แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 34 ไม่ได้ใช้ทองแดงเจ้าจ่ายเสียหน่อย
ตอนที่ 34 ไม่ได้ใช้ทองแดงเจ้าจ่ายเสียหน่อย
เจียงหยุนชานถูจมูกเล็กน้อย เขาพยายามอดกลั้นความขมขื่นที่อยู่ในน้ำเสียงเอาไว้ “ป่าวชิง ข้าไม่ต้องการเสื้อผ้าใหม่ เจ้าเป็นผู้หญิง เจ้านั่นแหละที่ควรแต่งตัวให้สวย ๆ ก่อน”
เจียงป่าวชิงมองเจียงหยุนชานอย่างไม่พอใจ “พี่พูดอะไรน่ะ ข้านั้นรู้หลักการที่คนเราต้องพึ่งพาการแต่งตัว ข้าไปในอำเภอ คนพวกนั้นมองข้าเป็นขอทานและดูถูกข้า แต่พี่เรียนหนังสืออยู่ข้างนอก แน่นอนว่าจะต้องตกอยู่ในสถานการณ์ที่ยากลำบากกว่าข้า อีกอย่าง หากข้าแต่งตัวสีสันสดใสอยู่ในบ้าน ประเดี๋ยวมันก็จะไปสะดุดตาคนอื่นอีกมิใช่หรือ ?”
เจียงหยุนชานใกล้จะหลั่งน้ำตาออกมาอยู่รอมร่อ
เมื่อเจียงป่าวชิงเห็นท่าทางของพี่ชาย นางก็รู้สึกคันยุบยิบในใจ
…
ตอนอยู่ในยุคปัจจุบัน เธอเป็นพี่สาวที่ดูแลน้องสาวมาโดยตลอด และไม่เคยลองมีความรู้สึกถึงการมีพี่ชายเลย
ถึงตอนนี้ เธอก็ยังไม่ลืมว่าตอนที่เธอเพิ่งตื่นขึ้นมาในยุคสมัยนี้ ท่าทางที่เจียงหยุนชานใส่รองเท้าฟาง ผลักฝูงชน และวิ่งมาหาเธอด้วยดวงตาที่แดงก่ำนั้น ยังคงตราตรึงอยู่ในภาพความทรงจำของเธอเสมอมา
…
เจียงป่าวชิงถูจมูกและอดกลั้นความขมขื่นเอาไว้ “พี่ ให้ข้าวัดสัดส่วนพี่หน่อยสิ ใส่แล้วจะได้สมตัวขึ้นมาหน่อยเป็นไง”
ทว่าเจียงหยุนชานยังคงบ่ายเบี่ยง เจียงป่าวชิงจึงแสร้งทำเป็นโกรธโดยทำสีหน้าเคร่งขรึมใส่เขา “พี่ดูถูกฝีมือข้าขนาดนั้นเลยหรือ ? อีกอย่าง เราเป็นพี่น้องกัน ทำไมต้องแบ่งว่าใครมาก่อนมาหลังด้วย เศษผ้าก็ยังมีอีกมาก ข้าทำให้พี่เสร็จแล้วค่อยทำให้ตัวข้าเองยังได้”
เมื่อเจียงหยุนชานเห็นน้องสาวโกรธเคือง เขาก็กระวนกระวายจนทำอะไรไม่ถูก ทำได้เพียงรีบพยักหน้ารับและโอ๋นาง “ใช่ ๆ ๆ ป่าวชิงอย่าโกรธพี่เลย ขอเพียงแค่เจ้าเข้าใจพี่ก็พอแล้ว”
ได้ฟังดังนั้น ใบหน้าของเจียงป่าวชิงถึงจะเผยรอยยิ้มออกมาให้เห็น
…
ตอนเที่ยง โจซื่อเอาผัดผักกาดครึ่งถ้วยมาให้ด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม และบอกว่าเอามาบำรุงร่างกายให้เจียงหยุนชานทำนองนั้น แต่ดูจากท่าทางของนาง เหมือนในมือจะไม่ใช่ผักกาดอะไร แต่เหมือนสิ่งของยอดเยี่ยมที่ไม่สามารถมีอะไรมาเทียบได้เสียมากกว่า
นางทำสีหน้าเป็นห่วงเล็กน้อย “หยุนชาน ได้ยินมาว่าพวกเจ้าใกล้จะสอบในท้องถิ่นแล้วรึ ?”
เจียงหยุนชานพยักหน้า “ใช่ขอรับ ยังเหลืออีกสามวัน”
ใบหน้าของโจซื่อเผยความดีใจที่ค่อนข้างเกินจริงไปสักหน่อยออกมาให้เห็น “โอ้! ใกล้แล้ว ๆ หยุนชาน เจ้าเตรียมตัวไปถึงไหนแล้วเล่า ? อีกสามวันก็คือวันมะรืนน่ะสิ แล้วที่กลับบ้านมาวันนี้จะมีผลกระทบอะไรไหม ?”
โดยปกติหยุนชานจะเป็นเด็กที่ค่อนข้างเหนียมอาย ยิ่งเรื่องของเจียงป่าวชิงก่อนหน้านี้แล้ว ตอนนั้นพวกเขายังมีปากเสียงกันและต่างฝ่ายต่างไม่พอใจกันอยู่เลย มาวันนี้โจซื่อกลับมีน้ำใจไม่ตรีถึงขนาดนี้ ทำให้เจียงหยุนชานรู้สึกงงงวยเล็กน้อย ผ่านไปสักครู่ เขาถึงจะเค้นเสียงพูดออกมาไม่กี่คำว่า “ข้าขอขอบคุณท่านอาที่เป็นห่วง”
โจซื่อเห็นเจียงหยุนชานรับน้ำใจของตัวเอง สีหน้าของนางก็ดีขึ้นไม่น้อย นางจับมือเจียงหยุนชานด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้ม “เจ้าเห็นอาของเจ้าเป็นคนนอกไปได้ ได้ยินมาว่าคนที่เรียนหนังสืออย่างพวกเจ้านั้นยอดเยี่ยมมาก ต่อไปจะได้รับข้าวและปลาทุกวัน อีกทั้งยังสามารถลดหย่อนภาษีได้ด้วย นี่คือเรื่องจริงหรือเปล่าหยุนชาน ?”
เจียงป่าวชิงที่อยู่ด้านข้างเห็นสายตาที่โจซื่อใช้มองเจียงหยุนชานแทบจะเปล่งแสงสีเขียวออกมาอยู่แล้ว
สายตาของโจซื่อดูกระตือรือร้นเกินไป นั่นทำให้เจียงหยุนชานไม่สามารถต้านทานได้ เขาจำเป็นต้องพูดขึ้น “เป็นเรื่องจริงขอรับ แต่ต้องผ่านการสอบในท้องที่ทั้งสามระดับและได้เป็นซิ่วฉายเสียก่อน หลังจากนั้นถึงจะ…”
โจซื่อรู้สึกผิดหวังเล็กน้อย ยังต้องผ่านการสอบตั้งมากมายก่อนอีกหรือ ? ดูเหมือนว่านางจะไม่ได้รับประโยชน์ใด ๆ จากเจียงหยุนชานเสียแล้วสิ แต่ทว่าเมื่อนึกถึงของที่จะได้รับในภายภาคหน้า โดยเฉพาะการลดหย่อนภาษี นางก็รู้สึกว่าผลประโยชน์ที่อาจจะได้มันแสนหอมหวาน ในบ้านมีที่ดินตั้งยี่สิบไร่ ถ้าหากสามารถลดหย่อนภาษีได้ ก็เท่ากับว่าจะได้รับอาหารจำนวนมากโดยที่ไม่ต้องจ่ายเงินซื้อมา
ในตาของโจซื่อเป็นประกายทันที นางตบไหล่เจียงหยุนชาน “หยุนชาน ถ้าอย่างนั้นเจ้าต้องตั้งใจสอบเข้าล่ะ อาได้ยินมาว่าในหมู่บ้านแถวนี้ยังไม่เคยมีใครสอบได้ตำแหน่งซิ่วฉายมาก่อนเลยนะ เกียรติยศของตระกูลเจียงขึ้นอยู่กับเจ้าแล้ว เจ้าต้องตั้งใจสอบรู้ไหม ?”
เจียงหยุนชานพยักหน้า “ข้าจะตั้งใจสอบขอรับท่านอา”
โจซื่อพยักหน้าอย่างพึงพอใจ จากนั้นนางก็หันไปมองเจียงป่าวชิง ในนัยน์ตาของนางมีความรังเกียจอย่างเห็นได้ชัด สีหน้าของนางก็ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่นัก
“ป่าวชิง ต่อไปเจ้าก็ลดนิสัยที่คอยจับผิดว่าคนอื่นไปซื้ออะไรมาบ้างลงหน่อย อีกอย่าง ไม่ได้ใช้ทองแดงเจ้าจ่ายเสียหน่อย โตขนาดนี้แล้วก็ต้องให้มันรู้เรื่องสิ อย่าเที่ยวพูดพล่ามไร้สาระไปวัน ๆ เหมือนคนปากเสีย จะได้ไม่มีใครมาหัวเราะเยาะเจ้าได้”
แน่นอนว่าเจียงป่าวชิงรู้ดีว่าเรื่องที่โจซื่อพูดถึงคือเรื่องที่นางบอกกับหลีโผจื่อว่าเจียงเอ้อยาใช้เงินสี่สิบสลึงเพื่อซื้อเครื่องสำอางกล่องเดียว
เจียงป่าวชิงยิ้มแฉ่ง “ท่านอาพูดถูกเจ้าค่ะ”
หมัดของโจซื่อราวกับต่อยลงไปบนปุยฝ้ายอย่างไรอย่างนั้น ท่าทางของเจียงป่าวชิงที่ทำเป็นไม่สนใจคำพูดที่นางหมายถึงโดยสิ้นเชิง ทำให้สีหน้าของโจซื่อยิ่งแย่ลง แต่ติดตรงเจียงหยุนชานอยู่ที่นี่ นางจึงยังไม่สามารถโมโหใส่เจียงป่าวชิงได้โดยตรง
อันที่จริง โจซื่อทั้งรู้สึกปวดใจทั้งโมโหที่เจียงเอ้อยาซ่อนเงินส่วนตัวมากมายเพื่อนำเงินไปซื้อเครื่องสำอางที่แพงหูฉี่กล่องนั้น นางอยากแขวนเจียงเอ้อยาและสั่งสอนเจียงเอ้อยาสักครั้งสองครั้งให้รู้ผิดรู้ชอบ แต่เจียงป่าวชิงกลับบอกเรื่องนี้กับหลีโผจื่อเสียก่อน จนทำให้หลีโผจื่อบุกเข้ามาในห้องของเจียงเอ้อยา และหลังจากที่หลีโผจื่อก่นด่าเจียงเอ้อยาแล้ว หลีโผจื่อก็เอาเครื่องสำอางกล่องนั้นไป เห็นบอกว่าจะเอาไปแลกเป็นเงิน
ซึ่งนี่ก็ไม่ต่างจากการที่หลีโผจื่อเอาเงินสี่สิบสลึงไปจากในมือของโจซื่อ
เพียงแค่นึกถึงเรื่องนี้ โจซื่อก็ปวดใจจนแทบจะหยุดหายใจอยู่รอมร่อ ดังนั้น โจซื่อจึงคิดบัญชีนี้กับเจียงป่าวชิงและยิ่งทำให้นางรู้สึกไม่ถูกชะตากับเจียงป่าวชิงขึ้นไปอีก
โจซื่ออยากถลกใบหน้าที่ยิ้มแย้มของเจียงป่าวชิงเสียเดี๋ยวนั้น นางสูดหายใจเข้าลึก ๆ และกำลังจะหมุนตัวเดินออกไป แต่นางกลับมองเห็นเศษผ้าที่วางกระจัดกระจายอยู่บนเตียงอิฐเสียก่อน
เรื่องที่เจียงป่าวชิงใช้เงินไม่กี่สลึงเพื่อซื้อเศษผ้าจำนวนมากมายกลับมา นางก็พอจะได้ยินมาบ้างแล้ว แต่เนื่องจากเจียงหยุนชานมักจะเรียนและทำงานอยู่ข้างนอกไปด้วย เขาจึงมีทองแดงติดมืออยู่เสมอ ทำให้โจซื่อไม่สงสัยว่าทำไมเจียงป่าวชิงถึงได้มีเงินติดตัว ไม่ว่าอย่างไร เป็นธรรมดาที่พี่ชายจะต้องแบ่งเงินน้องสาว
“กว่าพี่ชายเจ้าจะหาเงินมาได้ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย อีกทั้งยังต้องเรียนหนังสือด้วย ดูเจ้าสิ ไม่คิดจะสงสารพี่ชายเจ้าบ้างรึ ? เอาแต่ทำลายชื่อเสียงของตระกูลอยู่ได้ แล้วก็ยังใช้เงินไม่กี่สลึงเพื่อซื้อเศษผ้าเน่า ๆ นี่กลับมาอีก” โจซื่อได้ทีเอาใหญ่ นางหยิบเรื่องเศษผ้าพวกนั้นมาสั่งสอนเจียงป่าวชิง ทั้งยังทำท่าทางน่าสงสารต่อหน้าเจียงหยุนชานอีกต่างหาก “เจ้าไม่สงสารพี่ชายเจ้า แต่ข้าสงสาร…”
เจียงป่าวชิงหัวเราะอย่างเย็นชาในใจ ถ้าหากสงสารมากก็ให้ทองแดงพี่ชายข้าสิ เพื่อที่เขาจะได้ปรับปรุงชีวิตความเป็นอยู่ของตัวเองให้ดีขึ้น เหอะ ๆ อาที่ไม่ได้สนใจหลานอย่างท่านก็เก่งแต่พูดเท่านั้นแหละ
เจียงป่าวชิงไม่เกรงใจโจซื่ออีกต่อไป นางพูดขึ้นอย่างนุ่มนวล “ท่านอาเจ้าคะ เหมือนเมื่อสักครู่ท่านอาเพิ่งบอกข้าเองไม่ใช่หรือเจ้าคะว่าลดนิสัยที่คอยจับผิดว่าคนอื่นไปซื้ออะไรมาบ้างลง เพราะไม่ได้ใช้ทองแดงของตัวเองจ่ายเสียหน่อย”
โจซื่อหน้าเขียวทันที นางไม่คิดว่าเจ้าเด็กบ้าคนนี้จะเอาคำพูดเมื่อสักครู่ของนางมายอกย้อนเพื่อหยุดนางแบบนี้
โกรธ! โกรธเหลือเกิน!
ใบหน้าของโจซื่อเคร่งขรึมลง “ได้ ถือว่าอาเป็นห่วงโดยเปล่าประโยชน์ก็แล้วกัน ที่อาพูดเรื่องพวกนี้ไม่ใช่เพราะหวังดีกับพวกเจ้าสองพี่น้องหรอกรึ ?”
เจียงป่าวชิงยังคงพูดอย่างนุ่มนวล “ถ้าอย่างนั้น ข้าก็ขอบคุณท่านอาด้วยนะเจ้าคะที่เป็นห่วง”
โจซื่อยิ่งอยากถลกใบหน้าของเจียงป่าวชิงมากขึ้นไปอีก นางตีหน้าขรึมเดินออกไปอย่างรวดเร็ว ราวกับมีลมอยู่ใต้เท้าอย่างไรอย่างนั้น
เจียงป่าวชิงเห็นเจียงหยุนชานนั่งอยู่บนเตียงอิฐเงียบ ๆ โดยไม่พูดอะไรจึงเดินเข้าไปหาเขา “พี่ชาย… พี่เป็นอะไรไปหรือ ? หรือพี่คิดว่าข้าไม่ควรแข็งกระด้างกับท่านอาเช่นนี้ ?”
เจียงหยุนชานส่ายหน้าอย่างหดหู่เล็กน้อย “เมื่อก่อนข้าคิดมาเสมอว่าถึงแม้พวกเขาจะร้ายกับเราไปสักหน่อย แต่พวกเขาก็เป็นห่วงเรา ถึงอย่างไรก็ครอบครัวเดียวกัน แต่หลังจากที่เกิดเรื่องนั้นขึ้น ข้าถึงพบว่ามันไม่ใช่อย่างนั้นเลย…”
เจียงป่าวชิงตีแขนเจียงหยุนชานราวกับปลอบใจ แต่ในคำพูดของนางกลับเป็นการพูดออกมาตรง ๆ “พี่ มองให้ออกหน่อยสิ ตอนนี้ที่พวกเขายังเกรงใจพี่ ก็เพราะพี่ยังมีประโยชน์อยู่อย่างไรเล่า พี่ดูอย่างเมื่อสักครู่นี้สิ ในคำพูดของท่านอาแสดงให้เห็นอย่างโจ่งแจ้งมากว่านางกำลังเป็นห่วงพี่ แต่ถ้าหากนางเป็นห่วงพี่จริง ๆ ทำไมนางถึงทนเห็นพี่ใช้ชีวิตอย่างยากลำบากอยู่ข้างนอกได้ ? เรื่องแบบนี้ไม่ต้องดูที่คำพูด ควรดูที่การกระทำเสียมากกว่า”
เจียงหยุนชานเป็นเด็กที่เฉลียวฉลาดคนหนึ่ง แต่เขาเป็นเพียงเด็กที่สูญเสียที่พึ่งพิงมาตั้งแต่ยังเล็ก และโหยหาความสัมพันธ์ที่เรียกว่า ‘ครอบครัว’ จากผู้ใหญ่ก็เท่านั้น
หลังจากที่เรื่องของเจียงป่าวชิงเผยแพร่ออกไป เขาก็รู้ว่าเขาไม่สามารถหลอกตัวเองและคนอื่น ๆ ได้อีกต่อไปแล้ว
เจียงหยุนชานถอนหายใจออกมายาว ๆ เพื่อให้ตัวเองมีชีวิตชีวาขึ้น “ใช่ ที่เจ้าพูดนั้นถูกต้องแล้ว…”