แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 30 เย็นชาไร้ความรู้สึก
ตอนที่ 30 เย็นชาไร้ความรู้สึก
เมื่อสักครู่เจียงป่าวชิงใช้โอกาสตอนที่ไม่มีใครสนใจเอื้อมมือไปจับชีพจรของเฟิ่งเอ๋อร์ และสังเกตฝ้าที่ลิ้นของนาง เมื่อเห็นเฟิ่งเอ๋อร์ตัวร้อนจนหน้าแดงก่ำ เจียงป่าวชิงก็รู้แล้วว่าเฟิ่งเอ๋อร์น่าจะเป็นไข้สูงและมีอาการเหงื่อเหลือง
หมอคนนั้นโบกมือเพื่อไล่พวกนางออกไป “ข้าเรียนมาไม่ค่อยชำนาญเท่าไหร่ พวกเจ้ารีบไปที่ห้องโถงหวนคืนสู่ฤดูใบไม้ผลิเถอะ อย่าเสียเวลาเด็กไปมากกว่านี้เลย”
เจียงป่าวชิงหมดคำจะพูด แต่ก็ถือว่าหมอคนนี้ซื่อสัตย์อยู่พอสมควร เขากล้าบอกออกมาตรง ๆ ว่าตัวเองเรียนมาไม่ชำนาญ
ผู้หญิงคนนั้นอุ้มเฟิ่งเอ๋อร์ตัวน้อยที่หลับใหลด้วยใบหน้าสิ้นหวัง “เห็นทีว่าข้าจะต้องเดินทางนั้นแล้วล่ะ…”
เจียงป่าวชิงรีบจับนางไว้ทันที จากนั้นก็แสร้งทำเป็นตกใจราวกับนึกเรื่องอะไรได้ทำนองนั้น “สะใภ้ตระกูลป๋าย พี่รอสักครู่นะ เมื่อก่อนตอนที่ข้าป่วย พี่ชายของข้าเคยอ่านหนังสือให้ข้าฟังมากมาย เหมือนในนั้นจะมีอาการที่คล้ายกับที่เฟิ่งเอ๋อร์ตัวน้อยป่วยอยู่ในขณะนี้” จากนั้นนางก็หันไปมองหมอคนนั้นและถามว่า “ท่านหมอเจ้าคะ เด็กคนนี้มีอาการเหงื่อเหลืองใช่ไหมเจ้าคะ ?”
หมอคนนั้นครุ่นคิดอย่างสับสนเล็กน้อย จากนั้นเขาก็ชกฝ่ามือของตัวเอง “ใช่ ไม่ผิดแน่ นี่แหละอาการเหงื่อเหลือง”
ผู้หญิงคนนี้ที่เป็นแม่ของเด็กเติบโตในชีหลี่โวมาตั้งแต่เล็ก ตอนลูกหลานป่วย หากในช่วงเวลานั้นสภาพของครอบครัวดีหน่อยก็จะให้แม่เฒ่ากัวมาสั่งยาให้ หรือไม่ก็เชิญแม่เฒ่าเซียนเว่ยมาเต้นระบำเทพ แต่ถ้าหากสภาพของครอบครัวไม่ดีก็จะอดทน หากต้านไหวก็ต้านจนผ่านไป แต่หากต้านไม่ไหว ทุกปีก็จะมีเด็กจำนวนมากที่เสียชีวิตตั้งแต่เยาว์วัย
และครั้งนี้ก็เป็นแม่เฒ่ากัวคนเดิมที่แนะนำให้ผู้หญิงคนนี้พาลูกมาดูอาการในอำเภอ นางเคยได้ยิน ‘อาการเหงื่อเหลือง’ เสียที่ไหนกัน
เมื่อนางได้ยินหมอคนนั้นพูดชื่ออาการของโรคออกมา นางก็เบิกตากว้างด้วยความดีใจทันที “เช่นนั้นก็แสดงว่าเฟิ่งเอ๋อร์ของข้ามีทางรักษาให้รอดได้แล้วสิเจ้าคะ ?!”
หมอคนนั้นคิดย้อนกลับไปทบทวนว่าอาการเหงื่อเหลืองต้องรักษาอย่างไร ผ่านไปสักพักใหญ่เขาถึงจะพูดชื่อยาออกมายาวเหยียด พูดจบเขาก็ชกฝ่ามือของตัวเองอีกครั้ง “อันนี้แหละไม่ผิดแน่”
เขาไม่ขาดแคลนของบำรุงอย่างโสมและเขากวาง
เมื่อเจียงป่าวชิงได้ฟังก็รู้สึกปวดศีรษะเล็กน้อย หนังสือวิชาแพทย์ประเภทไหนกันที่ถ่ายทอดใบสั่งยาที่ไร้ประโยชน์และยืดยาวแบบนี้ออกมา
เครื่องปรุงยาจีนที่ใช้ได้ผลมีเพียงปักคี้ กุ้ยจือ ดอกสาวย่าว ขิง และชะเอมเท่านั้น ส่วนที่เหลือ เช่น ถิงลี่จื่อ อินเฉินกาว โกศน้ำเต้า และดอกพุดจีนนั้น ถึงแม้ว่าเครื่องปรุงยาเหล่านี้จะสามารถรักษาไข้และอาการเหงื่อเหลืองได้ แต่ประเด็นคือมันไม่สอดคล้องกับสภาพชีพจรของเฟิ่งเอ๋อร์อย่างไรเล่า
อีกอย่าง ต่อให้ตอนนี้เฟิ่งเอ๋อร์จะหลับอยู่ นางกลับอดทนจนหน้าแดงก่ำ ถ้าหากมีไข้สูงจะต้องใช้อุปกรณ์ที่ใช้สำหรับเคาะจุดชวีเจ๋อ จุดเหอกู่ และจุดเหว่ยจง มาเคาะให้เลือดออกเพื่อที่จะได้จัดการร่วมกันถึงจะถูกต้อง
‘ทำไมหมอคนนี้ถึงได้ไม่พูดถึงวิธีการคู่กันอย่างการฝังเข็ม ?’ เจียงป่าวชิงนึกฉงนสงสัย
เจียงป่าวชิงขมวดคิ้วเล็กน้อย นางตัดสินใจพูดขึ้น “ไม่ต้องฝังเข็มหรือเจ้าคะ ?”
แต่หมอคนนั้นกลับมีใบหน้างงงวย “ฝังเข็ม… คืออะไรหรือ ?”
เปรี้ยง!
เจียงป่าวชิงรู้สึกตะลึงกับคำพูดนี้จนจิตวิญญาณแทบจะบินออกจากร่างเลยทีเดียว ถึงแม้ว่าฝีมือของหมอคนนี้จะธรรมดามาก แต่ถึงอย่างไรเขาก็เป็นคนที่สามารถท่องหนังสือวิชาแพทย์ที่ไม่น่าเชื่อเถือได้เล็กน้อยเชียวนะ ทำไมเขาถึงพูดว่า ‘ฝังเข็มคืออะไร’ ล่ะ ?
ต่อให้เป็นคนที่มีความรู้ทั่วไปทางการแพทย์เพียงน้อยนิด แต่ก็ไม่ควรถามคำถามนี้ออกมา เมื่อคิดรวมกับสถานบริการรักษาโรคก่อนหน้านี้ หมอแก่ ๆ ที่ประจำอยู่ที่นั่นดูอาการให้ผู้ป่วยเป็นเวลานาน แต่ก็ไม่เห็นใครใช้วิธีการฝังเข็มเลยสักคน…
คำตอบของปัญหานี้แทบจะบรรยายได้สมจริงมาก
หัวใจของเจียงป่าวชิงเต้นแรงและเร็ว ในหูมีแต่เสียงการเต้นของหัวใจ และมันดังสนั่นอยู่ในหูตลอดเวลา
ยุคนี้ไม่มีการฝังเข็ม!
คิดไม่ถึงเลยจริง ๆ ว่ายุคนี้จะไม่มีการฝังเข็ม!
‘เธอ’ ที่เป็นทายาทของตระกูลการฝังเข็มเข้าใจได้ทันทีว่ายุคสมัยนี้ไม่มีวิธีการฝังเข็ม สำหรับ ‘เธอ’ แล้ว นี่ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีมากเลยก็ว่าได้ แต่แน่นอนว่ามันก็เป็นสิ่งที่อันตรายมากเช่นกัน
ในยุคที่อำนาจของจักรพรรดิสามารถกำหนดความเป็นความตายของประชาชนได้เช่นนี้ การที่ใครสักคนมีทักษะการช่วยชีวิตที่ค่อนข้างโดดเด่น มันคนละเรื่องกับการที่มีคนคนเดียวที่มีทักษะการช่วยชีวิตโดยสิ้นเชิง
เจียงป่าวชิงสูดหายใจเข้าลึก ๆ ‘เธอ’ ไม่อยากเป็นเหมือนยุคที่ตนเองจากมาอีกแล้ว เนื่องจากวิธีการฝังเข็มของ ‘เธอ’ นั้นยอดเยี่ยมเกินไป จึงกลายเป็นนกคีรีบูนในกรงที่อยู่ภายใต้อำนาจของคนอื่น
ความคิดในหัวของเจียงป่าวชิงตีกันให้วุ่น แต่หมอคนนั้นยังคงถามอย่างซักไซ้ “ว่าอย่างไรล่ะ ? ตกลงว่าฝังเข็มคืออะไรกันแน่ เจ้าบอกข้าได้หรือไม่ ?”
เจียงป่าวชิงดึงสติกลับมา จากนั้นก็ยิ้มเล็กน้อย “เมื่อก่อนข้าเคยป่วยเป็นโรคปัญญาอ่อน เกรงว่าหนังสือที่เคยได้ยินมาจะผสมปนเปกันไปหน่อยจึงทำให้จำสลับกัน”
หมอคนนั้นพูดด้วยเสียงกึ่งกระซิบ จากนั้นเขาก็ลืมคำว่า ‘ฝังเข็ม’ ที่สดใหม่นี้ไปทันที เขาโบกปากกาและเริ่มเขียนใบสั่งยา
ในใจของเจียงป่าวชิงไม่เคยกระปรี้กระเปร่าเช่นนี้มาก่อนเลย
การฝังเข็มนั้น ถ้าดูจากตอนนี้เกรงว่าจะไม่สามารถแสดงออกมาให้คนเห็นอย่างโจ่งแจ้งได้
ผู้หญิงคนนั้นจะรู้กลไกทางจิตวิทยาของเจียงป่าวชิงได้อย่างไร เมื่อนางเห็นหมอคนนั้นไม่ได้เน้นค่าตรวจแพงเกินไป ในใจของนางก็เริ่มมีความหวังเล็กน้อย จากนั้นนางก็พูดออกมาอย่างเป็นกังวล “ท่านหมอ เอ่อ… ข้า… ตอนนี้ข้ามีเงินไม่มากเท่าไหร่”
นางยังพูดไม่ทันจบคำ หมอคนนั้นก็โบกมือไปมาเสียก่อน “อาการของโรคนี้ไม่ถือว่าข้าตรวจเจอ ข้าจะคิดแค่ค่ายาก็แล้วกัน” เขาหมุนลูกคิดข้าง ๆ จนเกิดเป็นเสียง สุดท้ายเขาก็บอกจำนวนราคาออกมา “ค่ายาทั้งหมดเป็นเงินสี่ตำลึงสองสลึง”
ถ้าหากเทียบกับที่ห้องโถงหวนคืนสู่ฤดูใบไม้ผลิเรียกราคาไว้ก็แทบจะลดลงไปครึ่งหนึ่งเลยก็ว่าได้ แต่ราคานี้ก็ยังทำให้สีหน้าของผู้หญิงคนนั้นเปลี่ยนไปอยู่ดี นางพูดออกมาเสียงเบา “ท่านหมอ คือ ตอนนี้ข้ายังไม่มีเงินมากมายขนาดนั้น ลดราคาให้ถูกกว่านี้หน่อยได้ไหมเจ้าคะ ?”
เสียงของนางยิ่งเบาลงเรื่อย ๆ
หมอคนนั้นค่อนข้างลำบากใจเล็กน้อย “นี่ถือว่าถูกมากแล้ว เจ้าดูเครื่องปรุงยาเหล่านี้สิ แพงมากหมดเลยนะนั่น”
เมื่อเจียงป่าวชิงจัดการกับอารมณ์เสร็จแล้ว นางก็หันกลับมามองใบสั่งยานั้นทันที หมอคนนี้เรียนมาไม่ค่อยชำนาญ แต่ตัวอักษรไก่เขี่ยแบบนี้กลับเหมือนกับหมอหลาย ๆ คนเลยก็ว่าได้
เจียงป่าวชิงมองอยู่สักพักถึงจะอ่านออกว่าเขาเขียนอะไร เนื้อหาใบสั่งยาเหมือนกับที่หมอคนนั้นท่องก่อนหน้านี้เลย นางประคองหน้าผาก เมื่อสักครู่นางฟังก็รู้แล้วว่ามีเครื่องปรุงยาที่อยู่ในใบสั่งยาหลายตัวที่สามารถคัดออกได้
ไม่ใช่แค่เพียงเสียเงินมากมายไปโดยไม่คุ้มค่าอย่างเดียว แต่เครื่องปรุงยาที่มีคุณสมบัติยารุนแรงที่อยู่ในใบสั่งยาเมื่อสักครู่ ก็ไม่เหมาะที่จะใช้กับเด็กเล็ก
ตอนที่กำลังจะชี้แจงนั้น จู่ ๆ เจียงป่าวชิงก็ต้องชะงักไป เวลานี้สิ่งที่นางควรเป็นคือเด็กผู้หญิงวัยสิบสามขวบจากชนบทที่เพิ่งหายจากโรคปัญญาอ่อน ถ้าหากบอกออกไปว่าตนเองจำอาการเหงื่อเหลือง และยังสามารถจำเนื้อหาในหนังสือที่พี่ชายเคยอ่านให้ตัวเองฟังได้อย่างถู ๆ ไถ ๆ และมาตอนนี้ เด็กผู้หญิงวัยสิบสามขวบจากชนบทที่เพิ่งหายจากโรคปัญญาอ่อนคนนี้ก็กำลังจะลบและเปลี่ยนแปลงใบสั่งยา
หากเรื่องนี้เผยแพร่ออกไป จะยังมีใครไม่สงสัยบ้าง
เจียงป่าวชิงหลับตาและลอบพูดในใจว่า ‘อย่าโทษที่ฉันเห็นแก่ตัว ฉันเพียงแค่อยากมีชีวิตอย่างอิสระในยุคสมัยนี้ก็เท่านั้น…’
‘ฉันจะเป็นคนเย็นชาที่ไร้ความรู้สึก…’
‘ฉันจะเป็นคนเย็นชาที่ไร้ความรู้สึก…’
‘ฉันจะเป็นคนเย็นชาที่ไร้ความรู้สึก…’
เจียงป่าวชิงพูดในใจสามครั้งเพื่อล้างสมองตัวเอง จากนั้น ‘เธอ’ ถึงจะลืมตาขึ้น แต่เมื่อเห็นสีหน้าที่หมดหวังและไร้ตัวช่วยของผู้หญิงคนนั้น อีกทั้งยังมีใบหน้าเล็ก ๆ ที่แดงก่ำจากพิษไข้ของเฟิ่งเอ๋อร์ที่กำลังหลับอยู่ด้วยแล้ว เจียงป่าวชิงก็ชะงักไป สุดท้ายก็ถอนหายใจราวกับยอมรับชะตาชีวิตของตนเอง
เจียงป่าวชิงทำสีหน้าไร้เดียงสาที่เหมาะกับวัยสิบสาม จากนั้นก็ถามหมอ “ท่านหมอเจ้าคะ เมื่อสักครู่ข้าได้ยินท่านบอกว่ามีโสมกับเขากวางด้วยใช่ไหมเจ้าคะ ? แต่พี่ชายของข้าเคยบอกว่าโสมกับเขากวางหายากมาก และยังเป็นของบำรุงร่างกายที่ยอดเยี่ยมอีกด้วย… ราคาของมันคงสูงมากเลยใช่ไหมเจ้าคะ ?”
หมอคนนั้นรีบพยักหน้าทันที “ใช่ ที่ใบสั่งยานี้ราคาสูงก็เพราะข้างในมีแต่ของดีอย่างไรเล่า เจ้าดูอย่างโสมกับเขากวางสิ บำรุงร่างกายได้ยอดเยี่ยมเชียวนะ ครั้งนี้ ร่างกายเล็ก ๆ ของเด็กคนนี้ป่วยจนทำให้นางทรมานมาก…” น้ำเสียงของหมอขาดหายไป เขาส่งเสียงจุ๊ปากเล็กน้อย จากนั้นก็พูดพึมพำกับตัวเอง “ไม่ใช่ ๆ ชีพจรของเด็กคนนี้อ่อนมาก โสมกับเขากวางที่ช่วยบำรุงแบบนี้ ถ้าหากนางอ่อนแอจนไม่ได้รับการบำรุง แต่กลับมีผลต่อการขับเหงื่อแทนล่ะ”
จู่ ๆ ดวงตาของหมอก็เป็นประกาย เขาใช้ปากกาขีดฆ่าคำว่า ‘โสมสามทองแดง’ กับ ‘เขากวางหนึ่งทองแดง’ ทิ้งไป จากนั้นก็คำนวณด้วยลูกคิดจนเกิดเสียง สุดท้ายเขาก็คำนวณออกมาในราคาใหม่
“ข้าให้เจ้าหนึ่งตำลึงสี่สลึงก็แล้วกัน” หมอกล่าวกับผู้หญิงคนนั้น
.
.
.
***(การรักษาในบทความนี้ อ้างอิงมาจากข้อมูลที่พบในหนังสือโบราณเพื่อใช้ในการสร้างสรรค์ศิลปะของนวนิยายเท่านั้น หากทุกคนมีความรู้สึกไม่สบายในร่างกาย ห้ามทรมานตัวเองเด็ดขาด และต้องไปโรงพยาบาลตามปกติตั้งแต่เนิ่น ๆ)