แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 332 เขากระจายแสงในตัวเอง
ก่อนออกเดินทางในวันต่อมา เจียงป่าวชิงพบว่ามีดอกกุหลาบฝ้ายมากมายเพิ่มมาในห้องโดยสารบนรถม้าที่นางอยู่จริง ๆ ดอกกุหลาบฝ้ายพวกนี้วางอยู่ในตะกร้าดอกไม้ละเอียดอ่อนซึ่งสานทอจากไม้ไผ่ มีน้ำค้างติดอยู่บนกลีบดอก เนื่องจากกลีบดอกซ้อนทับกันเป็นชั้น ๆ หยดน้ำค้างที่อยู่บนกลีบดอกจึงจะไหลตกแหล่ไม่ตกแหล่ ทว่านั่นแลดูมีชีวิตชีวาและมีพลังมาก มันสามารถทำให้ผู้คนมีความสุขยามที่ได้เห็นได้มองมัน
เจียงฉิงพูดขึ้นอย่างดีอกดีใจ “พี่สาว ทำไมในรถม้าของเราถึงได้มีดอกไม้ล่ะจ๊ะ ?”
เจียงป่าวชิงนึกถึงดอกไม้ที่อยู่ในห้องเมื่อวานก็อดไม่ได้ที่จะยกยิ้มมุมปาก “อาจมีคนเอามาวางไว้”
จู่ ๆ ม่านรถก็ถูกเลิกออก กงจี้เลิกคิ้วขึ้นมองเจียงป่าวชิงด้วยแววตาแฝงความหมาย “ดูเหมือนว่าเจ้าจะถูกอกถูกใจดอกไม้เมื่อวานนะ”
เจียงฉิงอดถามพี่สาวของนางไม่ได้ แต่นางกลับพบว่าพี่สาวที่กำลังถือตะกร้าดอกกุหลาบฝ้ายนั้นเล่นอยู่เมื่อสักครู่ นั่งตัวตรงแข็งทื่อไปแล้วในตอนนี้ ดูเกร็งราวกับถูกจับได้ว่าเล่นชู้อย่างไรอย่างนั้น สายตาก็มองชายตรงหน้าด้วยสีหน้าไร้อารมณ์
“ดอกกุหลาบฝ้ายสามารถขจัดความร้อน ล้างพิษ ลดบวม ระบายหนองและหยุดเลือดได้ ข้าเป็นหมอจึงรู้สึกสนใจมันเป็นธรรมดา” เจียงป่าวชิงพูดเน้น “มันก็แค่นี้ ไม่มีเหตุผลอื่นใดหรอก”
กงจี้ไม่ได้พูดอะไร เขาเพียงจ้องนางนิ่ง ๆ
…
ในช่วงเช้าตรู่ของปลายฤดูใบไม้ร่วง อากาศยังคงหนาวเหน็บ แสงอาทิตย์ส่องเข้ามาในรถม้าจากด้านข้างของกงจี้ เขาเหมือนยืนกระจายแสงอยู่ตรงนั้น ดูโปร่งใสแปลกพิกลราวกับผีและเหมือนกำลังจะอันตรธานหายไปในไม่ช้า
เจียงป่าวชิงรู้สึกหายใจไม่ออก หัวใจเต้นสั่น ไม่ได้เบนสายตาไปทางอื่นแต่เลือกที่จะสบตากับกงจี้อยู่อย่างนั้น
เจียงฉิงปิดปากเพื่อไม่ให้ตัวเองเผลอส่งเสียงใด ๆ รบกวนทั้งสองคน นางยังเด็กจึงไม่เข้าใจความรักของชายหญิง แต่นางสามารถรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าในเวลานี้ไม่ควรรบกวนพวกเขา
เจียงฉิงตระหนักถึงเรื่องนี้แต่ไม่ได้หมายความว่าคนอื่นจะตระหนักได้เหมือนนาง
หลิวหมิงอันที่ยืนอยู่ด้านนอกตัวรถม้าพูดขึ้นด้วยความเก้อเขิน “คุณชาย ข้ามีเรื่องจะปรึกษา ช่วยเลิกม่านออกก่อนได้หรือไม่ คือว่าข้ามีธุระจะคุยกับแม่นางเจียง”
“อะไร ?!” กงจี้ถามเสียงดุและค่อย ๆ หมุนตัวกลับไปมองทางต้นเสียงของหลิวหมิงอันด้วยสายตาประหนึ่งอยากฆ่าคน
หลิวหมิงอันสบถในใจ ‘บ๊ะ! นี่ข้าละเมิดข้อห้ามอะไรอีก ไม่อนุญาตให้คนอื่นคุยธุระกับแม่นางเจียงงั้นรึ ? คุณชายกงคงไม่ได้หึงหวงจนถึงขั้นนี้แล้วใช่ไหมนี่’
ไม่! เขารู้จักกับอีกฝ่ายมาตั้งหลายปี ทำไมจะไม่รู้ว่าคุณชายผู้สูงศักดิ์และหยิ่งผยองคนนี้เป็นคนขี้หึงแห่งเมืองหลวง
หลิวหมิงอันที่กำลังงุนงงไม่รู้ว่าตัวเองทำลายบรรยากาศอะไรไปเมื่อสักครู่ ตอนนี้เขารู้แค่ว่ากงจี้คงกำลังประหารเขาด้วยสายตาโหดเหี้ยมเป็นแน่
โชคดีที่เสียงของเจียงป่าวชิงดังขึ้นมาจากในรถม้าเสียก่อน นี่ถือว่าช่วยเขาให้พ้นจากภยันตรายจริง ๆ “ท่านหลิวรึ มาหาข้ามีธุระอะไรหรือ ?”
นางฟ้า!
เจียงป่าวชิงไม่เพียงแต่รูปลักษณ์เหมือนนางฟ้าเท่านั้น นางยังปฏิบัติตัวเหมือนนางฟ้าอีกด้วย ช่างมีจิตใจดีจริง ๆ
หลิวหมิงอันแทบอยากมอบอนุสรณ์ช่วยชีวิตให้กับเจียงป่าวชิง
กงจี้เลิกม่านออก มองท่าทางตื้นตันใจที่ได้รับความช่วยเหลือของหลิวหมิงอันแล้วแค่นเสียงหัวเราะเย็นชา พลิกตัวขึ้นนั่งบนหลังม้า เลื่อนสายตามองรถม้าและพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำเล็กน้อย “ข้าจะไปข้างหน้า มีเรื่องอะไรก็บอกข้า”
เห็นได้ชัดว่าเขาพูดกำชับเจียงป่าวชิง
…
ภายในรถม้าไร้การเคลื่อนไหวใด ๆ
กงจี้ขี่อยู่บนหลังม้าอย่างอดทนแต่ไม่ได้ไปไหนไกล เขาวนเวียนอยู่แถว ๆ ด้านหน้านั้นเอง ผ่านไปสักพักมีเสียงที่ฟังดูโกรธเคืองของเจียงป่าวชิงดังออกมาจากในรถม้าว่า “รู้แล้วน่า ข้ารู้แล้ว!”
กงจี้สะบัดบังเหียนอย่างพึงพอใจ สองขาของเขาหนีบข้างท้องม้า ขี่ม้าจากไปโดยที่ไม่เหลียวมองหลิวหมิงอันที่กำลังตกตะลึงอยู่ข้างหลังแม้แต่น้อย
นี่… นี่ถือว่าปฏิบัติต่างกันเกินไปจริง ๆ
คุณชายปฏิบัติต่อแม่นางเจียงอย่างอบอุ่นราวกับความอบอุ่นในฤดูใบไม้ผลิ แต่ปฏิบัติต่อเขาเยือกเย็นราวกับความหนาวเย็นในฤดูหนาว นี่เหมือนพี่น้องที่เป็นมิตรสหายพี่ใหญ่ลูกน้องกันมาหลายปีเสียที่ไหน นี่มันศัตรูที่มีความแค้นต่อกันชัด ๆ
“ท่านหลิว ?” เจียงป่าวชิงเรียกขึ้นเสียงเบาอย่างสงสัยและเลิกม่านรถออกเล็กน้อย
หลิวหมิงอันดึงสติกลับมา เกือบลืมธุระสำคัญไปสนิท เขาขมวดคิ้วเล็กน้อย “เมื่อสักครู่จิ้งอี๋บอกว่าเพื่อนเล่นในวัยเด็กของเขารู้สึกไม่สบายตัว อยากขอให้ข้ามาเชิญให้แม่นางเจียงช่วยไปดูหน่อย”
เจียงป่าวชิงหัวเราะเบา ๆ แน่นอนว่าหลิวหมิงอันรู้ว่าเจียงป่าวชิงกำลังหัวเราะอะไรอยู่
เมื่อวานหลี่อันหรูก่อเรื่องและถูกสาวน้อยเจียงฉิงด่ากลับไป ไหนจะน้องชายที่โง่เขลาของเขายังทำตัวไปเข้าร่วมทำสงครามด้วย ผลคือก็ถูกเจียงป่าวชิงตบหน้าด้วยคำพูดนิ่ง ๆ เขาได้ยินคนอื่น ๆ พูดเรื่องนี้เมื่อคืน ตอนนั้นกงจี้เองก็อยู่กับเขาด้วยเช่นกัน
กงจี้หัวเราะเยาะเล็กน้อยและเตือนให้เขา “ดูแลน้องชายของเขาให้ดี ๆ”
แต่ต้องบอกเลยว่าน้องชายโง่เง่าของเขาคิดได้อย่างรอบคอบมาก เพิ่งปะทะกับเจียงป่าวชิงเมื่อวาน ตอนนี้แม้เขาจะสามารถระงับสีหน้าจงเกลียดจงชังเอาไว้ได้และมาขอให้นางช่วยไปดูอาการหลี่อันหรูได้ด้วยตัวเอง แต่ด้วยนิสัยของเจียงป่าวชิง นางอาจไม่ไปดูให้ก็ได้ สู้ให้คนเป็นพี่ชายอย่างเขามาเชิญแทนจะดีกว่า
หลิวหมิงอันเองก็อธิบายให้เจียงป่าวชิงฟังอย่างจนปัญญา “อ่า… แม่นางที่เป็นเพื่อนเล่นในวัยเด็กของจิ้งอี๋คนนั้นรู้จักกับเขามาตั้งแต่เล็ก นางเอาแต่ตามหลังเขาตลอดทั้งวัน นิสัยของน้องชายข้า… ช่างเถอะ พี่ชายอย่างข้าเองก็ขี้เกียจจะว่าอะไรเขาแล้ว เพียงแค่นางเรียกเขาว่าพี่ชายไม่กี่คำ เขาก็ถือว่าการดูแลนางเป็นความรับผิดชอบของเขาซะอย่างนั้น หลังจากเกิดเรื่องนี้ขึ้น ทางบ้านของเพื่อนเล่นในวัยเด็กของเขาก็พยายามปิดบังอย่างสุดชีวิต แต่เขากลับทำอะไรโง่ ๆ มาส่งอาหารให้นางซะอย่างนั้น พี่ชายอย่างข้าจึงต้องจัดการปัญหาให้เขา ช่างน่าโมโหจริง ๆ คาดว่าแม่นางเจียงคงจะไม่เข้าใจความรู้สึกเช่นนี้”
คงเป็นเพราะหลิวหมิงอันอดกลั้นเรื่องนี้อยู่ในใจมานานแล้ว เขาพูดกับเจียงป่าวชิงราวกับระบายให้ฟัง
เจียงป่าวชิงพยักหน้า พูดขึ้น “ข้าไม่เข้าใจความรู้สึกนี้หรอก เพราะน้องสาวข้าทั้งว่านอนสอนง่าย ฉลาด และเชื่อฟังข้า นางจะต้องไม่ก่อเรื่องแบบนี้มาให้ข้าปวดหัวแน่”
“…” หลิวหมิงอันพูดไม่ออก เขาจะพูดอะไรได้อีก
ทว่าเจียงป่าวชิงกระโดดลงจากรถม้าอย่างคล่องแคล่ว “แต่ก็นั่นแหละนะ พอข้าฟังแล้ว ท่านหลิวก็น่าสงสารมากจริง ๆ เห็นแก่หน้าท่านหลิว ข้าจะไปดูนางให้ก็ได้”
รถม้าของเจียงป่าวชิงกับหลี่อันหรูอยู่ห่างกันพอสมควร ตอนที่เจียงป่าวชิงกับหลิวหมิงอันเดินไปถึงก็ได้ยินเสียงบ่นของหลี่อันหรูดังลอดออกมาจากในรถม้า
“เชอะ! พี่จิ้งอี๋ พี่ยังพูดดีกับโจรสาวคนนั้นอยู่แล้วยังจะให้ข้ากลมเกลียวกับนางอีก พี่ดูสิ ตอนนี้นางก็ไม่มาดูอาการให้ข้า นางคงจงใจอยากให้ข้าเจ็บจนตายแน่ ๆ ข้าบอกพี่แล้วว่านางเป็นหญิงชั่วร้ายคนหนึ่ง”
เจียงป่าวชิงมองหลิวหมิงอันอย่างมีความหมายแฝง
สีหน้าจนปัญญาปรากฏขึ้นมาบนใบหน้าที่มีรอยแผลเป็นของหลิวหมิงอัน
“เอาล่ะหรูเอ๋อร์ เกรงว่าคงมีอะไรล่าช้า แล้วตอนนี้เจ้ารู้สึกเจ็บตรงไหนหรือ ?”
“ข้ารู้สึกปวดท้อง ขาก็ด้วย มันปวดไปหมด”
“…”
หลิวหมิงอันทนฟังต่อไปไม่ไหวแล้วจริง ๆ เขากระแอมไออย่างแรงด้วยความหงุดหงิดก่อนจะพูดขึ้นอย่างช้า ๆ “ข้าเชิญแม่นางเจียงมาแล้ว”
คำพูดนี้เหมือนมีรอยยิ้มอยู่ในน้ำเสียงเล็กน้อย แต่กลับไม่ทำให้คนฟังสัมผัสถึงรอยยิ้มแม้แต่น้อย
เกิดความเงียบขึ้นในรถม้าทันที
ผ่านไปสักพัก ม่านรถม้าถูกเลิกออก เห็นได้ชัดว่ามีความเหนื่อยล้าอยู่บนใบหน้าของหลิวจิ้งอี๋ “แม่นางเจียง โปรดแม่นางอย่าได้ใส่ใจกับคำพูดเมื่อสักครู่นี้เลย… เชิญ”
.
.
.