แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 346 การพบกันอีกครั้งของพี่กับน้อง
เจียงป่าวชิงมองกงจี้เงียบ ๆ
กงจี้เลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย “เจ้าอย่ามองข้าด้วยสายตาแบบนั้น ข้าชินแล้ว ไม่ใช่แค่ครั้งนี้ เมื่อสามปีที่แล้วและก่อนหน้านั้นพวกเขาส่งมือสังหารให้มาไล่ฆ่าข้าหลายครั้ง เพราะถึงยังไงจะตัดหญ้าก็ต้องกำจัดรากเสียก่อน ภายนอกดูเหมือนเป็นครอบครัวเมตตารักใคร่กลมเกลียวกัน แต่ความเป็นจริง หึ!” กงจี้แค่นหัวเราะก่อนจะพูดต่อ “แต่ละคนมีแผนการร้ายกันทั้งนั้น”
และปิดท้ายด้วยรอยยิ้มถากถาง
เจียงป่าวชิงวางถ้วยน้ำร้อนในมือลงแล้วเอนตัวลงบนไหล่ของเขาอย่างช้า ๆ “เจ้าไม่ต้องยิ้มถากถางแบบนี้หรอก ข้าเห็นแล้วรู้สึกปวดใจ เจ้ายังมีข้าและข้าจะอยู่ข้าง ๆ เจ้าตลอดไป”
ผ่านไปสักครู่ กงจี้วางมือลงบนไหล่อีกข้างของเจียงป่าวชิงและโอบกอดไว้อย่างแน่นหนา
เจียงป่าวชิงไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปตั้งแต่ตอนไหน เพื่อดูแลเหล่าคนที่ได้รับบาดเจ็บในวันนี้ นางทั้งยุ่งและเหนื่อยล้า ตอนที่ตื่นขึ้นมาตะวันก็โด่งอยู่กลางท้องนภาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ไม่มีใครปลุกนาง เจียงฉิงเองก็ยังนอนอยู่ข้างกายนางด้วยใบหน้าแดงก่ำ ไม่รู้ว่าเด็กหญิงกำลังฝันถึงอะไร ปากเล็กถึงได้ขมุบขมิบอย่างต่อเนื่องแบบนั้น
เจียงป่าวชิงขยี้ตาและลุกขึ้นนั่ง
ในกระโจมนอนที่เรียบง่ายนี้ เตาทำความร้อนไร้ควันยังคงทำงานอยู่ เมื่อดูปริมาณเชื้อเพลิงที่อยู่ในเตาแล้วคงเพิ่งเปลี่ยนได้ไม่นาน
เจียงป่าวชิงลุกขึ้นสวมเสื้อตัวนอก จะว่าไปแล้วชุดผู้ชายก็สะดวกกว่าชุดผู้หญิงจริง ๆ เพียงสวมใส่เสื้อคลุมยาวกับรัดสายรัดก็เป็นอันเสร็จเรียบร้อย นางกำลังจะออกไปข้างนอก แต่ม่านกระโจมกลับถูกใครคนหนึ่งเลิกออกเสียก่อน
กงจี้ก้มตัวเข้ามา พอเขาเห็นว่านางตื่นแล้วก็เลิกคิ้วขึ้นถาม “ตื่นแล้วรึ ?”
เจียงป่าวชิงมองดูแสงอาทิตย์ที่ส่องประกายอยู่ข้างนอกด้วยความเขินอายก่อนจะพูดเน้น “อันที่จริงข้าไม่ค่อยนอนตื่นสายนะ โปรดอย่าเข้าใจผิด”
“นอนตื่นสายแล้วทำไมล่ะ ?” กงจี้ถาม “เจ้านอนตามใจชอบก็ได้ ไม่เป็นไรหรอก”
เมื่อวานเจียงป่าวชิงแสดงความในใจแท้จริงของนางที่มีต่อกงจี้และตอบรับความรู้สึกของเขา เด็กสาววัยแรกแย้มอย่างนางเห็นคนในใจตอนนี้ก็รู้สึกเขินอายเล็กน้อย มือเล็กผลักเขาออกไปข้างนอก “เราไปคุยกันข้างนอกเถอะ อาฉิงยังนอนอยู่เลย”
เมื่อทั้งคู่ออกมา เจียงป่าวชิงก็พบว่าข้างนอกตะวันโด่งฟ้าแล้วจริง ๆ และวันนี้ยังเป็นวันที่มีแสงแดดส่องประกายซึ่งหาได้ยากยิ่งนัก มันเหมาะสำหรับการพักผ่อนมาก
เจียงป่าวชิงกับกงจี้ไปดูผู้ที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสด้วยกัน อาการบาดเจ็บยังคงที่แต่ไม่เหมาะกับการเคลื่อนไหวแบบฉับพลัน แม้รถม้าพวกเขาจะเคลื่อนตัวไปได้อย่างมั่นคง แต่ถ้าไม่ระวังก็อาจทำให้บาดแผลฉีกขาดได้ เมื่อถึงตอนนั้นคงแก้ไขอะไรได้ยาก
หลังจากการปรึกษาหารือ กงจี้สั่งให้คนกลุ่มเล็ก ๆ ดูแลคนเจ็บอยู่ที่นี่ รอให้อาการบาดเจ็บของพวกเขาคงที่ก่อนแล้วค่อยออกเดินทางกันอีกครั้ง
สถานที่ตั้งค่ายที่พวกเขาเลือกนั้นอยู่ต่ำ ไม่มีลมแต่มีลำธารอยู่ข้าง ๆ จะตักน้ำทำอะไรก็สะดวก ใช้ล้างหน้าบ้วนปากหรือทำอาหารก็ได้ หากต้องการตั้งค่ายพักแรมที่นี่นานก็ไม่มีปัญหา
กงจี้ต้องการเข้าเมืองหลวงก่อน อันที่จริงเขายืดเวลาอยู่ข้างนอกมาสักระยะแล้ว ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเขาสร้างชื่อเสียงไว้ที่ชายแดนมากมาย จักรพรรดิทรงประกาศซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่าให้เขามาเข้าเฝ้าที่เมืองหลวง ก่อนหน้านั้นเขาปฏิเสธไปโดยอ้างว่าสถานการณ์ปัจจุบันยังไม่เรียบร้อยดีและเขาไม่สามารถออกจากสนามรบได้ในตอนนั้น แต่ภายหลังคนต่างเผ่าที่ชายแดนถูกปราบปรามจนขวัญหนีดีฝ่อทำให้สถานการณ์ที่ชายแดนเกิดเสถียรภาพมากขึ้น เขาจึงยากที่จะหลบเลี่ยงต่อไปได้อีก
ดังนั้น กองทัพของกงจี้จึงแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มเล็ก ๆ คอยดูแลคนเจ็บอยู่ที่นี่ ส่วนคนที่เหลือเดินทางเข้าเมืองหลวงกับเขาและเจียงป่าวชิง
หลังจากที่เจียงป่าวชิงกับเจียงฉิงยุ่งอยู่กับการช่วยเหลือผู้บาดเจ็บจำนวนมาก เหล่านายทหารยศสูงก็รู้สึกเคารพเจียงป่าวชิงกับเจียงฉิงอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน พวกเขาสุภาพกับพวกนางตั้งแต่แรกแล้ว แต่ความสุภาพที่มากขึ้นอย่างเห็นได้ชัดนี้ส่วนใหญ่เกิดจากความสัมพันธ์ของพวกนางกับกงจี้
อย่างไรก็ตาม ความเคารพในตอนนี้กลับได้มาจากความสามารถของพวกนางล้วน ๆ
แม้เจียงฉิงจะยังเด็ก แต่นางก็ตระหนักได้ถึงความแตกต่าง นางร่าเริงขึ้นมากและบอกว่านับจากนี้เป็นต้นไปจะตั้งใจเรียนวิชาการรักษาโรคให้มากขึ้น
……
เมื่ออยู่ห่างจากเมืองหลวงอีกประมาณหนึ่งลี้กว่า ๆ กองทัพก็หยุดขบวนอีกครั้ง
เจียงป่าวชิงรู้สึกงุนงง เมื่อนางเลิกม่านออกไปดูก็เห็นว่ากงจี้ขี่ม้ามาหานางพร้อมส่งยิ้มบาง ๆ ให้เล็กน้อย “เจ้าดูสิว่าใครมาหา”
นางหรี่ตามองม้าตัวหนึ่งกำลังวิ่งมาทางนี้จนฝุ่นตลบอบอวล ชายหนุ่มหล่อเหลานั่งอยู่บนหลังม้าสีขาว จากนั้นอีกฝ่ายดึงบังเหียนม้าให้หยุดลงตรงหน้ารถม้าของเจียงป่าวชิงและพลิกตัวลงจากหลังม้า
เจียงป่าวชิงเดินออกมาจากในห้องบนรถม้าอย่างยากที่จะเชื่อ มองตาค้างดูอีกฝ่ายส่งเสียงเรียกด้วยน้ำเสียงสั่นคลอน “ป่าวชิง…”
เจียงป่าวชิงก็น้ำตาคลอเบ้าเช่นกัน “พี่!”
เด็กหนุ่มลงม้า รีบเดินเข้าไปกอดน้องสาวไว้แน่น
เขาคือเจียงหยุนชานนั่นเอง เจียงหยุนชานผู้เป็นพี่ชายพลัดพรากจากเจียงป่าวชิงเป็นเวลาถึงสามปีเพราะต่างคนต่างนึกว่าอีกฝ่ายเสียชีวิตไปแล้ว
สองพี่น้องคิดว่าจะพรากจากกันตลอดไปเสียแล้ว ใครจะไปคิดว่าพวกเขาจะมีช่วงเวลาที่ได้พบกันอีกครั้ง ไม่ต้องพูดถึงความตื่นเต้นดีใจในตอนนี้ของพวกเขาเลย
เด็กหนุ่มน้ำตาคลอเบ้า เจียงหยุนชานเช็ดน้ำตาพลางจับไหล่เจียงป่าวชิงด้วยมือทั้งสองข้างและสังเกตเจียงป่าวชิงพร้อมทั้งพูดรัวเร็วว่า “สามปีแล้ว… ป่าวชิง เจ้าตัวสูงขึ้นและสวยขึ้นเยอะเลยนะ”
เจียงป่าวชิงเองก็พูดขึ้นยิ้ม ๆ เช่นกัน “แหม พี่ก็สูงขึ้นมากในช่วงสามปีที่ผ่านมา เมื่อกี้นี้ข้าเกือบจำพี่ไม่ได้แล้วเชียว ยังคิดอยู่เลยว่าชายหนุ่มรูปงามคนนี้มาจากไหน ทำไมถึงได้หน้าตาหล่อเหลาดีจริง ๆ”
แน่นอนว่าเจียงป่าวชิงพูดคุยเฮฮา ทว่ากงจี้กลับรู้สึกหึงหวงในใจ เขาอดถลึงตาใส่เจียงหยุนชานไม่ได้ขณะที่ในใจก็คิดว่าเจียงป่าวชิงนี่ก็เหลือเกิน แววตานางช่างไม่ได้เรื่องจริง ๆ ก็เห็นอยู่ว่าเขาหล่อเหลากว่าพี่ชายของนาง แต่ทำไมเขากลับไม่เคยได้ยินนางเอ่ยชมเขาเลย
สองพี่น้องน้ำตาคลอเบ้า พวกเขาพูดคุยกันอย่างเฮฮาทั้งน้ำตาอยู่สักครู่ บรรยายความรู้สึกที่ต้องพรากจากกันของแต่ละคน เสร็จแล้วเจียงป่าวชิงส่งเสียงเรียกเข้าไปในรถม้า “อาฉิง ลงมาเจอพี่หยุนชานของเจ้าสิ”
เจียงหยุนชานไม่ได้ตกใจอะไร เพราะกงจี้เขียนจดหมายหาเขาตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้วว่าเจียงป่าวชิงยังมีชีวิตอยู่ และในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมานางกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่งพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกันมาโดยตลอด และนางยังยอมรับเด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นน้องสาวของนางรวมถึงตั้งชื่อให้ว่าเจียงฉิงด้วย
เขาไม่สามารถบรรยายความดีใจของตัวเองได้เมื่อได้รับจดหมายฉบับนั้น ราวกับว่าท้องฟ้าแจ่มใสขึ้นมาในทันตาอย่างไรอย่างนั้น
เจียงฉิงมุดออกมาจากม่านประตูรถม้าอย่างเชื่องช้า ใบหน้าเล็กแฝงปนความเขินอายเล็กน้อย นางยืนหลบอยู่ข้างหลังเจียงป่าวชิงโดยที่ก้มหน้าเขินอายเจือกังวล น้ำเสียงของนางก็เบาเหมือนเสียงยุงบิน “พี่หยุนชานสวัสดีจะ… เจ้าค่ะ”
“อาฉิงใช่ไหม ข้าเคยได้ยินเรื่องเกี่ยวกับเจ้ามาก่อน” เจียงหยุนชานเดินไปข้างหน้า แต่เขาไม่รู้ว่าจะต้องพูดคุยอะไรกับเด็กผู้หญิงอายุประมาณเจียงฉิง จึงได้แต่เกาศีรษะอยู่สักครู่แล้วตัดสินใจยื่นของขวัญที่ตัวเองเตรียมไว้ให้นาง
มันเป็นจี้หยกแสนสวยงดงามตา “นี่เป็นจี้หยกที่เปิดแสงสว่างโดยพระอาจารย์ มันสามารถปัดเป่าวิญญาณชั่วร้ายและทำให้จิตใจสงบได้ ถือว่าเป็นของขวัญพบหน้ากันที่พี่มอบให้กับน้องอาฉิงแล้วกันนะ”
อันที่จริงเจียงฉิงเป็นคนควบคุมอารมณ์ที่แสดงบนใบหน้าได้ดี ตอนที่นางแอบมองเจียงหยุนชานในรถม้าเมื่อสักครู่ นางรู้สึกถูกอกถูกใจชายหนุ่มรูปงามคนนี้เข้าให้แล้ว และได้ยินว่าชายหนุ่มคนนี้เป็นพี่น้องฝาแฝดกับพี่ป่าวชิงของนาง แม้รูปลักษณ์จะไม่ค่อยเหมือนกันแต่ก็ดูดีมากไม่ต่างกัน แล้วดูสิพี่ชายคนนี้ยังปฏิบัติกับนางอย่างอ่อนโยนอีก จะไม่ให้นางรู้สึกชื่นชอบเขาได้อย่างไร
เจียงฉิงมองเจียงป่าวชิงอย่างระมัดระวังก่อนจะเอ่ยถามเสียงเบา “พี่สาว ข้ารับไว้ได้ไหมจ๊ะ ?”
เจียงป่าวชิงรู้สึกเอ็นดูจึงผลักแผ่นหลังของเจียงฉิงเบา ๆ “ไปสิ พี่หยุนชานของเจ้าให้ของขวัญพบหน้ากันกับน้องสาวคนเล็ก จะไม่รับได้ยังไงจริงไหม ?”
เจียงฉิงเดินเข้าไปรับอย่างขลาดกลัว นางแอบเงยหน้าขึ้นมองเจียงหยุนชานอย่างรวดเร็ว พอเห็นว่าเจียงหยุนชานส่งยิ้มให้นางอยู่ตลอดเวลาก็รู้สึกขวยเขินแต่ก็ยิ้มตอบเขาไป เสร็จแล้วนางรีบวิ่งกลับไปหลบข้างหลังเจียงป่าวชิงตามเดิม
“ขอบคุณพี่หยุนชานมากนะเจ้าคะ” เสียงของเจียงฉิงค่อนข้างเบา แต่นางกลับรู้สึกอบอุ่นในใจอย่างประหลาด
ช่างโชคดีเหลือเกิน… จากขอทานตัวน้อยที่ไม่มีอะไรเลยมามีพี่สาวสวยงามไร้ใครเทียบเทียม และตอนนี้นางก็ยังมีพี่ชายผู้หล่อเหลาอ่อนโยนเพิ่มมาอีกคน
เจียงฉิงรู้สึกว่าตัวเองเป็นเด็กหญิงที่มีความสุขที่สุดในโลกใบนี้
.
.