แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 344 เจ้าใจอ่อนเสียมากกว่า
“ช่างน่าสงสารอะไรขนาดนี้” เจียงป่าวชิงพูดขึ้น “แบบนี้ในหนึ่งเดือนเจ้าก็ทำเงินได้ไม่เท่าไหร่เอง แล้วจะซื้อยาให้พ่อเจ้าได้ยังไง ?”
เด็กสาวเช็ดน้ำตา พูดไปสะอื้นไป “คุณชายพูดถูก เป็นเพราะข้านั้นไร้ประโยชน์…”
เจียงป่าวชิงส่ายหน้า “ไม่หรอก ที่ข้าบอกเจ้าว่าพวกข้าสองคนไม่ใช่คนที่ยอมถูกเอาเปรียบได้ง่ายเพราะข้าไม่อยากให้เจ้าใช้ความน่าสงสารมาเป็นตัวทำรายได้ สุดท้ายอาจเกิดภัยกับคนที่จะใช้ตรงนี้เอาเปรียบเจ้า เจ้าฟังข้า ระหว่างทางมานี้ข้าเห็นมีประกาศบอกว่าคณะวงเพลงของครอบครัวใหญ่ขาดผู้เล่นไปสองสามคนและกำลังเปิดรับสมัครคนอยู่ เงินต่อหนึ่งเดือนที่จะได้นั้นถือว่าค่อนข้างมาก เจ้าอาจทำเงินได้มากกว่าตอนนี้ ในเมื่อเจ้าขาดเงิน แล้วทำไมเจ้าถึงไม่ไปทำงานที่นั่น ?”
เด็กสาวตกตะลึง นางไม่คิดว่าเจียงป่าวชิงจะถามเช่นนี้ น้ำตาของนางยังติดอยู่ที่ขนตาและนางพูดติดอ่างเล็กน้อย “ก็… ก็เพราะถ้าข้าไปทำงานที่คณะวงเพลงแล้ว ข้าจะไม่เป็นอิสระ…”
“อ้อ เจ้าให้ความสำคัญเกี่ยวกับอิสรภาพของตัวเองมากกว่าชีวิตพ่อที่ป่วยหนักอย่างนั้นรึ ?” เจียงป่าวชิงถามกลับด้วยน้ำเสียงนุ่มนวล
เด็กสาวกระชับอ้อมแขนที่กอดพิณจีนแน่นขึ้นเล็กน้อย นางกัดริมฝีปากล่างร้องไห้หนักมาก “คุณชาย หากว่าท่านไม่เต็มใจฟังข้าร้องเพลงก็ไม่เป็นไร ทำไมต้องทำให้ข้าอับอายขายหน้าด้วย”
เจียงป่าวชิงยิ้ม “ข้าก็บอกไปแล้วว่าข้าใจแข็งเหมือนเหล็ก แม่นางอย่ามาเสียเวลากับพวกข้าอีกเลย ไปโต๊ะอื่นเถอะ”
เด็กสาวมองกงจี้อย่างไม่ยอมแพ้ พยายามทำท่าทีให้ดูน่าสงสารและพูดขึ้น “คุณชาย…”
กงจี้ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดมากกว่าเดิม เขามองเด็กสาวคนนั้นอย่างเย็นชา
เด็กสาวตัวสั่นทันที นางแฝงกายอยู่ในร้านอาหารมานานแล้วและเคยเห็นผู้คนมามากมาย นางรู้ว่าคนแบบไหนที่ตนเองสามารถทำเงินได้และแบบไหนที่ไม่สามารถทำเงินได้หรือยุแหย่ไม่ได้
เด็กสาวกอดพิณจีนเช็ดน้ำตา ก่อนจะเดินโซเซรีบออกไปจากร้านอาหาร
ทันใดนั้น ชายคนเมื่อครู่ที่ให้ทองแดงกับหญิงสาวตบโต๊ะ พูดขึ้นด้วยความมึนเมาว่า “พวกเจ้าแต่ละคนดูทะนงเย่อหยิ่ง ทำไมถึงได้ขี้เหนียวนัก!”
เจียงป่าวชิงมองชายคนนั้นอย่างไม่พอใจ
ต่อว่านางน่ะได้ แต่จะมาต่อว่ากงจี้ไม่ได้ เขาขี้เหนียวตรงไหน จ่ายเงินให้นางตั้งมากมายโดยที่เขาไม่กะพริบตาด้วยซ้ำ
กงจี้เองก็ไม่พอใจเช่นกัน เขาไม่สนใจว่าคนอื่นจะพูดถึงเขาอย่างไร แต่ถ้าหากพูดถึงเจียงป่าวชิงในทางไม่ดี เขาย่อมรู้สึกไม่สบายใจเมื่อได้ฟัง
“คิดว่าคนอื่นไม่มีสมองจริง ๆ อย่างนั้นรึ แต่งเรื่องกับเสียน้ำตาไม่กี่หยดก็เป็นคนน่าสงสารได้แล้วงั้นสิ” น้ำเสียงของกงจี้เยือกเย็น เขาพูดต่อนิ่ง ๆ “ตัวเองถูกหลอกเอาเงินแล้วยังไม่รู้อะไรอีก ช่างโง่เขลาไปถึงบ้านเจ้าจริง ๆ”
ปัง!
ชายคนนั้นตบโต๊ะเสียงดัง “ว่าไงนะ!”
เจียงป่าวชิงมองกงจี้อย่างปลื้มอกปลื้มใจ ดูเหมือนว่าเขาไม่ใช่พวกถูกหลอกด้วยมารยาเด็กผู้หญิงที่หลั่งน้ำตาเพียงไม่กี่หยดจนแยกอะไรไม่ออก และเขายังเห็นถึงความผิดปกติด้วย
กงจี้แค่นหัวเราะโดยไม่เงยหน้าขึ้นมามองด้วยซ้ำ เขาคร้านจะอธิบายกับชายโง่เขลาคนนี้
สำหรับคนอื่น อยากโง่ก็ปล่อยให้โง่ไปสิ เกี่ยวอะไรกับเขาด้วยล่ะ เขาไม่มีอารมณ์เทศนาธรรมหรือสอนคนอื่นให้รู้จักสังเกตหรอกนะ
เจียงป่าวชิงเห็นว่าชายผู้ถูกกงจี้กวนโมโหใกล้จะเดินเข้ามาทะเลาะกันถึงโต๊ะแล้วจึงถอนหายใจก่อนจะเอ่ยขึ้น “เด็กสาวคนนั้นเล่าว่าครอบครัวของตัวเองยากจนและมีพ่อป่วยไม่มียากิน แต่เจ้าดูมือนางสิ เรียบเนียนเหมือนหยกซะขนาดนั้น คนมือสวยเรียบเนียนเช่นนั้นแน่นอนว่าต้องใช้เวลาและเม็ดเงินจำนวนมากในการบำรุงรักษา มันขัดแย้งกันเห็น ๆ”
ชายคนนั้นพลันชะงัก ลองนึกดูดี ๆ ก็พบว่าเหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริง ๆ
แต่เขาต้องอับอายขายหน้าถ้าหากยอมรับว่าตัวเองถูกหลอกต่อหน้าคนมากมายจึงยืนกราน “ทำไม บำรุงรักษามือแล้วยังไง ?”
โง่เง่าสิ้นดี!
เจียงป่าวชิงส่ายหน้าอย่างเอือม ๆ “เมื่อกี้นี้ข้าหลอกนางว่าคณะวงเพลงรับสมัครคนอยู่ ถ้าหากว่านางจำเป็นต้องใช้เงินอย่างเร่งด่วนจริง ๆ ทำไมนางไม่ถามแม้แต่เงื่อนไขเกี่ยวกับค่าตอบแทน แต่กลับปฏิเสธด้วยเหตุผลที่ว่า ‘จะขาดอิสระ’ อะไรทำนองนั้น นี่แสดงว่านางไม่เคยคิดหาช่องทางอื่นทำเงินเลยและไม่ได้จำเป็นต้องใช้เงินเร่งด่วนแต่อย่างใด”
หลังจากที่เด็กสาวขึ้นมาชั้นสองในตอนนั้น นางมองไปรอบ ๆ บริเวณและเดินมายังโต๊ะที่อยู่ห่างไกลของพวกเขา คงเป็นเพราะเห็นว่าพวกเขามีกันเพียงสองคนแต่บนโต๊ะกลับมีอาหารมากมาย ดูก็รู้แล้วว่าพวกเขาเป็นคนมั่งมีเงินทอง
หากเปรียบเทียบก็จะพบว่า…พฤติกรรมการฆ่าเป้าหมายโดยกำหนดทิศทางชัดเจนเช่นนี้ เจียงป่าวชิงรู้สึกต่อต้านโดยสัญชาตญาณ
ชายคนนั้นได้ยินเจียงป่าวชิงพูดมาขนาดนี้ก็ตกตะลึง เขาเองได้ยินบทสนทนาเมื่อสักครู่แล้วเช่นกันแต่ไม่คิดเลยว่าชายหนุ่มรูปงามหล่อเหลาคนนี้จะกำลังปลอกเปลือกภายนอกของเด็กสาวผู้น่าสงสารคนนั้น
นี่มันช่าง…
เจียงป่าวชิงสรุปเป็นครั้งสุดท้าย “ข้าเคยได้ยินคนเขาพูดกันว่ามีคนบางพวกจงใจเลี้ยงเด็กผู้หญิงที่ดูน่าสงสารตั้งแต่เล็ก สอนพวกนางร้องเพลงไม่ก็สอนเต้นรำ เมื่อพวกนางเติบโตขึ้นพวกเขาก็จะปล่อยพวกนางออกมาหาเงินด้วยวิธีประมาณนี้ แน่นอนว่าทองแดงไม่เท่าไหร่ที่ได้จากการดีดพิณร้องเพลงนั้นไม่ใช่จุดประสงค์ของพวกนาง แต่คนที่สามารถซื้อนางได้ในราคาสูงด้วยความเห็นอกเห็นใจต่างหากที่เป็นเป้าหมายสูงสุด”
ชายคนนั้นโมโหจนทั้งหน้าแดงก่ำ เดิมทีเขาคิดว่านางเป็นเด็กผู้หญิงน่าสงสารครอบครัวยากจน ไม่คิดเลยว่าจะเป็นนักต้มตุ๋นมืออาชีพ ช่างน่าโมโหจริง ๆ!
“ฮึ่ม! ข้าจะไปคิดบัญชีกับไอ้เด็กบ้านั่น!” ชายคนนั้นโมโหแทบบ้า รีบลงไปชั้นล่างทันที
เจียงป่าวชิงยิ้มสีหน้าราบเรียบ ในที่สุดก็เงียบสักที จะได้จัดการอาหารลงท้องอย่างตั้งใจแล้ว
เจียงป่าวชิงหยิบช้อนขึ้นมาอย่างพึงพอใจและค่อย ๆ ดื่มน้ำผึ้งเหมยเขียวรสหวานในถ้วยของตัวเองต่อไป
กงจี้ชำเลืองมองและพูดขึ้นอย่างกะทันหัน “เจ้ามักจะบอกว่าตัวเองใจแข็ง แต่ข้าคิดว่าเจ้าใจอ่อนเสียมากกว่า”
มือของเจียงป่าวชิงที่ถือช้อนหยุดชะงัก ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองกงจี้ “ทำไม ?”
กงจี้พูดเสียงเรียบ “ถ้าหากว่าเจ้าไม่ได้พูดขึ้นเมื่อครู่ ตอนที่ชายคนนั้นพุ่งเข้ามาข้าจะต่อยและโยนเขาออกไป”
เจียงป่าวชิงยิ้มพลางก้มหน้าใช้ไม้คนน้ำผึ้งเหมยเขียวของตัวเองและพูดขึ้นช้า ๆ “ถ้ามีเรื่องทะเลาะกันก็เท่ากับว่ารบกวนการกินอาหารของเราไม่ใช่รึ ถ้าหากว่าข้าใจอ่อนจริง ๆ ก็คงเตือนเขาก่อนที่เขาจะถูกหลอกแล้ว”
กงจี้เลิกคิ้วแต่ไม่ได้พูดอะไรอีก
เมื่อทั้งสองรับประทานอาหารเสร็จ เจียงป่าวชิงก็ไม่อยากเดินดูอะไรต่อจึงกลับไปที่โรงเตี๊ยมกับกงจี้
ทันทีที่เด็กน้อยเจียงฉิงเห็นเจียงป่าวชิงกลับมาโดยมุมปากยังมีรอยยิ้ม นางก็รู้แล้วว่าพี่สาวของนางมีความสุขในการออกไปข้างนอกครั้งนี้ นางก็มีความสุขด้วยเช่นกัน
เจียงป่าวชิงหยิบกล่องใส่ปิ่นปักผมรูปแมลงปอปลายดอกบัวออกมาจากในอ้อมแขนและส่งให้กับเจียงฉิง “ข้าซื้อนี่มาฝาก เจ้าลองดูสิว่าชอบหรือเปล่า”
เจียงฉิงรับไปด้วยความตื่นเต้น นางเปิดดูก็ส่งเสียงร้องชอบใจ “โอ้โหพี่สาว! มันสวยมากเลย น่ารักจริง ๆ จ้ะ! นี่พี่ให้ข้า… ให้ข้าจริง ๆ หรือจ๊ะ ?”
เจียงป่าวชิงพยักหน้ายิ้ม ๆ
เจียงฉิงดีใจมาก เด็กหญิงดึงปิ่นปักผมนั้นออกมานำไปเสียบบนศีรษะอย่างตั้งใจ ทว่าเนื่องจากตอนนี้เจียงฉิงเองก็แต่งกายแบบผู้ชาย ผมจึงถูกมัดไว้บนศีรษะ พอเสียบปิ่นปักผมหยกที่เห็นได้ชัดว่าเป็นของเด็กผู้หญิงมันจึงดูไม่เข้ากันสักเท่าไหร่ แต่เจียงฉิงกลับเอียงศีรษะซ้ายทีขวาทีชื่นชมปิ่นปักผมหยกบนศีรษะตัวเองจากมุมต่าง ๆ พร้อมทั้งถามเจียงป่าวชิง “พี่สาว ข้าปักปิ่นปักผมอันนี้แล้วสวยไหมจ๊ะ ?”
หลังจากได้รับคำตอบของเจียงป่าวชิงครั้งแล้วครั้งเล่า เจียงฉิงก็ยิ้มกว้าง
ในช่วงสามปีที่ผ่านมา พวกนางสองพี่น้องต่างพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน ตอนที่อยู่ตามลำพัง เจียงฉิงมักรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อยว่าหลังจากที่เข้าไปในเมืองหลวงแล้ว หากพี่ป่าวชิงกลับมาพบเจอพี่ชายแท้ ๆ คนนั้นแล้ว พี่ป่าวชิงจะยังสนใจนางอยู่อีกหรือเปล่า
ถึงตอนนั้นพี่ป่าวชิงยังจะเหมือนเดิมอยู่หรือไม่
ทว่าเมื่อเสียบปิ่นปักผมหยกอันเล็กนี้ เจียงฉิงก็แอบตัดสินใจในใจแล้วว่าแม้พี่ป่าวชิงจะไม่สนใจนาง แต่นางจะทำดีกับพี่ป่าวชิงตลอดไป
.