แม่สาวเข็มเงิน - ตอนที่ 350 อายุเจ็ดขวบก็นั่งด้วยกันไม่ได้แล้ว
เลี่ยวชุนหยู่แซ่เลี่ยว เจียงหยุนชานแซ่เจียง เรื่องที่สองพี่น้องแซ่ไม่เหมือนกันนั้น ไปไหนมาไหนก็มักมีคนถามตลอด เดิมทีเลี่ยวชุนหยู่คร้านจะอธิบายให้คนอื่นฟังว่าทำไมพี่ชายของเขาถึงแซ่เจียงแต่เขาแซ่เลี่ยว ตอนเด็กเขาเองก็อยากใช้แซ่เจียงเหมือนกับพี่ชายแต่พี่ชายเขากลับปฏิเสธด้วยสีหน้าจริงจังและบอกว่าไปสืบดูแล้วพบว่าญาติพี่น้องส่วนใหญ่ของตระกูลเลี่ยวเสียชีวิตจากภัยพิบัติน้ำท่วมครั้งนั้นไปเกือบหมด เขาอาจเป็นต้นกล้าคนสุดท้ายของตระกูลเลี่ยวก็ได้ หากเขาใช้แซ่เจียงเหมือนกับพี่ชาย เกรงว่ามันจะโหดร้ายกับตระกูลเลี่ยวเกินไป
ดังนั้น เรื่องที่ตงเส่ชี้ให้เลี่ยวชุนหยู่เห็นว่าเจียงฉิงใช้แซ่ตระกูลเจียงนั้นมันเหมือนเป็นการจี้จุดโกรธของเลี่ยวชุนหยู่เลยก็ว่าได้ เขากัดฟันกรอดอย่างโกรธขึ้ง
ตงเส่ยังคงพูดต่อ “ด้วยเหตุนี้จะเห็นได้ว่าเด็กเจียงฉิงคนนั้นไม่ใช่ไฟตะเกียงประหยัดน้ำมัน คุณชายเล็ก เพื่อตำแหน่งอันคงที่ในบ้านหลังนี้ ข้าคิดว่าท่านต้องจัดการกับเจ้าเด็กเจียงฉิงนั่นก่อนเป็นอันดับแรก”
“เจ้าพูดถูก!” เลี่ยวชุนหยู่พยักหน้าอย่างหนักแน่น ก่อนจะหันไปมองตงเส่อย่างตื้นตันใจ “ตงเส่ ในบ้านหลังนี้มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่คำนึงถึงข้าอย่างจริงใจ ข้าจะไม่ลืมเจ้าเด็ดขาด”
ตงเส่เองก็แสดงสีหน้าตื้นตันใจเช่นกัน “คุณชายเล็กพูดอะไร อย่าพูดแบบนี้สิ ข้าเป็นผู้ติดตามระยะยาวและเป็นมิตรสหายเป็นเพื่อนเล่นของท่าน ข้าก็ต้องคำนึงถึงท่านเป็นธรรมดา”
ทั้งสองคนซุบซิบนินทากันอยู่สักพัก
……
ทางฝั่งเจียงป่าวชิง
เจียงหยุนชานพาเจียงป่าวชิงกับเจียงฉิงไปที่ห้องสองห้องทางฝั่งตะวันออก แล้วเขาก็อธิบายให้พวกนางฟัง “เดิมทีนี่เป็นห้องเก็บของกระจุกกระจิก แต่พอข้าได้รับจดหมายเมื่อไม่กี่วันก่อนว่าพวกเจ้าจะมาเมืองหลวง ข้าจึงเริ่มจัดเก็บ พวกเจ้าดูเอานะว่ามีอะไรขาดเหลือหรือเปล่า ข้าจะได้จัดหามาให้”
เจียงป่าวชิงสังเกตก่อนจะพูดขึ้น “พี่จัดเตรียมทุกอย่างนี้ได้อย่างเรียบร้อยดีแล้ว แม้แต่โต๊ะเครื่องแป้งกับกระจกก็ยังคำนึงถึงเราด้วย… แค่ของพวกนี้ก็ได้แล้วจ้ะพี่”
เจียงฉิงวิ่งเตาะแตะไปดูที่อีกห้อง ครู่เดียวก็กลับมาพูดกับเจียงป่าวชิงว่า “พี่สาว ข้าอยากได้ห้องนั้นจังเลยจ้ะ”
เจียงป่าวชิงเดินไปดู การตกแต่งของทั้งสองห้องมีความคล้ายคลึงกัน เพียงแต่ห้องที่เจียงฉิงเลือกนั้นมีพื้นที่น้อยกว่าห้องแรกเล็กน้อย
เจียงฉิงรีบพูดอย่างมั่นใจเพราะคิดว่าตัวเองมีเหตุผลเต็มที่ “ห้องเล็กนี่แหละดี เวลาเปิดเตาก็แค่ตั้งไฟถ่านนิดหน่อยแล้วห้องก็จะอุ่นสบาย ข้าชอบห้องเล็กที่สุดเลย”
เจียงป่าวชิงรู้ว่าเจ้าเด็กคนนี้จงใจหาเหตุผลที่ดีมาอ้างจะได้ยกห้องใหญ่กว่าให้กับนาง แต่นางไม่เกี่ยงเรื่องห้องเล็กหรือห้องใหญ่จึงไม่ได้ปฏิเสธอะไร และถือว่ารับน้ำใจของเด็กหญิงด้วย
เจียงฉิงเห็นว่าเจียงป่าวชิงไม่ได้คัดค้านก็ยิ้มจนตาหยี แต่เมื่อเรื่องนี้ผ่านปากของตงเส่ไปถึงหูของเลี่ยวชุนหยู่ กลับกลายเป็นเลี่ยวชุนหยู่มองว่าเจียงฉิงจงใจวางแผนการเพื่อเอาใจเจียงป่าวชิง
ในหัวใจของเขา นี่เป็น “ข้อกล่าวหา” เจียงฉิงอีกครั้ง
หลังจากที่เจียงป่าวชิงกับเจียงฉิงวางสัมภาระเรียบร้อยแล้ว ต่างคนต่างหวีผมล้างหน้าและเริ่มใช้เวลาอยู่กับบ้านหลังนี้ สองพี่น้องมัดผมและรูดแขนเสื้อขึ้น จากนั้นพวกนางไปที่ห้องครัวซึ่งถูกปล่อยทิ้งไว้จนภายในห้องเริ่มเย็น
เนื่องจากการประชุมบทกวีกำลังจะจัดขึ้นในเมืองหลวงในอีกไม่กี่วัน ท่านอาจารย์ของเจียงหยุนชานจึงคิดคำถามมาจำนวนหนึ่งเพื่อให้เจียงหยุนชานฝึกปรือ การเรียนของเจียงหยุนชานนั้นจัดได้ว่าค่อนข้างยุ่ง ประกอบกับช่วงนี้เขาต้องหาเวลาออกไปต้อนรับเจียงป่าวชิงจึงศึกษาบทเรียนของสองสามวันนี้เสร็จตั้งแต่เนิ่น ๆ แล้ว
เพื่อรีบศึกษาบทเรียนให้เสร็จ ช่วงนี้เจียงหยุนชานจึงไม่ได้เข้าครัวทำอาหาร แต่เลือกซื้ออาหารปรุงสุกจากข้างนอกนำกลับมาที่บ้าน
เลี่ยวชุนหยู่คัดค้านหลายต่อหลายครั้ง บางครั้งเขาถึงกับโยนอาหารที่เจียงหยุนชานซื้อกลับมาทิ้งไปและโวยวายต้องการให้เจียงหยุนชานเข้าครัวทำอาหารให้เขาให้ได้
แม้เจียงหยุนชานจะบอกว่ารู้สึกจนปัญญา แต่เขากลับไม่ตามใจในประเด็นที่ไร้เหตุผลดังกล่าว และไม่เห็นด้วยกับคำขอของเลี่ยวชุนหยู่ในตอนแรก ทว่าตงเส่กลับเสนอความคิดให้กับเลี่ยวชุนหยู่ เขายุให้เลี่ยวชุนหยู่แกล้งเป็นลม ส่วนเขาเองก็วิ่งไปบอกเจียงหยุนชานด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลนว่าเลี่ยวชุนหยู่หิวจนเป็นลมไปแล้ว
เจียงหยุนชานตกใจจนทิ้งการเรียนในมือทันที หลังจากที่เขาแน่ใจแล้วว่าเลี่ยวชุนหยู่ไม่ได้เป็นอะไรมากก็ถอนหายใจและเข้าครัวเพื่อทำอาหารหลากหลายให้กับผู้เป็นน้องชาย
เลี่ยวชุนหยู่รู้สึกว่าเจียงหยุนชานรักเขามาก เมื่อได้จู้จี้เรื่องการกินอย่างพึงพอใจแล้ว เขาก็นอนหลับอย่างสบายใจ แต่สำหรับเจียงหยุนชานกลับต้องชดใช้เวลาที่ใช้ทำอาหารโดยการทบทวนบทเรียนเสริมจนไม่ได้นอนเกือบทั้งคืน
หลังจากนั้นเลี่ยวชุนหยู่ก็ไม่ได้ดื้อด้านอะไรอีก ห้องครัวนี้จึงว่างไปหลายวัน
เจียงป่าวชิงกับเจียงฉิงไปที่ห้องครัวในตอนนี้ พวกนางถูล้างและก่อไฟทำอาหารอีกครั้ง แม้แต่เจียงหยุนชานก็เข้าไปช่วยด้วย เขารับหน้าที่ล้างและหั่นผัก
ตอนที่ทั้งสามคนยุ่งอยู่ในครัว เลี่ยวชุนหยู่ยืนอยู่ใต้ทางเดิน จู่ ๆ เขาก็รู้สึกหนาวและโดดเดี่ยวเดียวดาย พวกเขาสามคนดูเหมือนครอบครัว แล้วเขาล่ะเป็นอะไร…
เลี่ยวชุนหยู่หมุนตัวกลับไปที่ห้องและปิดประตูอย่างแน่นหนา
…
ตกกลางคืน เจียงหยุนชาน เจียงป่าวชิงและเจียงฉิงก็ร่วมมือกันทำอาหารเต็มโต๊ะ อาหารมากมายจัดวางอยูบนโต๊ะ กลิ่นหอมหวนชวนให้รู้สึกอยากอาหารเมื่อได้เห็น
ตงเส่ยืนยิ้มรอกินอาหารอยู่ข้าง ๆ แล้ว แต่เลี่ยวชุนหยู่กลับยังไม่ออกมาจากห้อง
“เฮ้อ ข้าจะไปเรียกเขามา” เจียงหยุนชานถอนหายใจอย่างละเหี่ย
ก่อนหน้านี้ใช่ว่าจะไม่เคยเรียก เขาเรียกให้เลี่ยวชุนหยู่ไปซื้อต้นหอมจำนวนหนึ่ง แต่เจ้าเด็กคนนี้กลับขังตัวเองไว้ในห้องราวกับไม่ได้ยินคำสั่งอย่างไรอย่างนั้น เรียกยังไงก็ไม่ขานรับเขาแม้แต่น้อย
เจียงหยุนชานไปที่ห้องของเลี่ยวชุนหยู่และพบว่าประตูห้องยังคงปิดสนิทอยู่เหมือนเดิมจึงยกมือเคาะเเต่ไม่มีเสียงตอบรับ
เจียงหยุนชานร้อนใจทันที ไม่ใช่ว่าเกิดอะไรขึ้นหรอกนะ
“ชุนหยู่ เจ้าอยู่ในห้องหรือเปล่า ชุนหยู่ ?” เขาออกแรงเคาะประตูและเรียกชื่อเลี่ยวชุนหยู่อีกครั้ง
ตอนที่เจียงหยุนชานกำลังจะพังประตูอย่างร้อนใจ เลี่ยวชุนหยู่ก็เปิดประตูห้องอย่างเกียจคร้านและพูดขึ้นอย่างรำคาญ “จะเรียกอะไรนักหนา”
แม้เจียงหยุนชานจะนิสัยดีและอ่อนโยนขนาดไหนก็เกือบคุมตัวเองไม่ได้ เกือบตบหน้าเจ้าเด็กดื้อด้านคนนี้อยู่รอมร่อทว่าก็พยายามระงับอารมณ์ไว้พลางสูดหายใจเข้าลึก ๆ “ชุนหยู่ ไปกินข้าว”
เลี่ยวชุนหยู่เห็นเจียงหยุนชานทำหน้าดุอย่างเอาจริงจึงไม่กล้ากำเริบเสิบสานอีก ทำได้เพียงพยักหน้ารับอย่างเชื่อฟังและเดินตามเจียงหยุนชานไปรับประทานอาหารมื้อเย็น
เจียงฉิงเห็นเลี่ยวชุนหยู่เดินมา นางก็เป็นฝ่ายตักข้าวและนำถ้วยข้าวไปวางตรงหน้าเลี่ยวชุนหยู่ “ข้าวข้าเพิ่งตักใหม่ ยังร้อนอยู่เลย”
เลี่ยวชุนหยู่เห็นเจียงฉิงกับเจียงป่าวชิงก็รู้สึกโกรธ เขาส่งเสียงออกมาทางจมูกอย่างเย็นชาก่อนจะหันไปทางอื่นพร้อมผลักถ้วยข้าวที่เจียงฉิงตักให้เขาอย่างลวก ๆ และพูดพึมพำ “ว่ากันว่าพออายุครบเจ็ดขวบแล้วชายหญิงจะนั่งด้วยกันไม่ได้ โตขนาดนี้แล้วทำไมยังไม่เข้าใจอีก!”
“เลี่ยวชุนหยู่!”
ตอนนี้เจียงหยุนชานโกรธมากจริง ๆ เขาวางตะเกียบลงและเรียกชื่อเลี่ยวชุนหยู่อย่างหนักแน่น เขานั้นมีนิสัยอ่อนโยนมาโดยตลอด น้อยครั้งที่จะทำหน้าเคร่งขรึมขนาดนี้
เลี่ยวชุนหยู่มองหน้าเจียงหยุนชาน ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกน้อยใจ แต่ตอนนี้เขาดื้อรั้นอีกแล้วจึงพูดกับเจียงหยุนชานอย่างยืนกราน “ข้าพูดผิดตรงไหนล่ะพี่ ?!”
เจียงป่าวชิงดึงแขนเสื้อเจียงหยุนชาน พยายามบอกให้เขาคลายความโมโหลง
เจียงหยุนชานสูดหายใจเข้าลึก ๆ ใช่ว่าเขาไม่พยายามระงับความโกรธ แต่เลี่ยวชุนหยู่ดื้อเกินไปจริง ๆ
.