาวบ้านทยอยลงรถ ป้าตู่ใช้สายตาเหี้ยม ๆ มองเจียงป่าวชิงเล็กน้อย จากนั้นก็จูงมือตู่ชู่เชิงหลานชายเดินจากไป
หญิงสาวที่อุ้มลูกคนนั้นก็ลงจากรถเช่นกัน นางกล่าวขอบคุณซุนต้าหูเสียงเบา จากนั้นก็รีบอุ้มลูกเดินจากไปทันที
ในบรรดาคนที่จะเข้าไปในอำเภอ มีเพียงเจียงป่าวชิงที่ยังคงยืนอยู่ที่เดิม นางคลำจุดที่ใส่เศษเงินในแขนเสื้อของตัวเองเล็กน้อย ไม่รู้ว่าทหารพวกนั้นจะทอนเงินให้หรือเปล่า
เจียงป่าวชิงรู้สึกกลุ้มใจเล็กน้อย
ขณะนั้น ซุนต้าหูกำลังหยิบหญ้าออกมาจากในกระเป๋ากางเกงเพื่อจะนำไปป้อนล่อแก่ เมื่อเขาหันกลับมาก็พบว่าเจียงป่าวชิงกำลังจ้องมองเพิงเก็บค่าเข้าเมืองโดยไม่ขยับไปไหน
“น้องชิงมีอะไรหรือเปล่า ?” ซุนต้าหูถามด้วยความเป็นห่วง
เจียงป่าวชิงพูดขึ้นเสียงเบา “พี่ต้าหู ค่าเข้าเมืองที่นี่กี่ทองแดงหรือเจ้าคะ ?”
“เด็กผู้หญิงเช่นเจ้าน่าจะหนึ่งทองแดง” ซุนต้าหูเกาศีรษะเล็กน้อย จู่ ๆ มันสมองของเขาก็ปราดเปรื่อง จากนั้นเขาก็เบิกตากว้าง “น้องชิง หรือว่าทองแดงของเจ้ามีไม่พอ ?”
ถ้าหากจะพูดตามตรงก็คือนางมีเพียงเศษเงินเท่านั้น ไม่มีทองแดง… เจียงป่าวชิงกระแอมไอเล็กน้อยอย่างกลัดกลุ้ม
เจียงป่าวชิงไม่ได้พูดอะไร และซุนต้าหูก็ไม่ได้กระทำการใดที่ดูคลุมเครือเช่นกัน เขาล้วงเงินค่ารถที่เก็บเมื่อสักครู่ออกมาจากในกระเป๋ากางเกงเตรียมจะยัดใส่ในมือเจียงป่าวชิงโดยไม่สนใจใด ๆ “เจ้านี่จริง ๆ เลย พี่ต้าหูของเจ้ามี เอาไปสิ”
เจียงป่าวชิงตกใจรีบเลี่ยงไปอีกฝั่งทันที
ซุนต้าหูเป็นคนดีมีความซื่อสัตย์ ชาวบ้านส่วนใหญ่ในชีหลี่โวนั้นยากจนมาก ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนเดียวที่ทำกิจการรถล่อ แต่เขากลับรู้สึกว่าชาวบ้านทุกคนมีชีวิตที่ไม่ง่ายเลย เขาจึงตั้งราคาค่าโดยสารรถล่อต่ำมาก อย่างเช่นจากชีหลี่โวไปอำเภอฉือเจียนี้ ขาหนึ่งต้องใช้เวลาเดินทางประมาณหนึ่งชั่วยาม แต่เขากลับคิดค่าโดยสารเพียงคนละสองทองแดงเท่านั้น
แผ่นทองแดงเหล่านี้… อาจกล่าวได้ว่าเป็นเงินที่ยากลำบากที่กว่าจะหามาได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
ซุนต้าหูถือทองแดงเหล่านี้ด้วยความเสียใจเล็กน้อย “น้องชิง ถึงอย่างไรเจ้าก็เรียกข้าว่าพี่ต้าหู แล้วทำไมเจ้าถึงมองข้าว่าเป็นคนนอกล่ะ ? ถ้าหากเจ้าเกรงใจ รอให้เจ้ามีเจ้าค่อยคืนพี่ต้าหูของเจ้าก็ได้ ?”
เจียงป่าวชิงครุ่นคิดสักครู่ จากนั้นนางก็หยิบทองแดงมาจากในมือซุนต้าหูหนึ่งแผ่น และพูดอย่างจริงจังว่า “พี่ต้าหู แล้วข้าจะคืนพี่นะเจ้าคะ”
ซุนต้าหูยกมือเพื่อที่จะลูบผมของเจียงป่าวชิง แต่เขากลับรั้งไว้ก่อน น้องชิงไม่ใช่เด็กเล็กแล้ว และการกระทำแบบนี้เหมือนตอนเด็ก ๆ นั้นไม่เหมาะสมอีกต่อไป
ซุนต้าหูถอนหายใจด้วยใจคอที่เหี่ยวแห้ง
เจียงป่าวชิงซ่อนเศษเงินกับทองแดงหนึ่งแผ่นไว้ในอ้อมแขน จากนั้นก็ไปที่เพิงเก็บค่าเข้าเมือง ด้านหน้ามีคนนอกอำเภอพูดขึ้นมาพอดี “เข้าไปในอำเภอของพวกเจ้ายังต้องเก็บค่าเข้าด้วยรึ ?”
ทหารที่มีหน้าที่รับผิดชอบเก็บค่าเข้าเมืองเงยหน้ามองเล็กน้อย เขาพูดขึ้นอย่างอวดดี “แล้วจะทำไมเล่า ? ต่างที่ต่างเมืองย่อมมีกฎที่ต่างกันออกไป เจ้าจะให้หรือไม่ให้ ?”
คนนอกอำเภอนั้นรีบพูดขึ้นทันที “ให้จ้ะให้ ข้าให้…” เขาส่งทองแดงสองแผ่นให้ทหาร จากนั้นก็เข้าไปในเมือง
เมื่อถึงเจียงป่าวชิง ทหารที่เก็บค่าเข้าสังเกตเด็กผู้หญิงที่หน้าตาเหลืองซูบ และใส่เสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยรอยปะเล็กน้อย ในความรู้สึกของเขา เด็กคนนี้ดูไม่ต่างจากขอทานเลยสักนิด ดูเสร็จ เขาก็โบกมืออย่างรังเกียจ “เด็กเล็ก สำหรับเจ้า จ่ายทองแดงมาหนึ่งแผ่นและเข้าไปได้”
เจียงป่าวชิงส่งเงินให้ จากนั้นก็ได้เข้าไปในเมืองอย่างราบรื่น
เจียงป่าวชิงไม่รู้ว่าอำเภอฉือเจียอยู่ในระดับไหนในราชวงศ์ต้าหลงนี้ แต่บ้านหลายหลังที่หันหน้าเข้าหาถนนมีสภาพทรุดโทรม ถนนสายหลักก็เป็นหลุมเป็นบ่อ อีกทั้งยังขาดหินกับไม้กระดานด้วย ร้านค้าโดยรอบนั้นก็ไม่ได้รับความนิยมมากนัก ดูแล้วรู้สึกซบเซาพอสมควร
แต่ไม่ว่าจะพูดอย่างไร ที่แห่งนี้ก็ดีกว่าชีหลี่โว
เนื่องจากไม่ค่อยรู้เกี่ยวกับราคาสินค้าในอำเภอ เจียงป่าวชิงจึงไม่ได้วางแผนที่จะใช้เศษเงินนี้ทำอะไร นางต้องคิดหาวิธีที่จะรวยบนพื้นฐานของความเป็นจริง
เจียงป่าวชิงเดินไปตลอดทางและถามราคาไปเรื่อย ๆ ร้านค้าหลายร้านขับไล่นางออกไปราวกับนางเป็นขอทานที่ตั้งใจมากวนประสาทคนทำนองนั้น ร้านค้าบางร้านแม้จะบอกราคานาง แต่น้ำเสียงกลับไม่ค่อยดีนัก
เจียงป่าวชิงมองเสื้อผ้าที่เต็มไปด้วยรอยปะของตัวเองก็อดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา
ช่างเถอะ… ซื้อเสื้อผ้าให้ตัวเองกับเจียงหยุนชานผู้เป็นพี่ชายก่อนดีกว่า ต้องอยู่สภาพนี้ในทุก ๆ วัน ขนาดนางไม่ค่อยออกไปข้างนอกยังโดนดูถูกถึงเพียงนี้เลย แล้วเจียงหยุนชานผู้เป็นพี่ชายที่เรียนหนังสืออยู่ในอำเภอทุกวัน เขาจะเป็นอย่างไรบ้างก็ไม่รู้
.