แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 337 โรคร่างกายอ่อนแรง
“เจียงป่าวชิง” กงจี้เรียกเสียงเบา
เจียงป่าวชิงเงยหน้ามองไปทางเขาด้วยแววตาตั้งคำถาม “มีอะไรรึ ?”
สีหน้ากงจี้เคร่งขรึม “กานซุ่ยนายทหารของข้าป่วยกะทันหัน เจ้าไปดูกับข้าหน่อย”
เจียงป่าวชิงหรี่ตาลงทันที นางรู้ว่ากงจี้มีกลุ่มองครักษ์ที่คอยติดตามเขามาตั้งแต่เขายังเด็ก ซึ่งทุกคนตั้งชื่อตามชื่อยาสมุนไพร เช่นเดียวกับไป๋จีและหวงฉี แม้ที่ผ่านมานางไม่เคยได้ยินชายผู้มีนามว่ากานซุ่ยมาก่อน แต่เมื่อได้ยินชื่อในนามยาสมุนไพร ดูแล้วกานซุ่ยคงเป็นคนสนิทของกงจี้
เจียงป่าวชิงไม่ได้ปฏิเสธ นางพยักหน้าตกลงเงียบ ๆ
กงจี้ยื่นมือไปดึงนางให้ลุกขึ้นจากกองฟางแห้ง ๆ ส่วนนางตบฟางที่ติดตามเสื้อผ้าและหันกลับไปสั่งเจียงฉิงที่อยากตามไปด้วย “อาฉิง เจ้าพักผ่อนอยู่ที่นี่แหละ ข้าจะไปดูก่อน”
เจียงฉิงได้ยินเจียงป่าวชิงพูดเช่นนี้ก็พยักหน้าอย่างว่านอนสอนง่าย
ฝนข้างนอกไม่เบาลงเลย กงจี้อยากช่วยเจียงป่าวชิงถือร่ม แต่นางกลับผลักร่มกลับไปหาเขาอย่างโมโหเล็กน้อย “ดูแลตัวเจ้าเองให้ดี ๆ เถอะ ไม่ต้องการขาตัวเองแล้วหรือไง ?”
องครักษ์ผู้มารายงานเมื่อสักครู่ก้มหน้ากระดากอายและทำเหมือนว่าตัวเองไม่ได้อยู่ตรงนั้น
แม่นางเจียงคนนี้เป็นคนแรกที่กล้าพูดกับนายท่านของเขาเช่นนี้แต่นายท่านของเขาไม่ได้โกรธอะไร เพียงเลิกคิ้วขึ้นและพูดด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลอย่างมาก นางคงเป็นคนพิเศษของนายท่านแน่ ๆ
“เจียงป่าวชิง เจ้าเองก็ต้องดูแลตัวเองให้ดี ๆ ด้วยเช่นกัน อย่าให้ข้าเห็นเชียวว่าเจ้าเปียกฝนตรงไหน มิเช่นนั้น…” คำพูดค้างคายังไม่จบเต็มไปด้วยการข่มขู่ที่ไม่จำเป็นต้องพูดมันออกมา
องครักษ์ยังคงก้มหน้าอยู่ เขาดูแลงานนอกเหนือหน้าที่มาโดยตลอด แม้จะออกเดินทางมาได้หลายวันแล้วแต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาเห็นท่าทางเช่นนี้ของนายท่าน ความตกตะลึงจึงบังเกิด และไหนจะนี่อีก! เขาเห็นเต็มตาว่าแม่นางเจียงถลึงตาใส่นายท่านของเขาแล้วนางก็กางร่มกระดาษน้ำมันด้วยตัวเองพร้อมก้าวเข้าไปท่ามกลางสายฝนตกหนัก แต่นายท่านของเขาไม่ได้พูดอะไรและยังเดินกางร่มตามแม่นางเจียงคนนั้นไปติด ๆ
แม่นางเจียงไม่เหมือนเด็กสาวธรรมดา ๆ แล้ว นี่คือแม่นางที่แต่งงานแล้วชัด ๆ!
องครักษ์ตกใจจริง ๆ
…
ไม่นานทั้งหมดก็มาถึงห้องด้านข้างของบ้านที่กงจี้บอกเมื่อสักครู่ เจียงป่าวชิงยืนอยู่ใต้ชายคาบ้าน สะบัดน้ำฝนบนร่มแล้วค่อยหุบร่ม
น้ำฝนรั่วในห้องนี้แย่กว่าที่ห้องหลักมาก น้ำฝนในห้องรั่วหยดลงมาสะสมรวมกันตรงนี้ทีตรงนั้นที และมีสัมภาระวางอยู่ในที่แห้งหลายจุด เมื่อเดินเข้าไปข้างในอีกหน่อยก็เห็นชายผู้มีท่าทางเหมือนองครักษ์นอนอยู่บนกองฟางที่ถือว่าแห้งพอสมควร เจียงป่าวชิงมองหน้าอกที่ขยับขึ้น ๆ ลง ๆ ตามจังหวะหายใจของเขาแล้ว ดูเหมือนว่าเขาจะยังมีชีวิตอยู่
กงจี้เดินตามอยู่ข้างหลังเจียงป่าวชิง พวกองครักษ์ที่เดิมทีพักอยู่ในห้องด้านข้างต่างพากันลุกขึ้นทำความเคารพเขากันใหญ่
กงจี้โบกมือไปมา สายตาจับจ้องเจียงป่าวชิงที่นั่งยอง ๆ ข้างกานซุ่ยและจับชีพจรให้เขาอย่างตั้งใจ นางจับชีพจรและถามอาการเขาไปด้วย “กานซุ่ยใช่ไหม ?”
ทว่ากานซุ่ยกลับเหลือบมองกงจี้ จนเห็นว่ากงจี้พยักหน้าถึงตอบกลับไป “ใช่”
เจียงป่าวชิงขมวดคิ้วถาม “ตอนนี้เจ้ารู้สึกไม่สบายตรงไหนบ้าง ?”
กานซุ่ยสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ สีหน้าเขาขาวซีดทว่าก็พยายามพูดออกมาด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “แขนขาของข้าขยับไม่ได้”
เจียงป่าวชิงจึงลองขยับแขนกับขาของเขา แต่พละกำลังของเด็กผู้หญิงอย่างนางมีจำกัด นางจึงมองไปรอบ ๆ และเอ่ยสั่งกงจี้ “เจ้าหาคนมาช่วยข้าขยับแขนกับขาของเขาหน่อยสิ”
เหล่าคนที่อยู่ด้านข้างเงียบสนิท
คนที่รู้จักเจียงป่าวชิงนั้นดีหน่อย แต่คนที่ไม่เคยติดต่อกับนางมาก่อนต่างก็คิดในใจว่าหญิงกล้าหาญผู้นี้เป็นใคร เหตุใดถึงได้กล้าหาญขนาดนี้ แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาตกตะลึงยิ่งกว่าคือนายท่านที่ชอบอารมณ์ไม่ดีอยู่ตลอดของพวกเขากลับขมวดคิ้วและชี้สั่งให้คนไปช่วยนางขยับแขนกับขาของกานซุ่ยจริง ๆ
กานซุ่ยเองก็มีสีหน้างุนงงเช่นกัน
……
หลังจากที่ขยับแขนขาของกานซุ่ยแล้ว เจียงป่าวชิงก็ให้เขาแลบลิ้นออกมาเพื่อที่นางจะได้ตรวจดูฝ้าบนลิ้นของเขา ตรวจดูสักพักก็ถามถึงความผิดปกติในช่วงนี้ ถามเสร็จพยักหน้าแล้วพูดกับกงจี้ด้วยคำพูดที่น่าตกใจว่า “เอาล่ะ ตอนนี้เจ้าหาคนมาช่วยถอดเสื้อผ้าให้กานซุ่ยหน่อย”
ทันใดนั้นภายในห้องเงียบสนิท ได้ยินเพียงเสียงฝนข้างนอกเท่านั้น
กงจี้ทนไม่ไหว เรียกชื่อนางออกมาราวกับกล่าวเตือน “เจียงป่าวชิง!”
เจียงป่าวชิงลุกขึ้นมองกงจี้อย่างจนปัญญา “นี่คุณชายกง ข้ารู้ว่าเจ้าไม่ชอบแตะตัวคนอื่นจึงใช้ให้เจ้าช่วยหาคนให้ แล้วที่เรียกนี่มีอะไรรึ ?”
ใบหน้าหล่อเหลาคมคายของกงจี้เต็มไปด้วยกระแสสังหารเสียแล้วในขณะนี้ เขาเอ่ยเสียงเย็นเยียบ “อยู่ดี ๆ ทำไมต้องถอดเสื้อผ้ากานซุ่ย ?!”
แต่เจียงป่าวชิงเย็นชากว่าเขา “เหอะ! ข้าก็จะรักษาโรคให้เขาสิ ถ้ามาตรวจตราอาการแล้วไม่ลงมือรักษาข้าจะมาทำไมล่ะ หรือว่าคุณชายกงคิดว่าข้าอยากเห็นคนโป๊เปลือย ?”
‘แม่นางคนนี้… นางช่างเหมือนภรรยานายท่านของพวกเขายิ่งนัก!’ ทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนั้นคิดในใจเหมือน ๆ กัน
กงจี้สูดหายใจเข้าลึก ๆ สงบสติอารมณ์ของตัวเอง ก่อนจะชี้สั่งคนให้ไปช่วยถอดเสื้อผ้ากานซุ่ยด้วยสีหน้าอึมครึม
กานซุ่ย ผู้ป่วยที่ขมขื่นรู้สึกว่าสายตาของนายท่านเขาดูเหมือนจะประหารเขาอยู่รอมร่อแล้ว
“ต้องถอดด้วยหรือ…?” กานซุ่ยที่เดิมทีเวลานี้ดูอ่อนแออยู่แล้วแลดูอ่อนแอมากกว่าเดิม
เจียงป่าวชิงถอดกำไลข้อมือมาแผ่ขยายออกบนโต๊ะด้านข้างและขอเทียนไขกับเหล้าขาวจากใครสักคนเพื่อนำมาฆ่าเชื้อให้กับเข็มเงินนั้น นางได้ยินที่กานซุ่ยถามก็ตอบกลับไปโดยไม่หันหน้าไปมอง “เจ้ารู้หรือเปล่าว่าเจ้าป่วยเป็นโรคอะไร ?”
กานซุ่ยงุนงง เขารู้แค่ว่าเมื่อวานนี้เขาเหนื่อยล้าผิดปกติ ตื่นขึ้นมายามรุ่งเช้ารู้สึกตัวร้อนรุม ๆ แต่คนที่เป็นศิลปะการต่อสู้อย่างพวกเขาค่อนข้างหยาบกระด้างและแข็งแรงมาโดยตลอด เขาจึงไม่เก็บเรื่องนี้มาใส่ใจ
เมื่อสักครู่ฝนตกหนักกะทันหันทว่าทั้งกองทัพต่างก็เร่งเดินทัพ แต่หลังจากที่มาถึงบ้านนี้ จู่ ๆ เขาก็ล้มลงไป แรกเริ่มคิดว่าตัวเองเป็นไข้จึงไม่ได้สนใจอะไรและสั่งให้คนมาช่วยพยุงไปพักสักหน่อย แต่เมื่อยิ่งนอนแขนขาที่อ่อนแรงของเขาก็ยิ่งขยับไม่ได้ ทำได้เพียงแค่ฝากให้สหายไปรายงานนายท่าน
“ข้าตัวร้อนใช่ไหม ?” กานซุ่ยตอบกลับด้วยคำถาม
เจียงป่าวชิงหันกลับไปส่งยิ้มอ่อนโยนให้กานซุ่ย “โรคนี้เรียกว่าโรคประสาทอักเสบเฉียบพลัน”
“?” การซุ่ยมีสีหน้างุนงงทันที โรคประสาทอักเสบอะไร เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย
“อ้อ” เจีบงป่าวชิงเพิ่งนึกได้ว่ายุคนี้คงรียกชื่อโรคไม่เหมือนยุคที่ ‘เธอ’ จากมา “มันก็คือโรคร่างกายอ่อนแรง หมายความว่าร่างกายเจ้าจะอ่อนปวกเปียก อาการของมันคือร่างกายเจ้าจะไม่สามารถขจัดความชื้นกับความร้อนได้ เส้นเอ็นใหญ่จะสั้นและอ่อน ส่วนเส้นเอ็นเล็กจะยาว แต่ถ้าสั้นมากมันย่อมถูกจำกัด ถ้ายาวย่อมรู้สึกอ่อนแรง” เจียงป่าวชิงอธิบาย “โรคนี้เป็นกันง่ายในช่วงปลายฤดูใบไม้ร่วงและต้นฤดูหนาว แขนขาของคนที่เป็นโรคนี้จะเป็นอัมพาตทำให้หายใจลำบาก… หากรักษาอย่างดีได้ทันเวลาก็สามารถกลับมาแข็งแรงได้ และจะไม่มีโรคใด ๆ ตกค้าง แต่ถ้าหากว่ายืดเวลาออกไปนาน เกรงว่าแขนขาของเจ้าจะไม่สามารถใช้งานได้อีกแล้ว”
เจียงป่าวชิงหยุดชะงักเล็กน้อยก่อนจะพูดเสริมทีหลัง “ถอดเสื้อผ้าของเจ้าซะ จะได้รักษาโรคร่างกายอ่อนแรงได้ทันเวลา ตอนนี้เจ้ามีคำถามอะไรอีกไหม ?”
“ไม่มีแล้ว…” กานซุ่ยยังจะกล้ามีคำถามที่ไหนได้อีก…
เจียงป่าวชิงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
ในตอนนี้เอง คนที่กงจี้เรียกใช้ถอดเสื้อผ้าของกานซุ่ยออกได้ประมาณหนึ่งแล้ว เหลือก็แต่กางเกงชั้นในตัวเดียวเท่านั้น กงจี้เห็นแล้วรู้สึกขัดตา ทว่านี่มันเกี่ยวกับสุขภาพขององครักษ์ที่อยู่ภายใต้การดูแลของเขา เขาไม่สามารถห้ามอะไรได้ ทำได้เพียงขมวดคิ้วเอ่ยสั่งคนที่อยู่ด้านข้าง “เอาเสื้อผ้ามาคลุมให้เขาสักหน่อย”
.
.
.
=======
ปล. ขั้นตอนการรักษาที่เขียนในนิยายขอให้ทุกคนอ่านให้สนุกก็พอ ☺ อย่าได้คิดเป็นเรื่องจริงอย่างเด็ดขาด ถ้ารู้สึกไม่สบายตัวหรืออะไรต้องไปตรวจที่โรงพยาบาลที่ได้มาตรฐานเท่านั้น!